JJNY : 4in1 เสรีพิศุทธ์ยันธรรมนัสติดคุกจริงปี31/อนค.ชำแหละ‘ชิมช้อปใช้’/แล้งสลับท่วมกดอ้อยวูบ/ตกงานเพิ่ม3เท่าโรงงานร่อแร่

เสรีพิศุทธ์ ยัน ธรรมนัส ติดคุกจริงปี31-ไม่ได้เรียนป.เอก ลั่นถ้าไม่ออก บิ๊กตู่รับผิดชอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_1697512

“เสรีพิศุทธ์” ยัน ”ธรรมนัส” ติดคุกจริงปี31 -ไม่ได้เรียนป.เอก ชี้ ถ้ายังไม่ลาออก “บิ๊กตู่”ต้องรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีกมธ.ปราบทุจริตฯตรวจสอบพบร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มเติมอีกหนึ่งคดีในปี2531ว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ร.อ.ธรรมนัสเดินทางเป็นคณะไปประเทศออสเตรเลีย และไปพักที่โรงแรม ปรากฏว่า ผู้ที่ร่วมคณะไปด้วยกันที่พักอยู่ห้องข้างๆ ร.อ.ธรรมนัสถูกตำรวจค้นเจอยาเสพติดในห้องพัก ทำให้ร.อ.ธรรมนัสมีความผิดไปด้วยตามกฎหมายออสเตรเลียในข้อหาไม่แจ้งเบาะแสยาเสพติดในฐานะเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ร.อ.ธรรมนัสติดคุกอยู่ 8 เดือน เมื่อพ้นโทษออกมาจะต้องถูกส่งตัวกลับประเทศไทย แต่ร.อ.ธรรมนัสขออยู่ต่อ โดยวางเงินประกันไว้ แต่พอถึงเวลาร.อ.ธรรมนัสกลับหนี จนถูกจับตัวได้ และส่งตัวกลับประเทศไทย จากนั้นพอปี 2536 ร.อ.ธรรมนัสเดินทางไปประเทศออสเตรเลียอีกครั้ง จึงถูกทางการออสเตรเลียจับตามอง เพราะมีประวัติอยู่ ในที่สุดจึงถูกจับอีกครั้ง และติดคุก 4 ปี ตามกระบวนการพรีบาร์เกนนิ่ง ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการดังกล่าวอาจติดคุกนานกว่านั้น เท่ากับว่า ร.อ.ธรรมนัสติดคุกที่ออสเตรเลีย 2 ครั้ง แต่เวลาที่มาชี้แจงในสภา ร.อ.ธรรมนัสพยายามโยงทั้งสองกรณีให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า ช่วงปี2531 ยังเรียนอยู่ เป็นจปร.รุ่น36 จะถูกจับได้อย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า เวลาอาจจะขาดๆเกินๆเล็กน้อย แต่ยืนยันได้ว่า ร.อ.ธรรมนัสติดคุกที่ออสเตรเลียจริง และข้อมูลดังกล่าวที่มีอดีตผู้สื่อข่าวแจ้งข้อมูลต่อกมธ.นั้น เป็นข้อมูลที่มีน้ำหนักหนักแน่นเชื่อถือได้แน่นอน เพียงแต่กมธ.จะต้องไปเอาหลักฐานเพิ่มเติมจากศาล อัยการ กรมราชทัณฑ์ของออสเตรเลียมาประกอบให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ถ้าร.อ.ธรรมนัสลาออกถือว่าจบ เพราะถือว่า ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากเคยติดคุก เรื่องจะไม่ลามไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่ถ้าปล่อยให้กระบวนการพิจารณาของกมธ.ดำเนินการไปจนแล้วเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้คนขัดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ร.อ.ธรรมนัสระบุถูกหลอกลวงเรื่องวุฒิการศึกษาปริญญาเอกปลอม เหมือนที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ตั้งข้อสังเกตนั้น เชื่อว่า นายสมชัยคงไม่กล้าพูดตรงๆ แต่ในฐานะเป็นตำรวจดูแล้วเชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัสเป็นตัวการ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ได้เรียนปริญญาเอก ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์จริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่กลับนำวุฒิปริญญาเอกมาแสดงต่อกกต.และหาเสียงว่าจบดร. รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เรียน แล้วอย่างนี้ไม่ใช่ตัวการหรือ ส่วนปริญญาเอกมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่นำมาโชว์ ถ้าแปลตามตัวอักษรแล้ว ไม่ใช่ปริญญาเอก แต่เป็นเพียงใบรับรองว่า หลักฐานที่ผู้จบการศึกษาส่งไปเทียบเคียงเป็นปริญญาอะไรได้บ้าง



อนาคตใหม่ ชำแหละ ‘ชิมช้อปใช้’ กระตุ้นศก.ไม่ได้ ร้านค้าใหญ่รับเน้นๆ แต่ชุมชนไม่ได้อะไร
https://www.khaosod.co.th/politics/news_2942563

วันที่ 3 ต.ค. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘ชิม ช้อป ใช้’ ที่เปิดให้ประชาชนจำนวน 10 ล้านคน เพื่อรับเงินไปใช้จ่ายคนละ 1,000 บาท และมีข่าวว่ารัฐบาลจะดำเนินการต่อเฟส 2 ขยายผู้เข้าร่วมเพิ่มอีก 10 ล้านคน ว่า ต้องรอให้มีการประเมินผลของโครงการก่อน หากรัฐบาลจะต่อเฟส 2 เนื่องจากยังเร็วไปที่จะบอกว่าโครงการประสบความสำเร็จ และจะบอกว่าสำเร็จได้เมื่อรัฐบาลมีการตั้งเป้าชัดก่อน ว่านี่คือการกระตุ้นการท่องเที่ยว หรือกระตุ้นการใช้จ่าย

สรุปว่าจะกระตุ้นไปที่ใคร ให้เศรษฐกิจโตแค่ไหน แล้วกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของโครงการคือใคร ระหว่างนี้ควรนำงบประมาณไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า เพราะ พ.ร.บ.งบประมาณที่ล่าช้า ทำให้งบกลาง รายการรายจ่ายสำรองฉุกเฉินที่รัฐบาลนำมาใช้ได้เพียง 46,000 ล้านบาท การนำงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า การที่ประชาชนให้ความสนใจโครงการนี้เป็นจำนวนมาก สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งเดิมคือการจูงใจให้คนเอาเงินออมออกไปเที่ยวในต่างจังหวัด เพื่อหวังกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ซบเซา แต่พอโครงการเกิดขึ้นจริง กลับกลายเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายบริโภคทั่วไป โดย 7 วันแรก มีคนลงทะเบียนไปแล้ว 5.5 ล้านคน แต่ยืนยันสิทธิ์สำเร็จเพียงครึ่งเดียวคือ 2.7 ล้านคน ทำให้ยอดใช้จ่ายใน 5 วันแรกมีเพียง 621 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 6% ของวงเงินที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท

รัฐบาลอาจคาดหวังกับโครงการนี้สูงเกินไป ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่าโครงการนี้จะดันเศรษฐกิจให้โตได้ 0.2-0.3 % แต่นักวิชาการหลายสำนักคาดการณ์ว่าจะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเพียง 0.01-0.02% เท่านั้น

“การใช้จ่ายที่น้อยกว่าที่รัฐบาลคาดหวังไว้ อาจเกิดจากกระบวนการที่ยุ่งยาก โดยผู้ลงทะเบียนจำเป็นต้องมี Smartphone ที่สามารถเชื่อมอินเตอร์เน็ต ถึงจะรับสิทธิ์ได้ Email Address และดาวน์โหลด App เป๋าตัง ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้อาจกีดกันคนจำนวนหนึ่งไม่ให้เข้าถึงสิทธิได้ เช่น ผู้มีรายได้น้อยหรือผู้สูงอายุ นอกจากนี้กระบวนการรับสิทธิ ต้องลงทะเบียนถึง 2 ครั้ง เพื่อรับเงินผ่าน G-Wallet โดยรัฐบาลบอกว่าเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนใช้ E-payment มากขึ้น
แต่กลับไม่เชื่อมต่อระบบพร้อมเพย์ เมื่อผ่านการลงทะเบียนแล้ว ขั้นตอนการใช้เงินก็มีปัญหาหลายกรณีเช่น ไม่สามารถจ่ายเงินได้ จ่ายเงินแล้วเงินไม่โอนเข้าร้านค้าทันที การหาร้านค้าที่ระบุไว้ในแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ไม่ตรงกับพื้นที่จริง นั่นหมายความว่า รัฐบาลไม่มีการเตรียมความพร้อมให้ข้อมูลการเข้าร่วมโครงการแก่ร้านค้าที่ดีพอ“ น.ส.ศิริกัญญา

ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวต่อว่า ถึงแม้จะมีการลงทะเบียนร้านค้าไปแล้วกว่า 100,000 ร้านค้า แต่การค้นหาร้านที่สามารถรับสิทธิได้ยังมีความยุ่งยาก เช่น ร้านค้าในตลาดสด หรือร้านค้าชุมชนในต่างจังหวัด และยังมีร้านประเภทนี้อีกมากที่ยังไม่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ประชาชนจะนำสิทธิที่ได้ไปใช้ในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีแหล่งที่ตั้งชัดเจน ทำให้เม็ดเงินไม่ลงไปสู่ชุมชน เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจน้อยรอบกว่า

ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่เห็นว่า การที่จะต่อเฟส 2 ควรมีการประเมินผลของโครงการด้วย ว่างบประมาณที่ใช้ไปนั้น มีความคุ้มค่าหรือไม่ และเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่าไหร่ หากมีการขยายสิทธิ์เพิ่มจริง ก็ควรแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทั้งความยากในการลงทะเบียนและรับสิทธิ์ และด้านความพร้อมของร้านค้าที่ร่วมรายการ

“พรรคอนาคตใหม่ อยากตั้งคำถามฝากไปถึงรัฐบาลว่าควรจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณที่มีจำกัดเนื่องจากร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 63 ยังไม่ผ่าน ในขณะที่น้ำท่วมกำลังต้องการงบประมาณในการฟื้นฟู เกษตรกรรอรับการเยียวยา ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมากไม่สามารถต่อสัญญาเข้าทำงานได้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่