ระเบิดอุจจาระสมัยจีนโบราณ
การประดิษฐ์ดินปืนเปลี่ยนโฉมหน้าการทำสงครามของมนุษย์ไปอย่างมาก นักวิชาการตะวันตกรับรู้กันว่า ดินปืนได้รับความสนใจในตะวันตกเป็นครั้งแรกช่วงปลายศตวรรษที่ 12 แต่ในฟากตะวันออก มีข้อมูลอ้างอิงว่า จีนนำดินปืนมาใช้งานขั้นพื้นฐานก่อนยุโรป และมีหลักฐานว่าชาวจีนผสมสารที่แปลกประหลาดและร้ายกาจหลายอย่างลงในระเบิดและระเบิดมือ หนึ่งในนั้นคืออุจจาระ
สูตรดินปืนยุคแรกที่ทำสำหรับอาวุธอย่างลูกบอลควันพิษ และลูกระเบิดไฟแบบมีตะขอให้เกาะติดกับโครงสร้างไม้และทำให้ลุกไหม้ได้นั้น มีดินปืนที่ไม่ใช่วัตถุระเบิดโดยตรง แต่เป็น “การเผาไหม้กะทันหัน” ทำให้เกิดเสียงเหมือนจรวด ลูกระเบิดเหล่านี้ไม่มีดินประสิวมากพอที่ทำให้ระเบิดได้ แต่จะตามมาภายหลัง
ชาวจีนใช้การผสมสารหนูในดินปืนเป็นประจำในสมัยต่อมา เพราะสารหนูในลูกระเบิดเป็นเสมือนสารพิษที่เสริมอาณุภาพทำลายล้า นอกจากนั้นยังมีการผสมยาพิษประหลาดและน่าสะพรึงหลายชนิดลงในระเบิดและลูกระเบิดมือของชาวจีนในสัดส่วนจำนวนมาก พิษที่น่าขยะแขยงชนิดหนึ่งไม่พ้นระเบิดอุจจาระในยุคกลาง
ระเบิดอุจจาระและสูตรของมันทำให้ลูกระเบิดส่งกลิ่นเหม็น แพร่กระจายฝุ่นอุจจาระรวมทั้งสารพิษที่ส่งผลทำให้เสียชีวิตได้ไปทั่วพื้นที่ที่ระเบิด แน่นอนว่าส่วนผสมที่สำคัญคือ อุจจาระคนตากให้แห้ง และบดเป็นผงร่อนให้ละเอียด ใช้สัดส่วนประมาณ 240 ออนซ์ ต่อระเบิดหนึ่งลูกที่มีน้ำหนักประมาณ 316 ออนซ์
ห่อลูกระเบิดนี้จะถูกขว้างด้วยเครื่องเหวี่ยงขว้าง ซึ่งบรรจุลูกระเบิดในห่วงเชือก แล้วใช้แขนกลเหวี่ยงสู่อากาศ ชนวนที่จุดไฟจะทำให้ลูกระเบิดเกิดระเบิดเหนือศีรษะฝ่ายตรงข้าม หรือหลังจากตกสู่พื้นไม่นานนักและจะเผาไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นจะแพร่กระจายควันสกปรกเป็นหมอกหนาทึบ
Cr..silpa-mag.com
ฝรั่งเศสพกเบ็ดไปรบ
การรุกรานของฝรั่งเศสในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ดำเนินต่อเนื่องยาวนานและส่งผลมาจนถึงการปะทุของสงครามระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสเมื่อพ.ศ. 2484 จากการบอกเล่าของทหารชั้นผู้ใหญ่ในสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุดท่านหนึ่ง เล่าว่า กองทัพฝรั่งเศสและทหารรับจ้าง ได้รับข้อมูลผิดเพี้ยนว่า ทหารไทยอ่อนแอ และโง่ จนพกเบ็ดขนาดใหญ่ติดตัว ใช้สำหรับเกี่ยวจมูกทหารไทยร้อยเป็นพวง แต่ความคิดที่ผิดเพี้ยนนี้ทำให้พบกับผลลัพธ์ที่ผิดคาด
นายทหารผู้ใหญ่ของฝรั่งเศสหลอกปลอบใจพวกนายทหารชั้นผู้น้อยชาวฝรั่งเศสและชาวญวนที่เป็นผู้บังคับหมู่ว่า “ประเทศไทยไม่มีกำลังรบและไม่มีทหารที่ดี”
ทหารฝรั่งเศสกับทหารรับจ้างกองนี้ เพิ่งเข้ามาในอินโดจีนยังไม่ค่อยรู้จักข้อมูลประเทศไทย แต่ได้รับข้อมูลกรอกหูมาว่า “คนไทยเหมือนกัมพูชา รูปร่างแคระแกร็น, อ่อนแอ, โง่, ใช้อาวุธไม่เป็น, ชำนาญแต่การใช้กระบอง, ชอบแอบอยู่ตามต้นไม้. ถ้าจับทหารไทยได้แล้วให้ใช้เบ็ดเกี่ยวจมูก ร้อยเป็นพวงแล้วนำไป.” ทำให้ทหารกลุ่มนี้มีเบ็ดขนาดใหญ่ติดตัวไว้คนละห่อ
ฝ่ายไทยที่การข่าวดีกว่าได้รับข่าวว่า ข้าศึกกรมนี้จะเข้าตีตอนเช้า จึงเตรียมแนวปืน เมื่อฝรั่งเศสเดินทัพตามระเบียบเดินแถวเข้ามา ตาก็จ้องมองแต่บนต้นไม้ ไม่สังเกตบนพื้นดิน ทหารฝรั่งเศสเข้ามาในระยะทางปืน ฝั่งไทยจึงสาดกระสุนเข้าใส่ ทหารกลุ่มนี้หนีเตลิดกลับไป เหลือให้จับกุม 11 คน โดยทิ้งธงชัยเฉลิมพลให้ทหารไทยยึดมาด้วย สงครามครั้งพิพาทไทยกับฝรั่งเศสนี้นำมาสู่การตั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในกรุงเทพมหานครนั่นเอง
Cr.
https://www.silpa-mag.com
‘flechettes’ อุปกรณ์ที่ใช้ทิ้งแทนระเบิด
อ้างอิงตามนี้ // ค.ศ. 1903 สองพี่น้องตระกูลไรท์ทดลองติดตั้งเครื่องยนต์บนเครื่องบินครั้งแรก // 1912 เครื่องบินบินได้เป็นครั้งแรก // 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง // จนมาถึง ค.ศ. 1915 เครื่องบิน บินได้แล้ว แต่ระเบิดที่จะเอาติดไปด้วยยังอยู่ในขั้นพัฒนา ทำอะไรได้ก็ต้องทำไปก่อน จึงเป็นที่มาของอุปกรณ์เหล่านี้ที่เรียกว่า ‘flechettes’
flechettes ตั้งชื่อตามกลุ่มนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศษที่สร้างมันขึ้นมาช่วงปีค.ศ. 1915 โดยทั่วๆไปมีลักษณะเป็นแท่งเหล็กปลายแหม ความยาวประมาณ 5 นิ้ว มีส่วนหัวเป็นเหล็กปลายแหลม และ ส่วนที่เหลือทำเป็น 4 แฉกเพื่อทำหน้าที่คล้ายหางเสือ บรรจุใส่กล่อง 500 ชิ้น เพื่อรอเวลาให้นักบิน'ทิ้ง'พวกมันลงมาในสนามรบ แล้วพวกมันก็จะปักหัวพุ่งลงพื้นในแนวดิ่ง
‘flechettes’ นี่อันตรายแค่ไหน? ฝ่ายทดสอบคอนเฟิร์มว่า ‘จากการทดลองโดยการโปรยจากเครื่องบินใส่วัว - วัวตาย!’ ทหารในสนามรบบอกว่า ถ้าเห็นเครื่องบินโปรยไอ้พวกนี้ออกมา 'ให้รีบนอนราบ เพราะการนอนราบจะเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายในน้อยกว่าถ้าเทียบกับการยืนตรงแล้วทิ่มทะลุมาหยุดกลางลำตัว' นี่มันดีกว่าแน่นะ?
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้า’flechettes’ ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากสาเหตุ 3 อย่าง คือ 1.พวกมันถูกบรรทุกขึ้นเครื่องบินในแต่ละเที่ยวได้น้อยเกินไป 2. ความแม่นยำอยู่ในระดับ‘ห่วยแตก’ 3.อีกต่อมาไม่นานนักมนุษย์ก็สร้างระเบิดที่สามารถบรรทุกขึ้นเครื่องบินและทิ้งมันลงมาได้สำเร็จ
(ขยายควาามเพิ่มเติมจากข้อ 3. ความตลกร้ายของการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในช่วงแรกๆ คือ คนขับเครื่องบิน ใช้มือทิ้งระเบิดลงมาจริงๆจากเครื่องบิน ) ทุกวันนี้พวกมันก็ยังถูกใช้งานอยู่ บริษัทผลิตอาวุธนิยมบรรจุ flechettes จำนวนหนึ่งลงไปในจรวดมิสไซล์เพื่อหวังผลการทำลายล้างที่สูงขึ้นหลังการระเบิด )
Cr.
https://minimore.com
"หนามกระสุน"
ขวาก หรือ "หนามกระสุน" เป็นไม้หรือเหล็กที่มีปลายแหลมเหมือนหนาม เป็นอุปกรณ์ป้องกันประเภทหนึ่ง ทำด้วยวัสดุเนื้อแข็งประเภทดินเผาหรือเหล็ก ใช้โรยเพื่อขัดขวางการเดินทัพของศัตรู เนื่องจากมีความแหลมคม สามารถทิ่มตำเท้าในขณะเดินทัพได้
ส่วนมากมักใช้ชะลอความเร็วพวกพาหนะ ม้าหรือช้างศึก และปัจจุบันมีการนำมาปรับปรุงเพื่อใช้กับล้อรถได้ โดยครั้งแรกที่มีการบันทึกเกิดขึ้นเมื่อ 331 ก่อนคริสตกาล โดยพระเจ้าดาริอุสที่ 3 ของเปอร์เซียได้ใช้ขวากในการต่อสู้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ในยุทธการกัวกาเมล่าเพื่อหยุดรถม้าและรถศึก แม่ว่าขวากจะมีประสิทธิภาพกับการศึกครั้งนี้ แต่สุดท้ายกองทัพของเปอร์เซียยังพ่ายแพ้
Cr.
https://board.postjung.com
Catapult หนังสติ๊กยิงลูกระเบิดในสงครามซีเรีย
เครื่องยิงชนิดหนึ่งที่อาศัยพลังงานศักย์ยืดหยุ่น ที่อยู่ในวัสดุที่นำมาใช้ในการดีด เช่น ไม้ เหล็ก มัดหนัง น้ำหนักถ่วง หรือ ยาง หรือเราอาจจะเรียกว่าเครื่องดีด ซึ่งจะมีขีปนวิถี Ballistic เป็นวิถีโค้ง Projectiles, ด้วยลูกหินกลม หรือลูกกระสุนโลหะกลม
Catapult นั้นใช้เป็นอาวุธในการยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยลูกหินตันๆกลม ซึ่งถ้าปะทะกับทหารราบตรงๆ เกราะ โล่ห์ ก็ยากที่จะป้องกันได้ ซึ่งต่างกับลูกธนูและหน้าไม้
ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงแม้ว่าจะมีการนำปืนค.(เครื่องยิงลูกระเบิดวิถีโค้ง) Mortar ใช้งานแล้วก็ตาม แต่ด้วยความช่างคิดและความพยายามที่จะหาวิธีการง่ายๆแต่ได้ผลพอสมควร จึงมีการนำหลักการของเครื่องดีด ในลํกษณะของหนังสติ๊กเพื่อใช้ยิงลูกระเบิดGrenade Catapult ในสงครามสนมเพาะTrench Warfareในแนวรบด้านตะวันตก
โดยหลักฐานจากOxfordshire & Buckinghamshire Light Infantry (Ox & Bucks LI) ใช้ทำการยิงลูกระเบิดขว้าง ซึ่งเครื่องดีดนี้มีการสร้างด้วย ไม้ ยาว และ ชิ้นส่วนโหละเล็กน้อย เครื่องยิงสามารถยิงไปได้ไกลถึง 100 เมตร ซึ่งใช่ยิงเข้าใส่แนงสนามเพาะของฝ่ายตรงข้าม และ แม้แต่ ฝรั่งเศส เยอรมัน หรือ ชาติอื่นที่ร่วมสงครามก็มีการนำมาใช้งาน ไม่ใช้เพราะมันมีประสิทธิภาพสูง แต่ มันสรา้งได้ง่ายๆนั้นเอง
ในสงครามต่อๆมาก็มีการใช้ประปราย เช่นฟินแลนด์ ในสงครามฤดูหนาว Grenade Catapult กลับมาปรากฎตัวใหม่อีกครั้งในสงครามกลางเมืองซีเรีย จากแนวคิดเดียวกันคือ "Simple but effective.(หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย)
Cr.
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster
นักรบแก้มแดง อาวุธลับกองทัพอิสราเอล
"นักรบแก้มแดง"ทหารหญิงหน่วยหนึ่งของกองทัพ ที่ปฏิบัติงานเคียงบ่าเคียงไหล่ กับบุรุษ รับใช้ชาติอยู่แนวหน้า
อิสราเอลยังมีกองทัพ ที่ประกอบด้วย "นักรบแก้มแดง" มากที่สุด และ ยังแสนจะเซ็กซี่อีกด้วย หลายเสียงบอกว่า พวกเธอเป็นอาวุธลับชั้นเยี่ยม
นักรบหญิงเหล่านี้ มีจำนวนมาก หน้าตาสวยพริ้ง หุ่นงาม ไม่แพ้นางแบบบนรันเวย์ ตามงานแฟชั่นโชว์ในกรุงปารีส ลอนดอน หรือ มิลาน อิตาลี พวกเธอสวมชุดว่ายน้ำเดินลงหาดทรายได้อย่างมั่นใจ ไม่อายสายตาใครๆ -- ขณะที่หลายคนเป็นแม่ของลูกๆ หลายคนเป็นสาวโสด เปรี้ยวจี๊ด -- นักรบแก้มแดงหลายต่อหลายคน ได้แสดงให้เห็นว่า ตัวเธอก็เหมือนกับเพศหญิงทั่วไป ที่รักสวยรักงาม ไว้ผมยาวสลวย รวบหรือม้วนเอาไว้ไว้ข้างหลัง หลายสาวโชว์ขนตาปลอมงอนโง้ง แต่งหน้าทาปากแดงแจ๋ แม้อยู่ในยูนิฟอร์ม
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ -- สาวๆ จะต้องผ่านการฝึก ตามหลักสูตรของกองทัพมาอย่างโชกโชน มือที่นุ่มนิ่ม ต้องแข็งแกร่ง สากกระด้าง แข็งแรงพอที่จะใช้ฟันก้อนอิฐก้อนหนึ่ง ให้หักสะบั้นได้ แต่สาวๆ ก็ไม่เคยห่างเหินการเล่นสนุกสนาน กล้าที่จะเล่นอย่างเซ็กซี ตามวัยสวย และ ด้วยความรักสวยรักงาม -- ไหล่สะพายไรเฟิล M4 ไรเฟิลกาลิล (Galil) บางคนสะพายอาก้า บางคนหิ้วปืนกลเนเกฟ (Negev) แต่บนไหล่สะพายกล้องถ่ายรูป -- ไม่เคยกลัวที่จะอวดสวยต่อหน้าช่างภาพ ในทุกสถานการณ์ และ ไม่เคยว่าใคร ถ้าจะนำไปออกในโซเชียลมีเดีย "ความสวยของพวกเธอ คุ้มครองโลกได้" ผู้ชมคนหนึ่งเขียนลงในเว็บไซต์
นักรบหญิงเหล่านั้นเข้าปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เป็นสารวัตรทหาร เป็นทหารลาดตระเวนบนท้องถนนในเมือง หลายคนเป็นพลแม่นปืน หรือ "สไนเปอร์" ประจำอยู่แนวหน้า กองทัพกำหนดให้ทหารหญิง ทำหน้าที่ต่างๆ ราว 83% ของทั้งหมด
Cr.
https://mgronline.com/indochina/detail/9600000106988
นายทหารอังกฤษผู้ที่ใช้ธนูและดาบ ในสงครามโลกครั้งที่2
Jack Churchill ที่รู้จักกันในชื่อ Fighting Jack Churchill และ Mad Jack เขาเกิดใน Surrey และจบการศึกษาจาก Royal Military Academy Sandhurst ในปี 1926
หลังจบการศึกษา เขาได้เข้าประจำการในพม่าภายใต้กองทัพของอังกฤษ หลังสงครามจึงได้ลาออกจากกองทัพในปี 1936 เเละทำงานในกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ และได้กลายเป็นที่รู้จักในสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1940 หลังจากที่เขาได้กลับมาเข้ากองทัพอีกครั้งหลังโปเเลนด์ถูกเยอรมันรุกราน
Jack Churchill แตกต่างจากนายทหารอังกฤษทั่วไปตรงที่ว่าไม่พกปืน อาวุธของเขาคือ ดาบยาวเเละคันธนู นอกจากนี้เขายังพก ปี่สก็อต โดยเหน็บเอาไว้ข้างๆดาบอีกด้วย ในระหว่างสงครามในฝรั่งเศษ หน่วยของJackได้ซุ่มโจมตีหน่วยลาดตระเวณของเยอรมัน สัญญาณเริ่มโจมตีของเค้าไม่ใช่นกหวีดเเละเสียงตะโกนเเต่เป็นลูกธนูหนึ่งดอกที่ปักอยู่กลางอกหัวหน้าหมู่เยอรมัน ภายหลังฝ่ายพันธมิตรพ่ายเเพ้ที่ดันเคิร์ก เขาได้อาสาสมัครเป็นหน่วยคอมมานโด และได้สร้างวีรกรรมไว้มากมายระหว่างอยู่ในหน่วยรบพิเศษ
ภารกิจสุดท้ายของ Jack Churchill มาถึงในปี 1944 โดยเขาเเละหน่วยคอมมานโดหลายสิบนายถูกส่งไปยูโกสลาเวียเพื่อช่วยเหล่ากองกำลังต่อต้าน ในวันที่สองของการเข้าที่ฐานของเยอรมันที่เกาะบรอท หน่วยของเขาวิ่งฝ่าเเนวป้องกันของข้าศึก มีเพียงเเค่หกคนที่รอดมาถึงที่หมายก่อนที่ห่าฝนลูกปืนค.จะสังหารทุกคนยกเว้นเขา ทหารเยอรมันมาพบเขาในขณะที่กำลังเป่าปี่สก็อตเพลง Will Ye No’ Come Back Again อยู่ท่ามกลางซากศพของลูกน้อง
Cr.
https://www.wegointer.com/
อาวุธสุดแนวที่ใช้ในสงครามในอดีต
การประดิษฐ์ดินปืนเปลี่ยนโฉมหน้าการทำสงครามของมนุษย์ไปอย่างมาก นักวิชาการตะวันตกรับรู้กันว่า ดินปืนได้รับความสนใจในตะวันตกเป็นครั้งแรกช่วงปลายศตวรรษที่ 12 แต่ในฟากตะวันออก มีข้อมูลอ้างอิงว่า จีนนำดินปืนมาใช้งานขั้นพื้นฐานก่อนยุโรป และมีหลักฐานว่าชาวจีนผสมสารที่แปลกประหลาดและร้ายกาจหลายอย่างลงในระเบิดและระเบิดมือ หนึ่งในนั้นคืออุจจาระ
สูตรดินปืนยุคแรกที่ทำสำหรับอาวุธอย่างลูกบอลควันพิษ และลูกระเบิดไฟแบบมีตะขอให้เกาะติดกับโครงสร้างไม้และทำให้ลุกไหม้ได้นั้น มีดินปืนที่ไม่ใช่วัตถุระเบิดโดยตรง แต่เป็น “การเผาไหม้กะทันหัน” ทำให้เกิดเสียงเหมือนจรวด ลูกระเบิดเหล่านี้ไม่มีดินประสิวมากพอที่ทำให้ระเบิดได้ แต่จะตามมาภายหลัง
ชาวจีนใช้การผสมสารหนูในดินปืนเป็นประจำในสมัยต่อมา เพราะสารหนูในลูกระเบิดเป็นเสมือนสารพิษที่เสริมอาณุภาพทำลายล้า นอกจากนั้นยังมีการผสมยาพิษประหลาดและน่าสะพรึงหลายชนิดลงในระเบิดและลูกระเบิดมือของชาวจีนในสัดส่วนจำนวนมาก พิษที่น่าขยะแขยงชนิดหนึ่งไม่พ้นระเบิดอุจจาระในยุคกลาง
ระเบิดอุจจาระและสูตรของมันทำให้ลูกระเบิดส่งกลิ่นเหม็น แพร่กระจายฝุ่นอุจจาระรวมทั้งสารพิษที่ส่งผลทำให้เสียชีวิตได้ไปทั่วพื้นที่ที่ระเบิด แน่นอนว่าส่วนผสมที่สำคัญคือ อุจจาระคนตากให้แห้ง และบดเป็นผงร่อนให้ละเอียด ใช้สัดส่วนประมาณ 240 ออนซ์ ต่อระเบิดหนึ่งลูกที่มีน้ำหนักประมาณ 316 ออนซ์
ห่อลูกระเบิดนี้จะถูกขว้างด้วยเครื่องเหวี่ยงขว้าง ซึ่งบรรจุลูกระเบิดในห่วงเชือก แล้วใช้แขนกลเหวี่ยงสู่อากาศ ชนวนที่จุดไฟจะทำให้ลูกระเบิดเกิดระเบิดเหนือศีรษะฝ่ายตรงข้าม หรือหลังจากตกสู่พื้นไม่นานนักและจะเผาไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นจะแพร่กระจายควันสกปรกเป็นหมอกหนาทึบ
Cr..silpa-mag.com
ฝรั่งเศสพกเบ็ดไปรบ
การรุกรานของฝรั่งเศสในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ดำเนินต่อเนื่องยาวนานและส่งผลมาจนถึงการปะทุของสงครามระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสเมื่อพ.ศ. 2484 จากการบอกเล่าของทหารชั้นผู้ใหญ่ในสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุดท่านหนึ่ง เล่าว่า กองทัพฝรั่งเศสและทหารรับจ้าง ได้รับข้อมูลผิดเพี้ยนว่า ทหารไทยอ่อนแอ และโง่ จนพกเบ็ดขนาดใหญ่ติดตัว ใช้สำหรับเกี่ยวจมูกทหารไทยร้อยเป็นพวง แต่ความคิดที่ผิดเพี้ยนนี้ทำให้พบกับผลลัพธ์ที่ผิดคาด
นายทหารผู้ใหญ่ของฝรั่งเศสหลอกปลอบใจพวกนายทหารชั้นผู้น้อยชาวฝรั่งเศสและชาวญวนที่เป็นผู้บังคับหมู่ว่า “ประเทศไทยไม่มีกำลังรบและไม่มีทหารที่ดี”
ทหารฝรั่งเศสกับทหารรับจ้างกองนี้ เพิ่งเข้ามาในอินโดจีนยังไม่ค่อยรู้จักข้อมูลประเทศไทย แต่ได้รับข้อมูลกรอกหูมาว่า “คนไทยเหมือนกัมพูชา รูปร่างแคระแกร็น, อ่อนแอ, โง่, ใช้อาวุธไม่เป็น, ชำนาญแต่การใช้กระบอง, ชอบแอบอยู่ตามต้นไม้. ถ้าจับทหารไทยได้แล้วให้ใช้เบ็ดเกี่ยวจมูก ร้อยเป็นพวงแล้วนำไป.” ทำให้ทหารกลุ่มนี้มีเบ็ดขนาดใหญ่ติดตัวไว้คนละห่อ
ฝ่ายไทยที่การข่าวดีกว่าได้รับข่าวว่า ข้าศึกกรมนี้จะเข้าตีตอนเช้า จึงเตรียมแนวปืน เมื่อฝรั่งเศสเดินทัพตามระเบียบเดินแถวเข้ามา ตาก็จ้องมองแต่บนต้นไม้ ไม่สังเกตบนพื้นดิน ทหารฝรั่งเศสเข้ามาในระยะทางปืน ฝั่งไทยจึงสาดกระสุนเข้าใส่ ทหารกลุ่มนี้หนีเตลิดกลับไป เหลือให้จับกุม 11 คน โดยทิ้งธงชัยเฉลิมพลให้ทหารไทยยึดมาด้วย สงครามครั้งพิพาทไทยกับฝรั่งเศสนี้นำมาสู่การตั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในกรุงเทพมหานครนั่นเอง
Cr.https://www.silpa-mag.com
‘flechettes’ อุปกรณ์ที่ใช้ทิ้งแทนระเบิด
อ้างอิงตามนี้ // ค.ศ. 1903 สองพี่น้องตระกูลไรท์ทดลองติดตั้งเครื่องยนต์บนเครื่องบินครั้งแรก // 1912 เครื่องบินบินได้เป็นครั้งแรก // 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง // จนมาถึง ค.ศ. 1915 เครื่องบิน บินได้แล้ว แต่ระเบิดที่จะเอาติดไปด้วยยังอยู่ในขั้นพัฒนา ทำอะไรได้ก็ต้องทำไปก่อน จึงเป็นที่มาของอุปกรณ์เหล่านี้ที่เรียกว่า ‘flechettes’
flechettes ตั้งชื่อตามกลุ่มนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศษที่สร้างมันขึ้นมาช่วงปีค.ศ. 1915 โดยทั่วๆไปมีลักษณะเป็นแท่งเหล็กปลายแหม ความยาวประมาณ 5 นิ้ว มีส่วนหัวเป็นเหล็กปลายแหลม และ ส่วนที่เหลือทำเป็น 4 แฉกเพื่อทำหน้าที่คล้ายหางเสือ บรรจุใส่กล่อง 500 ชิ้น เพื่อรอเวลาให้นักบิน'ทิ้ง'พวกมันลงมาในสนามรบ แล้วพวกมันก็จะปักหัวพุ่งลงพื้นในแนวดิ่ง
‘flechettes’ นี่อันตรายแค่ไหน? ฝ่ายทดสอบคอนเฟิร์มว่า ‘จากการทดลองโดยการโปรยจากเครื่องบินใส่วัว - วัวตาย!’ ทหารในสนามรบบอกว่า ถ้าเห็นเครื่องบินโปรยไอ้พวกนี้ออกมา 'ให้รีบนอนราบ เพราะการนอนราบจะเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายในน้อยกว่าถ้าเทียบกับการยืนตรงแล้วทิ่มทะลุมาหยุดกลางลำตัว' นี่มันดีกว่าแน่นะ?
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้า’flechettes’ ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากสาเหตุ 3 อย่าง คือ 1.พวกมันถูกบรรทุกขึ้นเครื่องบินในแต่ละเที่ยวได้น้อยเกินไป 2. ความแม่นยำอยู่ในระดับ‘ห่วยแตก’ 3.อีกต่อมาไม่นานนักมนุษย์ก็สร้างระเบิดที่สามารถบรรทุกขึ้นเครื่องบินและทิ้งมันลงมาได้สำเร็จ
(ขยายควาามเพิ่มเติมจากข้อ 3. ความตลกร้ายของการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในช่วงแรกๆ คือ คนขับเครื่องบิน ใช้มือทิ้งระเบิดลงมาจริงๆจากเครื่องบิน ) ทุกวันนี้พวกมันก็ยังถูกใช้งานอยู่ บริษัทผลิตอาวุธนิยมบรรจุ flechettes จำนวนหนึ่งลงไปในจรวดมิสไซล์เพื่อหวังผลการทำลายล้างที่สูงขึ้นหลังการระเบิด )
Cr.https://minimore.com
"หนามกระสุน"
ขวาก หรือ "หนามกระสุน" เป็นไม้หรือเหล็กที่มีปลายแหลมเหมือนหนาม เป็นอุปกรณ์ป้องกันประเภทหนึ่ง ทำด้วยวัสดุเนื้อแข็งประเภทดินเผาหรือเหล็ก ใช้โรยเพื่อขัดขวางการเดินทัพของศัตรู เนื่องจากมีความแหลมคม สามารถทิ่มตำเท้าในขณะเดินทัพได้
ส่วนมากมักใช้ชะลอความเร็วพวกพาหนะ ม้าหรือช้างศึก และปัจจุบันมีการนำมาปรับปรุงเพื่อใช้กับล้อรถได้ โดยครั้งแรกที่มีการบันทึกเกิดขึ้นเมื่อ 331 ก่อนคริสตกาล โดยพระเจ้าดาริอุสที่ 3 ของเปอร์เซียได้ใช้ขวากในการต่อสู้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ในยุทธการกัวกาเมล่าเพื่อหยุดรถม้าและรถศึก แม่ว่าขวากจะมีประสิทธิภาพกับการศึกครั้งนี้ แต่สุดท้ายกองทัพของเปอร์เซียยังพ่ายแพ้
Cr.https://board.postjung.com
Catapult หนังสติ๊กยิงลูกระเบิดในสงครามซีเรีย
เครื่องยิงชนิดหนึ่งที่อาศัยพลังงานศักย์ยืดหยุ่น ที่อยู่ในวัสดุที่นำมาใช้ในการดีด เช่น ไม้ เหล็ก มัดหนัง น้ำหนักถ่วง หรือ ยาง หรือเราอาจจะเรียกว่าเครื่องดีด ซึ่งจะมีขีปนวิถี Ballistic เป็นวิถีโค้ง Projectiles, ด้วยลูกหินกลม หรือลูกกระสุนโลหะกลม
Catapult นั้นใช้เป็นอาวุธในการยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยลูกหินตันๆกลม ซึ่งถ้าปะทะกับทหารราบตรงๆ เกราะ โล่ห์ ก็ยากที่จะป้องกันได้ ซึ่งต่างกับลูกธนูและหน้าไม้
ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงแม้ว่าจะมีการนำปืนค.(เครื่องยิงลูกระเบิดวิถีโค้ง) Mortar ใช้งานแล้วก็ตาม แต่ด้วยความช่างคิดและความพยายามที่จะหาวิธีการง่ายๆแต่ได้ผลพอสมควร จึงมีการนำหลักการของเครื่องดีด ในลํกษณะของหนังสติ๊กเพื่อใช้ยิงลูกระเบิดGrenade Catapult ในสงครามสนมเพาะTrench Warfareในแนวรบด้านตะวันตก
โดยหลักฐานจากOxfordshire & Buckinghamshire Light Infantry (Ox & Bucks LI) ใช้ทำการยิงลูกระเบิดขว้าง ซึ่งเครื่องดีดนี้มีการสร้างด้วย ไม้ ยาว และ ชิ้นส่วนโหละเล็กน้อย เครื่องยิงสามารถยิงไปได้ไกลถึง 100 เมตร ซึ่งใช่ยิงเข้าใส่แนงสนามเพาะของฝ่ายตรงข้าม และ แม้แต่ ฝรั่งเศส เยอรมัน หรือ ชาติอื่นที่ร่วมสงครามก็มีการนำมาใช้งาน ไม่ใช้เพราะมันมีประสิทธิภาพสูง แต่ มันสรา้งได้ง่ายๆนั้นเอง
ในสงครามต่อๆมาก็มีการใช้ประปราย เช่นฟินแลนด์ ในสงครามฤดูหนาว Grenade Catapult กลับมาปรากฎตัวใหม่อีกครั้งในสงครามกลางเมืองซีเรีย จากแนวคิดเดียวกันคือ "Simple but effective.(หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย)
Cr.https://www.facebook.com/Porpeunbybaster
นักรบแก้มแดง อาวุธลับกองทัพอิสราเอล
"นักรบแก้มแดง"ทหารหญิงหน่วยหนึ่งของกองทัพ ที่ปฏิบัติงานเคียงบ่าเคียงไหล่ กับบุรุษ รับใช้ชาติอยู่แนวหน้า
อิสราเอลยังมีกองทัพ ที่ประกอบด้วย "นักรบแก้มแดง" มากที่สุด และ ยังแสนจะเซ็กซี่อีกด้วย หลายเสียงบอกว่า พวกเธอเป็นอาวุธลับชั้นเยี่ยม
นักรบหญิงเหล่านี้ มีจำนวนมาก หน้าตาสวยพริ้ง หุ่นงาม ไม่แพ้นางแบบบนรันเวย์ ตามงานแฟชั่นโชว์ในกรุงปารีส ลอนดอน หรือ มิลาน อิตาลี พวกเธอสวมชุดว่ายน้ำเดินลงหาดทรายได้อย่างมั่นใจ ไม่อายสายตาใครๆ -- ขณะที่หลายคนเป็นแม่ของลูกๆ หลายคนเป็นสาวโสด เปรี้ยวจี๊ด -- นักรบแก้มแดงหลายต่อหลายคน ได้แสดงให้เห็นว่า ตัวเธอก็เหมือนกับเพศหญิงทั่วไป ที่รักสวยรักงาม ไว้ผมยาวสลวย รวบหรือม้วนเอาไว้ไว้ข้างหลัง หลายสาวโชว์ขนตาปลอมงอนโง้ง แต่งหน้าทาปากแดงแจ๋ แม้อยู่ในยูนิฟอร์ม
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ -- สาวๆ จะต้องผ่านการฝึก ตามหลักสูตรของกองทัพมาอย่างโชกโชน มือที่นุ่มนิ่ม ต้องแข็งแกร่ง สากกระด้าง แข็งแรงพอที่จะใช้ฟันก้อนอิฐก้อนหนึ่ง ให้หักสะบั้นได้ แต่สาวๆ ก็ไม่เคยห่างเหินการเล่นสนุกสนาน กล้าที่จะเล่นอย่างเซ็กซี ตามวัยสวย และ ด้วยความรักสวยรักงาม -- ไหล่สะพายไรเฟิล M4 ไรเฟิลกาลิล (Galil) บางคนสะพายอาก้า บางคนหิ้วปืนกลเนเกฟ (Negev) แต่บนไหล่สะพายกล้องถ่ายรูป -- ไม่เคยกลัวที่จะอวดสวยต่อหน้าช่างภาพ ในทุกสถานการณ์ และ ไม่เคยว่าใคร ถ้าจะนำไปออกในโซเชียลมีเดีย "ความสวยของพวกเธอ คุ้มครองโลกได้" ผู้ชมคนหนึ่งเขียนลงในเว็บไซต์
นักรบหญิงเหล่านั้นเข้าปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เป็นสารวัตรทหาร เป็นทหารลาดตระเวนบนท้องถนนในเมือง หลายคนเป็นพลแม่นปืน หรือ "สไนเปอร์" ประจำอยู่แนวหน้า กองทัพกำหนดให้ทหารหญิง ทำหน้าที่ต่างๆ ราว 83% ของทั้งหมด
Cr.https://mgronline.com/indochina/detail/9600000106988
นายทหารอังกฤษผู้ที่ใช้ธนูและดาบ ในสงครามโลกครั้งที่2
Jack Churchill ที่รู้จักกันในชื่อ Fighting Jack Churchill และ Mad Jack เขาเกิดใน Surrey และจบการศึกษาจาก Royal Military Academy Sandhurst ในปี 1926
หลังจบการศึกษา เขาได้เข้าประจำการในพม่าภายใต้กองทัพของอังกฤษ หลังสงครามจึงได้ลาออกจากกองทัพในปี 1936 เเละทำงานในกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ และได้กลายเป็นที่รู้จักในสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1940 หลังจากที่เขาได้กลับมาเข้ากองทัพอีกครั้งหลังโปเเลนด์ถูกเยอรมันรุกราน
Jack Churchill แตกต่างจากนายทหารอังกฤษทั่วไปตรงที่ว่าไม่พกปืน อาวุธของเขาคือ ดาบยาวเเละคันธนู นอกจากนี้เขายังพก ปี่สก็อต โดยเหน็บเอาไว้ข้างๆดาบอีกด้วย ในระหว่างสงครามในฝรั่งเศษ หน่วยของJackได้ซุ่มโจมตีหน่วยลาดตระเวณของเยอรมัน สัญญาณเริ่มโจมตีของเค้าไม่ใช่นกหวีดเเละเสียงตะโกนเเต่เป็นลูกธนูหนึ่งดอกที่ปักอยู่กลางอกหัวหน้าหมู่เยอรมัน ภายหลังฝ่ายพันธมิตรพ่ายเเพ้ที่ดันเคิร์ก เขาได้อาสาสมัครเป็นหน่วยคอมมานโด และได้สร้างวีรกรรมไว้มากมายระหว่างอยู่ในหน่วยรบพิเศษ
ภารกิจสุดท้ายของ Jack Churchill มาถึงในปี 1944 โดยเขาเเละหน่วยคอมมานโดหลายสิบนายถูกส่งไปยูโกสลาเวียเพื่อช่วยเหล่ากองกำลังต่อต้าน ในวันที่สองของการเข้าที่ฐานของเยอรมันที่เกาะบรอท หน่วยของเขาวิ่งฝ่าเเนวป้องกันของข้าศึก มีเพียงเเค่หกคนที่รอดมาถึงที่หมายก่อนที่ห่าฝนลูกปืนค.จะสังหารทุกคนยกเว้นเขา ทหารเยอรมันมาพบเขาในขณะที่กำลังเป่าปี่สก็อตเพลง Will Ye No’ Come Back Again อยู่ท่ามกลางซากศพของลูกน้อง
Cr.https://www.wegointer.com/