มาต่อ กันเลยนะครับ Day 2 ช่วงบ่ายๆ

ขับรถจากโรงแรมไปถึงสถานีกระเช้าของ Table Mountain ประมาณ 10 นาที จอดรถไว้ข้างทางขึ้นภูเขาได้เลย แล้วก็เดินไปที่สถานี พอไปถึงปุ๊ปพนักงานบอกว่าตอนนี้เมฆหมอกเยอะ ขึ้นไปก็ไม่เห็นอะไรมาเวลาอื่นดีกว่า เงิบไปแป๊ะนึงปรึกษากับคุณแฟนว่า ไว้พรุ่งนี้มาใหม่ดีกว่ามั้ยไหน ๆ
ยังอยู่ Capetown อีก 3 วัน โอเควันนี้ยังไม่ขึ้น ถ่ายวิวจากด้านล่างไปก่อน แล้วไปเที่ยวที่อื่นก่อนแทน ขับรถลงจากเขามาจะมีทางแยกไปยังจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Signal Hill ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ด้านบนสุดของ Capetown ระหว่างทางที่ขับไปก็จะเห็นภูเขา The Lion Head
ซึ่งเป็นภูเขาสูงชันที่นักปีนเขาชอบมาปีนกัน จาก Signal Hill เราจะสามารถมองเห็นห้าง V&A ได้ และเห็นชายฝั่งโดยรอบของ Capetown เลยทีเดียว และจุดนี้ก็เป็นจุดที่คน Capetown ชอบมานั่งปิคนิก พาหมามาเดินเล่นกัน
กลับลงมาจากเขาคุณแฟนอยากทานปลาเปิดหาร้านอาหารก็ได้ไปเจอร้านดังอยู่ร้านหนึ่งชื่อว่า Cafe Paradiso อยู่ระหว่างทางลงเขาพอดี เลยแวะไปทาน ร้านนี้ถ้ามองด้านนอกจะเป็นเหมือนบ้านหลังกลาง ๆ สวย ๆ หลังหนึ่ง มีโต๊ะด้านในและด้านนอก ตัวร้านจัดสวยมากเลยด้านนอกก็มีสวนหย่อมเล็ก ๆ ด้านในก็จัดแต่งได้สวยงาม มีถ้วยถังกะละมังหม้ออยู่บนชั้นแต่ไม่ดูรก และออกมาดูดี เดินไปเข้าห้องน้ำเห็นครัวซึ่งใหญ่และเต็มสูบมากเลย
แต่ว่า พอดีไปถึงร้านตอน 10 โมงเช้าเค้าก็เลยจะขายแต่เมนูอาหารเช้า อดกินปลาเลย (สม) ก็เลยสั่งเมนู Avocado Toast มา 1 จาน ทานกัน 2 คน
ขอบอกเลยว่านี่เป็น Avocado Toast ที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย Poached eggs หรือไข่ดาวน้ำทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ อาโวคาโดก็ให้มาเป็นลูกเลย
รวมกับเครื่องเคียงที่โรยมาด้วยทั้งมะเขือเทศตากแห้ง ถั่วพิซทาชิโอ ชีส มันดีมากจริง ๆ เสียดายที่ไม่ได้กลับมาทานเมนูอื่น ๆ ร้านนี้อีก
ถ้าใครมา Capetown แนะนำให้มาร้านนี้เลยนะชอบมากมาย (ค่าเสียหายมื้อนี้ประมาณ 180 บาท)
Avocado Toast ,บรรยากาศร้าน
เนื่องจากไม่ได้ขึ้น Table Mountain ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย เราก็เลยไปที่ Castle of Good Hope แทน อยู่ใจกลางเมืองเลย
ค่าเข้า คนละ 50Rand สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งปราสาทและป้อมที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยชาวดัตช์เป็นป้อมทรง 5 เหลี่ยม
มีหอคอยสังเกตุการอยู่ทุกมุม ด้านในมีห้องจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ มีห้องสำหรับใช้ในกิจการต่าง ๆ รวมไปถึงห้องทรมาน ห้องขัง ห้องครัว
โบสถ์ สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นที่คุมขังหัวหน้าชาวเผ่าสำคัญ ๆ ที่ต่อต้านชาวดัตช์ในสมัยก่อน มีหุ่นโชว์อยู่ด้านหน้า 4 คน ใกล้ ๆ ทางเข้ามีคาเฟ่เล็ก ๆ
กับร้านขายของที่ระลึกด้วย (
https://www.expedia.co.th/Castle-Of-Good-Hope-Cape-Town.d6066747.Place-To-Visit, 2019)
https://www.afar.com/places/castle-of-good-hope-cape-town
เดินดูป้อมไปได้ซักพักนึง หิวอีกแล้วปลาก็ยังไม่ได้กิน คุณแฟนเริ่มง๊องแง๊ง แล้วจุดหมายถัดไปก็คือ Kirstenbosch Botanical Garden
เลยกะว่าจะไปหาอะไรกินระหว่างทาง เปิดดูเจอห้าง Cavendish Square เราก็แวะเข้าไปหาไรกิน เดินไปมาเจอร้านอาหารชื่อดังที่มีหลายสาขาใน
South Africa ชื่อว่าร้าน Ocean Basket ก็ต้องขอจัดหน่อย ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบ Mediterranian
ซึ่งจะเน้นไปทางอาหารทะเลซะส่วนใหญ่ สั่งมาทั้งหมดสามอย่าง คือ 1. ซุปปลามะเขือเทศ 2. ยำปลาหมึก (แบบเบา ๆ อ่อน ๆ) และ
3. Fish and Chips ซึ่งอาหารทะเลของร้านนี้สดมาก ปลาหมึกก็เหนียวกำลังดีทำให้เคี้ยวไม่เบื่อ ซุปมะเขือเทศก็เข้มข้นมาก
(ข้นจนเหมือนซอสสปาเกตตี้เลย) ที่สำคัญคือ Fish and Chips ทางร้านจะให้เลือกได้ว่าจะเอาเป็นปลาย่างหรือปลาทอด ก็เลยสั่งแบบย่างไป
ปลาสดมากย่างออกมาได้พอดี ๆ เลยข้างในกำลังฉ่ำ ๆ ข้างนอกเกรียม ๆ ราดด้วยซอสเนยกับมะนาวเสิร์ฟมาในกระทะใหญ่กันเลยทีเดียว
(ด้ามกระทะแอบเกะกะ) บีบมะนาวแล้วทานเลย โอ๊ะ ฟิน เนื่องจากหิวมาก มันก็เลยหมดเร็วมากเช่นกัน
(มื้อนี้ประมาณ 380 บาท)

* อาหาร Mediterranian จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นอาหารที่เกิดขึ้นแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งทะเลแห่งนี้จะถูกล้อมรอบไปด้วยชุมชนของทั้งสองทวีป (ซึ่งในยุคสมัยก่อนยังไม่แบ่งเป็นประเทศเหมือนปัจจุบัน) ซึ่งเมืองใหญ่ ๆ รอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ก็ได้มีการค้าขายเครื่องเทศข้ามกันไปข้ามกันมา วัฒนธรรมอาหารก็ได้ผสมกันไปผสมกันมาจนเกิดเป็นอาหาร Mediterranian ขึ้นมาปัจจุบันอาหารแบบนี้จะทานกันเยอะในแถบประเทศ Spain และ Protugal อาหารชนิดนี้จะเน้นไปทางอาหารทะเลซะเยอะและจะมีถั่ว ข้าว และน้ำมันมะกอก ผสมอยู่ในอาหารด้วย
ประมาณว่าอาหารกึ่งยุโรปกึ่งอาหรับนั่นแหละครับ
(
https://bateel.com/blog/history-of-mediterranean-cuisine/,2019)
(
https://th.wikipedia.org/wiki/อาหารเมดิเตอร์เรเนียน, 2019)
เริ่มง่วงขอเติมคาเฟอีนซักแก้ว ซื้อ Americano ร้อนมา อร่อยฟินอีกแล้ว
อิ่มแล้วก็ไปต่อจุดหมายถัดไป ขับรถต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึง สวนพฤษศาสตร์ของ Capetown ซึ่งมีชื่อว่า Kirstenbosch Botanical Garden
สวนนี้ใหญ่มาก แล้วก็จะแบ่งเป็นโซนๆพันธุ์ไม้ต่างๆ เดินเล่นไม่เบื่อเลย คนพื้นที่นิยมมาปิคนิคกัน พาเด็กมาวิ่งเล่น แล้วก็มาจีบกันกุ๊กกิ๊กตามประสาหนุ่มสาว ส่วนใหญ่ที่เจอเป็นคน Local ไม่ค่อยเจอนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ค่าเข้า (คนละ 75 Rand)
สวนนี้ตั้งอยู่ที่ตีนเขา Table Mountain เลย ไฮไลท์ของที่นี่ก็จะมีทาง Canopy Walk ซึ่งจะเป็นทางเดินสูง ๆ และวิวตระการตามากเลย คือจะเห็น Table Moutain กับสวนสวย ๆ



ดูแล้วเพลินไปเลย สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างของที่นี่ก็คือต้น "ปักษาสวรรค์ไร้ใบ" (ชื่อเท่มากยังกะหนังจีน) ดอกมันเป็นเหมือนนกสมบูรณ์มากเลย
นอกเหนือจากนั้นก็มีต้นไม้แปลก ๆ ที่เหมือนหลุดมาจากหนัง Avatar เยอะแยะเลย

ขากลับลองขับรถไปทางถนนเลียบทะเลอ้อมภูเขาถึง Sea Point ถ่ายรูปวิวทะเลก่อนพระอาทิตย์ตกมาให้ชมกัน และอีกเหตุผลที่กลับทางนี้
ก็เพื่อที่จะไปร้านอาหารอันดับหนึ่งในเวบ tripadvisor ซึ่งก็คือร้าน The Hassar Grill ร้านนี้จะเป็นร้าน Steak นะครับ ซึ่งควรจะต้องโทรมาจองก่อนเพราะอาจจะไม่มีโต๊ะเหลือ โชคดีที่ผมไปแล้วมีโต๊ะเล็ก ๆ เหลืออยู่ไม่งั้นถ้าอดกินจะเศร้ามากเลย ระหว่างรออาหารก็จะมี มะกอกดองกับกล้วยกรอบมาให้ทานเล่นกันเพลิน ๆ

มื้อนี้ สั่งไป 3 อย่าง จะมี ไขกระดูกวัวย่างเป็นจานเรียกน้ำย่อย รสชาติของไขกระดูกจะมัน ๆ เลี่ยน ๆ เลยครับควรจะทานกับอะไรเปรี้ยว ๆ แก้เลี่ยน คิดว่าเป็นอาหารที่ค่อนข้างเฉพาะคนเลยมากกว่าเพราะทานยากน่าดูเหมือนกันไม่น่าที่จะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าได้ลองแล้วเป็นประสบการณ์ จานที่สองและสามจะเป็นปลาและเนื้อ จานเนื้อจะเป็นสเต็กเนื้อสันในยัดไส้ด้วยหอยนางรมรมควันกับชีสครับ ซึ่งเมนูนี้ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมร้านนี้ถึงเป็นได้อันดับหนึ่ง ตั้งแต่เกิดมาคิดว่านี่เป็นสเต็กเนื้อที่นุ่มที่สุดที่เคยทานมาแล้วแถมมาแบบ Midium rare ด้วย เนื้อละลายในปากแทบไม่ต้องเคี้ยวเลยครับ ดีกว่าเนื้อญี่ปุ่นที่เคยทานซะอีก แถมในราคาไม่แพงด้วย หอยนางรม ชีส และซอสก็ช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีมากมาย จานนี้ชอบมากให้คะแนนเต็ม10 ส่วนจานปลาเป็นปลา Kingklip ชิ้นใหญ่เสิร์ฟมากับซอสเนยนี่ก็อร่อยมากเหมือนกัน ปลาย่างมาได้อย่างดีมาก (พ่อครัวแม่ครัวที่นี่ย่างปลาเก่งทุกคนเลย) ทานคู่กับซอสเนยและมะนาวเข้ากันเป็นที่สุด ตบท้ายด้วยของหวาน เป็น Post-dinner Traditional Dessert ของร้านนี้ครับ มีชื่อว่า Chocolate Vodka Martini เป็นชอคโกแลตร้อนครับ เข้มข้นหวานมันออกจะหนืด ๆ หน่อย หวานเจี๊ยบแสบไส้มากเลยครับ หนักเกินไปเลยกินไม่หมดถ้าไม่ชอบหวานจริงจังไม่แนะนำเท่าไหร่ครับ (มื้อนี้ประมาณ 1,300 บาท)
แนะนำเลยครับว่าใครมา Capetown ต้องมาร้านนี้ให้ได้ซักครั้งนึง พร้อมกับสั่งเมนูสเต็กเนื้อสันใน Hassar Carpetbagger
หมดวันแล้ว กลับโรงแรมไปพักผ่อน เหนื่อยและอิ่มจุกมากหลับเป็นตาย
ฝากกระทู้ก่อนหน้าด้วยนะครับ
รีวิว กิน เที่ยว เปรี้ยว ซ่า EP 0 เตรียมตัวก่อนไป
https://pantip.com/topic/39285952
รีวิว กิน เที่ยว เปรี้ยว ซ่า EP 1 Cape Town Day1-2
https://pantip.com/topic/39287807
--------------- EP 3 Cape Town Day 3 กำลังทยอยเขียนอยู่นะครับ --------------
ขอบคุณครับ
[CR] รีวิว กิน เที่ยว เปรี้ยว ซ่า // Season 1 : Road Trip ที่ South Africa 9 วัน // EP 2 Cape Town Day 2
ขับรถจากโรงแรมไปถึงสถานีกระเช้าของ Table Mountain ประมาณ 10 นาที จอดรถไว้ข้างทางขึ้นภูเขาได้เลย แล้วก็เดินไปที่สถานี พอไปถึงปุ๊ปพนักงานบอกว่าตอนนี้เมฆหมอกเยอะ ขึ้นไปก็ไม่เห็นอะไรมาเวลาอื่นดีกว่า เงิบไปแป๊ะนึงปรึกษากับคุณแฟนว่า ไว้พรุ่งนี้มาใหม่ดีกว่ามั้ยไหน ๆ
ยังอยู่ Capetown อีก 3 วัน โอเควันนี้ยังไม่ขึ้น ถ่ายวิวจากด้านล่างไปก่อน แล้วไปเที่ยวที่อื่นก่อนแทน ขับรถลงจากเขามาจะมีทางแยกไปยังจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Signal Hill ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ด้านบนสุดของ Capetown ระหว่างทางที่ขับไปก็จะเห็นภูเขา The Lion Head
ซึ่งเป็นภูเขาสูงชันที่นักปีนเขาชอบมาปีนกัน จาก Signal Hill เราจะสามารถมองเห็นห้าง V&A ได้ และเห็นชายฝั่งโดยรอบของ Capetown เลยทีเดียว และจุดนี้ก็เป็นจุดที่คน Capetown ชอบมานั่งปิคนิก พาหมามาเดินเล่นกัน
กลับลงมาจากเขาคุณแฟนอยากทานปลาเปิดหาร้านอาหารก็ได้ไปเจอร้านดังอยู่ร้านหนึ่งชื่อว่า Cafe Paradiso อยู่ระหว่างทางลงเขาพอดี เลยแวะไปทาน ร้านนี้ถ้ามองด้านนอกจะเป็นเหมือนบ้านหลังกลาง ๆ สวย ๆ หลังหนึ่ง มีโต๊ะด้านในและด้านนอก ตัวร้านจัดสวยมากเลยด้านนอกก็มีสวนหย่อมเล็ก ๆ ด้านในก็จัดแต่งได้สวยงาม มีถ้วยถังกะละมังหม้ออยู่บนชั้นแต่ไม่ดูรก และออกมาดูดี เดินไปเข้าห้องน้ำเห็นครัวซึ่งใหญ่และเต็มสูบมากเลย
แต่ว่า พอดีไปถึงร้านตอน 10 โมงเช้าเค้าก็เลยจะขายแต่เมนูอาหารเช้า อดกินปลาเลย (สม) ก็เลยสั่งเมนู Avocado Toast มา 1 จาน ทานกัน 2 คน
ขอบอกเลยว่านี่เป็น Avocado Toast ที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย Poached eggs หรือไข่ดาวน้ำทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ อาโวคาโดก็ให้มาเป็นลูกเลย
รวมกับเครื่องเคียงที่โรยมาด้วยทั้งมะเขือเทศตากแห้ง ถั่วพิซทาชิโอ ชีส มันดีมากจริง ๆ เสียดายที่ไม่ได้กลับมาทานเมนูอื่น ๆ ร้านนี้อีก
ถ้าใครมา Capetown แนะนำให้มาร้านนี้เลยนะชอบมากมาย (ค่าเสียหายมื้อนี้ประมาณ 180 บาท)
Avocado Toast ,บรรยากาศร้าน
เนื่องจากไม่ได้ขึ้น Table Mountain ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย เราก็เลยไปที่ Castle of Good Hope แทน อยู่ใจกลางเมืองเลย
ค่าเข้า คนละ 50Rand สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งปราสาทและป้อมที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยชาวดัตช์เป็นป้อมทรง 5 เหลี่ยม
มีหอคอยสังเกตุการอยู่ทุกมุม ด้านในมีห้องจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ มีห้องสำหรับใช้ในกิจการต่าง ๆ รวมไปถึงห้องทรมาน ห้องขัง ห้องครัว
โบสถ์ สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นที่คุมขังหัวหน้าชาวเผ่าสำคัญ ๆ ที่ต่อต้านชาวดัตช์ในสมัยก่อน มีหุ่นโชว์อยู่ด้านหน้า 4 คน ใกล้ ๆ ทางเข้ามีคาเฟ่เล็ก ๆ
กับร้านขายของที่ระลึกด้วย (https://www.expedia.co.th/Castle-Of-Good-Hope-Cape-Town.d6066747.Place-To-Visit, 2019)
https://www.afar.com/places/castle-of-good-hope-cape-town
เดินดูป้อมไปได้ซักพักนึง หิวอีกแล้วปลาก็ยังไม่ได้กิน คุณแฟนเริ่มง๊องแง๊ง แล้วจุดหมายถัดไปก็คือ Kirstenbosch Botanical Garden
เลยกะว่าจะไปหาอะไรกินระหว่างทาง เปิดดูเจอห้าง Cavendish Square เราก็แวะเข้าไปหาไรกิน เดินไปมาเจอร้านอาหารชื่อดังที่มีหลายสาขาใน
South Africa ชื่อว่าร้าน Ocean Basket ก็ต้องขอจัดหน่อย ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบ Mediterranian
ซึ่งจะเน้นไปทางอาหารทะเลซะส่วนใหญ่ สั่งมาทั้งหมดสามอย่าง คือ 1. ซุปปลามะเขือเทศ 2. ยำปลาหมึก (แบบเบา ๆ อ่อน ๆ) และ
3. Fish and Chips ซึ่งอาหารทะเลของร้านนี้สดมาก ปลาหมึกก็เหนียวกำลังดีทำให้เคี้ยวไม่เบื่อ ซุปมะเขือเทศก็เข้มข้นมาก
(ข้นจนเหมือนซอสสปาเกตตี้เลย) ที่สำคัญคือ Fish and Chips ทางร้านจะให้เลือกได้ว่าจะเอาเป็นปลาย่างหรือปลาทอด ก็เลยสั่งแบบย่างไป
ปลาสดมากย่างออกมาได้พอดี ๆ เลยข้างในกำลังฉ่ำ ๆ ข้างนอกเกรียม ๆ ราดด้วยซอสเนยกับมะนาวเสิร์ฟมาในกระทะใหญ่กันเลยทีเดียว
(ด้ามกระทะแอบเกะกะ) บีบมะนาวแล้วทานเลย โอ๊ะ ฟิน เนื่องจากหิวมาก มันก็เลยหมดเร็วมากเช่นกัน
(มื้อนี้ประมาณ 380 บาท)
* อาหาร Mediterranian จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นอาหารที่เกิดขึ้นแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งทะเลแห่งนี้จะถูกล้อมรอบไปด้วยชุมชนของทั้งสองทวีป (ซึ่งในยุคสมัยก่อนยังไม่แบ่งเป็นประเทศเหมือนปัจจุบัน) ซึ่งเมืองใหญ่ ๆ รอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ก็ได้มีการค้าขายเครื่องเทศข้ามกันไปข้ามกันมา วัฒนธรรมอาหารก็ได้ผสมกันไปผสมกันมาจนเกิดเป็นอาหาร Mediterranian ขึ้นมาปัจจุบันอาหารแบบนี้จะทานกันเยอะในแถบประเทศ Spain และ Protugal อาหารชนิดนี้จะเน้นไปทางอาหารทะเลซะเยอะและจะมีถั่ว ข้าว และน้ำมันมะกอก ผสมอยู่ในอาหารด้วย
ประมาณว่าอาหารกึ่งยุโรปกึ่งอาหรับนั่นแหละครับ
(https://bateel.com/blog/history-of-mediterranean-cuisine/,2019)
(https://th.wikipedia.org/wiki/อาหารเมดิเตอร์เรเนียน, 2019)
เริ่มง่วงขอเติมคาเฟอีนซักแก้ว ซื้อ Americano ร้อนมา อร่อยฟินอีกแล้ว
อิ่มแล้วก็ไปต่อจุดหมายถัดไป ขับรถต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึง สวนพฤษศาสตร์ของ Capetown ซึ่งมีชื่อว่า Kirstenbosch Botanical Garden
สวนนี้ใหญ่มาก แล้วก็จะแบ่งเป็นโซนๆพันธุ์ไม้ต่างๆ เดินเล่นไม่เบื่อเลย คนพื้นที่นิยมมาปิคนิคกัน พาเด็กมาวิ่งเล่น แล้วก็มาจีบกันกุ๊กกิ๊กตามประสาหนุ่มสาว ส่วนใหญ่ที่เจอเป็นคน Local ไม่ค่อยเจอนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ค่าเข้า (คนละ 75 Rand)
สวนนี้ตั้งอยู่ที่ตีนเขา Table Mountain เลย ไฮไลท์ของที่นี่ก็จะมีทาง Canopy Walk ซึ่งจะเป็นทางเดินสูง ๆ และวิวตระการตามากเลย คือจะเห็น Table Moutain กับสวนสวย ๆ
ดูแล้วเพลินไปเลย สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างของที่นี่ก็คือต้น "ปักษาสวรรค์ไร้ใบ" (ชื่อเท่มากยังกะหนังจีน) ดอกมันเป็นเหมือนนกสมบูรณ์มากเลย
นอกเหนือจากนั้นก็มีต้นไม้แปลก ๆ ที่เหมือนหลุดมาจากหนัง Avatar เยอะแยะเลย
ขากลับลองขับรถไปทางถนนเลียบทะเลอ้อมภูเขาถึง Sea Point ถ่ายรูปวิวทะเลก่อนพระอาทิตย์ตกมาให้ชมกัน และอีกเหตุผลที่กลับทางนี้
ก็เพื่อที่จะไปร้านอาหารอันดับหนึ่งในเวบ tripadvisor ซึ่งก็คือร้าน The Hassar Grill ร้านนี้จะเป็นร้าน Steak นะครับ ซึ่งควรจะต้องโทรมาจองก่อนเพราะอาจจะไม่มีโต๊ะเหลือ โชคดีที่ผมไปแล้วมีโต๊ะเล็ก ๆ เหลืออยู่ไม่งั้นถ้าอดกินจะเศร้ามากเลย ระหว่างรออาหารก็จะมี มะกอกดองกับกล้วยกรอบมาให้ทานเล่นกันเพลิน ๆ
มื้อนี้ สั่งไป 3 อย่าง จะมี ไขกระดูกวัวย่างเป็นจานเรียกน้ำย่อย รสชาติของไขกระดูกจะมัน ๆ เลี่ยน ๆ เลยครับควรจะทานกับอะไรเปรี้ยว ๆ แก้เลี่ยน คิดว่าเป็นอาหารที่ค่อนข้างเฉพาะคนเลยมากกว่าเพราะทานยากน่าดูเหมือนกันไม่น่าที่จะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าได้ลองแล้วเป็นประสบการณ์ จานที่สองและสามจะเป็นปลาและเนื้อ จานเนื้อจะเป็นสเต็กเนื้อสันในยัดไส้ด้วยหอยนางรมรมควันกับชีสครับ ซึ่งเมนูนี้ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมร้านนี้ถึงเป็นได้อันดับหนึ่ง ตั้งแต่เกิดมาคิดว่านี่เป็นสเต็กเนื้อที่นุ่มที่สุดที่เคยทานมาแล้วแถมมาแบบ Midium rare ด้วย เนื้อละลายในปากแทบไม่ต้องเคี้ยวเลยครับ ดีกว่าเนื้อญี่ปุ่นที่เคยทานซะอีก แถมในราคาไม่แพงด้วย หอยนางรม ชีส และซอสก็ช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีมากมาย จานนี้ชอบมากให้คะแนนเต็ม10 ส่วนจานปลาเป็นปลา Kingklip ชิ้นใหญ่เสิร์ฟมากับซอสเนยนี่ก็อร่อยมากเหมือนกัน ปลาย่างมาได้อย่างดีมาก (พ่อครัวแม่ครัวที่นี่ย่างปลาเก่งทุกคนเลย) ทานคู่กับซอสเนยและมะนาวเข้ากันเป็นที่สุด ตบท้ายด้วยของหวาน เป็น Post-dinner Traditional Dessert ของร้านนี้ครับ มีชื่อว่า Chocolate Vodka Martini เป็นชอคโกแลตร้อนครับ เข้มข้นหวานมันออกจะหนืด ๆ หน่อย หวานเจี๊ยบแสบไส้มากเลยครับ หนักเกินไปเลยกินไม่หมดถ้าไม่ชอบหวานจริงจังไม่แนะนำเท่าไหร่ครับ (มื้อนี้ประมาณ 1,300 บาท)
แนะนำเลยครับว่าใครมา Capetown ต้องมาร้านนี้ให้ได้ซักครั้งนึง พร้อมกับสั่งเมนูสเต็กเนื้อสันใน Hassar Carpetbagger
หมดวันแล้ว กลับโรงแรมไปพักผ่อน เหนื่อยและอิ่มจุกมากหลับเป็นตาย
ฝากกระทู้ก่อนหน้าด้วยนะครับ
รีวิว กิน เที่ยว เปรี้ยว ซ่า EP 0 เตรียมตัวก่อนไป https://pantip.com/topic/39285952
รีวิว กิน เที่ยว เปรี้ยว ซ่า EP 1 Cape Town Day1-2 https://pantip.com/topic/39287807
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้