ป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ในสงครามโลก

                                                                       
                                                osowiec หรือ ออสโซวิซ 


สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1915  ปราการนี้ถูกใช้โดยฝ่ายจักรวรรดิรัสเซียเพื่อป้องกันการรุกของฝ่ายจักรวรรดิเยอรมันอยู่หลายครั้ง 
- การรบครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกันยายนปี 1914 โดยกองทัพจักรวรรดิเยอรมันเป็นฝ่ายเปิดฉากการรุกเข้าสู่ป้อมปราการนี้ก่อนโดยใช้ทั้งปืนใหญ่และปืนต่อสู้รถถังในการยิงถล่มปราการแห่งนี้โดยใช้เวลาในการระดมยิงแบบปูพรมทั้งป้อมเป็นเวลานานกว่า 6 วัน หลังจากเสร็จสิ้นการยิงถล่ม กองทัพจักรวรรดิเยอรมันจึงเปิดฉากการรุกต่อด้วยโดยใช้เหล่าทหารราบบุกเข้าตีป้อม แต่ทหารรัสเซียและปืนใหญ่สนับสนุนภายในป้อมยังคงสามารถต้านทานการบุกของกองทัพเยอรมันไว้ได้

- การโจมตีเริ่มต้นอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนมีนาคมปี 1915 โดยคราวนี้ฝ่ายเยอรมันได้นำปืนใหญ่ชนิดใหม่มาใช้คือ ปืนใหญ่หนักขนาด 420 มม.หรือ"Big Bertha"ซึ่งฝ่ายเยอรมันเรียกมันว่า ปืนใหญ่ของเหลือจากกองทัพเรือ เพื่อปกปิดว่ามันคือ อาวุธชนิดใหม่ เหล่าปืนใหญ่บิ๊กเบอธาต่างพากันระดมยิงใส่ป้อมปราการจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่หลายจุด แม้บนฟ้ายังถูกเครื่องบินของกองทัพเยอรมันเข้าโจมตีทิ้ง ระเบิดใส่ซ้ำอีก เหล่าผู้บัญชาการของกองทัพจักรวรรดิเยอรมันต่างคิดกันว่าในไม่ช้าฝ่ายรัสเซียก็จะยอมจำนนเองในทีสุด แต่ในทางกลับกันฝ่ายผู้บัญชาการของจักรวรรดิรัสเซีย ทีได้รับคำสั่งให้ล่าถอยกลับเลือกที่ยืนหยัดต่อสู้ป้องกันป้อมปราการต่อไปเพื่อซื้อเวลาให้ได้ 48 ชั่วโมง ให้เหล่าทหารที่บาดเจ็บพาการอพยพ แต่การโจมตีจากฝ่ายจักรวรรดิเยอรมันอย่างไม่ลดละ ร่วมเกือบเดือนทำให้มีทหารรัสเซียบาดเจ็บและล้มตายเพิ่มมากขึ้นอีกและหน่วยปืนใหญ่สนับสนุนของฝ่ายรัสเซียสามารถทำให้กองทัพจักรวรรดิเยอรมันล่าถอยออกไปได้ชั่วคราว 




- เดือนกรกฎาคมปี 1915 กองทัพจักรวรรดิเยอรมันก็กลับมาอีกครั้งภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลเพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก ครานี้ได้มีคำสั่งให้ใช้แก็สพิษโจมตีป้อมปราการแห่งนี้เพราะ ฝ่ายข่าวกรองของกองทัพเยอรมันแจงว่า ทหารฝ่ายรัสเซียไม่มีหน้ากากกันแก็สพิษ ปืนใหญ่ขนาดหนักของกองทัพจักรวรรดิเยอรมันจำนวน 13 กระบอกและถังแก็สพิษกว่า 13 ถัง ถูกเคลื่อนเข้าไปในระยะยิงทีจะสามารถยิงถึงตัวป้อมปราการ สายลมได้พัดพานำเหล่า
แก็สมรณะนี้ไปยังป้อมปราการในวันที่ 6 สิงหาคม ปีเดียวกัน 

กลุ่มควันสีเขียวขุ่นทีเกิดจากโบรมีนและคลอรีนได้เคลื่อนผ่านเข้าไปใกล้ตำแหน่งแนวรบของฝ่ายรัสเซีย เมื่อกลุ่มหมอกควันพิษเหล่านั้น พัดผ่านพื้นหญ้าทำให้ใบหญ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ใบไม้บนต้นไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ปืนใหญ่และลูกปืนใหญ่ของฝ่ายรัสเซียที่ทำมาจากทองแดงต่างถูกฉาบและกัดกร่อนไปด้วยสคลอรีนไดออกไซด์จนกลายเป็นสีเขียวอ่อน ทำให้ทหารจักรวรรดิรัสเซียจากกองร้อยที่ 9,10,11 และ 12 เสียชีวิตทันทีทั้งกองร้อยอันเป็นผลมาจากแก็สพิษ หลังม่านหมอกควันพิษจางลง ทหารเยอรมันกว่า 14 กองพันจำนวน 7,000 นายได้ทำการรุกคืบเข้าสู้ป้อมปราการ แต่เมื่อใกล้จะถึงตัวป้อมปราการเหล่าทหารเยอรมันจึงได้ตกใจจากภาพที่ตนเห็น มันคือ ภาพของทหารรัสเซียจากกองร้อยที่ 8,13 ที่ยังรอดชีวิตอยู่ต่างพากันวิ่งกรูออกมาโจมตีทหารเยอรมันจนวิ่งหนีแตกทัพกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทางกลับไปยังสนามเพลาะของตนเอง 

เหล่าทหารรัสเซียทีบุกจู่โจมเข้ามาด้วยดาบปลายปืนทีเนื้อตัวเต็มไปด้วยสารเคมีทีเป็นพิษทีกำลังกัดและเผาไหม้ผิวหนังและใบหน้าของทหารรัสเซียและผ้าพันใบหน้าทีชุ่มไปด้วยเลือด ตาแดงก่ำ ปากและจมูกทีมีเลือดไหลออกมา ทหารรัสเซียทีเหลืออยู่ต่างกันกันจู่โจมและยิงด้วยปืนไรเฟิลและปืนใหญ่ใส่ทหารเยอรมันทีกำลังพากันวิ่งหนีด้วยความตื่นตกใจ บางคนถูกยิงตายหรือถูกพวกเดียวกันเหยียบตายคารั้วลวดหนามของฝ่ายตนเอง สองสัปดาห์ต่อมาเหล่าทหารรัสเซียทีต่อสู้เพื่อปกป้องป้อมปราการออสโซวิซ ได้ทำการถอนกำลังออกไป หนังสือพิมพ์ทั้งของรัสเซียและเยอรมันต่างลงข่าวหน้าหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในชื่อ"Attack of the Dead Men "การโจมตีจากคนตาย จากการรบที่ทหารจักรวรรดิรัสเซียจำนวน 60 ถึง 100 นายสามารถต้านทานและตอบโต้การบุกของทหารเยอรมันจำนวนกว่า 14 กองพันให้ล่าถอยกลับไปจนทำให้ฝ่ายจักรวรรดิเยอรมันต้องเสียหน้าเป็นอย่างมาก...
Cr.facebook.com (แอดมินนามปากกา)



                                 ‘Maginot Line’ ป้อมปราการสุดยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส 


หลุมหลบภัยและป้อมปืนใหญ่ที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษ 1930 มันตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางตะวันออกที่ติดกับเยอรมนี ซึ่งถูกตั้งชื่อตามรัฐมนตรีด้านการสงคราม Andre Maginot มันถูกตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะเป็นด่านหน้าในการหยุดการรุกรานของทัพเยอรมันที่มีพื้นที่ติดกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผิดคาดเพราะนาซีเปลี่ยนแผนไปบุกอีกทางที่มีการป้องกันที่น้อยกว่าแทน

หนึ่งในสิ่งก่อสร้างสุดภาคภูมิใจของฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากเป็นป้อมปราการที่ถูกทุ่มงบประมาณในการสร้างไปมหาศาลหลังจากได้รับบทเรียนในสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสได้คิดค้นแนวป้อมปืนใหญ่ที่ถูกฝังเอาไว้อยู่ใต้ดินที่เอาไว้ป้องกันการรุกรานของเยอรมนีที่มีชายแดนติดกัน

สถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบมาให้พร้อมรับมือกับสงครามทั้งบนบกและทางอากาศ มันถูกสร้างทางรถไฟใต้ดินที่ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายทหารมาที่ป้อมแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อมั่นว่านาซีเยอรมันจะไม่มีทางบุกมาทางฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศสได้แน่นอน และหากบุกมาทางเหนือก็จะต้องผ่านประเทศเบลเยียมที่ประกาศเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในมหาสงครามครั้งนี้และจะเป็นกำแพงต้านทานกองทัพเยอรมันบุกเข้าฝรั่งเศส อีกทั้งเบลเยียมยังเป็นพื้นที่ราบสูงทำให้การบุกนั้นเป็นไปได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสไม่ได้คิดว่าเยอรมันจะขนกองทัพบุกเข้ายึดประเทศลักซัมเบิร์ก ผ่านต่อประเทศเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ไล่เรียงตามลำดับด้วย “ยุทธการบลิทซ์ครีก” หรือ การโจมตีสายฟ้าแลบ ก่อนจะเข้าโจมตีทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยงป้อมมายิโนต์ และจะสามารถพิชิตปารีสได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์ ทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่นี้ยังไม่เคยได้แสดงออกมาให้เห็นเลยซักครั้งเดียว

นับจากวันนั้นมันก็ถูกปล่อยทิ้งร้างและไม่ได้ถูกใช้ในการทหารอีกเลย เนื่องจากงบประมาณในการบำรุงรักษาที่สูงมาก ปัจจุบันเป็นเพียงอนุสรณ์จากสงครามที่มีราคาแพงมากที่สุดในฝรั่งเศสที่ไม่เคยถูกใช้งานจริงเลยซักครั้งเดียว ให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางมาเยี่ยมชมเพียงเท่านั้น
Cr. SpokeDark.TV



                                RED SANDS FORT ป้อมปราการของกองทัพอังกฤษ



บางทีก็เรียกว่า RED SANDS MAUNSELL FORTS ป้อมปราการป้องกันทางทะเลที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งออกไปราว 6 ไมล์ บริเวณปากแม่น้ำเทมส์  เพื่อใช้สู้รบกับฝูงเครื่องบินของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุที่สร้างออกไปนอกชายฝั่งนั้นก็เพื่อเป็นด่านแรกในการสะกัดเครื่องบินรบศัตรูก่อนที่จะเข้าสู่แผ่นดิน เพราะหากป้อมตั้งอยู่บนแผ่นดินการทิ้งระเบิดลงมาของศัตรูก็จะสร้างความเสียหายให้กับประชาชนทั่วไปได้มากกว่า แล้วก็ยังเป็นป้อมเตือนภัยที่จะแจ้งข่าวให้กองทัพบนฝั่งเตรียมตัวป้องกันได้อย่างทันท่วงทีด้วย
 
RED SANDS FORT เป็นป้อมปราการ 7 หลัง ที่สร้างขึ้นในปี 1942 โดยกองทัพอังกฤษ มันถูกออกแบบโดยวิศวกรโยธาที่ชื่อ Guy Maunsell ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบแนวป้องกันทางทะเลและป้อมปราการกองทัพอังกฤษทั้งหมดรอบบริเวณแถบชายฝั่งปากแม่น้ำเทมส์ไปจนถึงปากแม่น้ำเมอร์ซีย์  ความจริงแล้ว ป้อม RED SANDS นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของป้อมปราการทั้งหมดที่กระจายอยู่รอบบริเวณนี้ที่เดิมทีมีแผนสร้างขึ้นกว่า 87 ป้อม แต่จำนวนที่แท้จริงนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนนัก ปัจจุบันหลงเหลือป้อมปราการอยู่เพียงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น

ในอดีตบนป้อมปราการนี้มีทหารประจำการอยู่กว่า 200 นาย บนดาดฟ้ามีเสาเรดาร์ ฐานปืนใหญ่ ตลอดจนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และป้อมทั้ง 7 จะมีทางเดินเชื่อมถึงกันโดยมีอาคารบัญชาการอยู่ตรงกลาง ป้อมปราการนี้สร้างอยู่บนเสาบางๆ ที่ปักลงไปในทะเลซึ่งแข็งแรงและรองรับแรงปะทะคลื่นได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ว่ากันว่านี่คือต้นแบบของการออกแบบฐานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลในบริเวณอ่าวเม็กซิโกที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อช่วงราวปี1955 ด้วยนั่นเอง




 RED SANDS FORT ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างเมื่อปี 1958 จากนั้นปราการกลางทะเลแห่งนี้กลายมาเป็นฐานประจำการของ Pirate Radio Station สถานวิทยุเถื่อนที่ย้ายจากเรือขึ้นสู่ป้อมปราการในปี 1960 ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสถานีวิทยุเถื่อนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกโดยเป็นการรวมตัวของคนรักเสียงเพลง ที่เปิดเพลงตลอดทั้งวันทั้งคืน เป็นต้นแบบของการจัดรายการวิทยุในปัจจุบันนี้ ซึ่งยุคนั้นทำให้กระแสสถานีวิทยุเถื่อนโด่งดังไปทั่วอังกฤษโดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ในยุคนั้น และมีสถานีวิทยุเถื่อนอื่นๆ ผุดขึ้นตามมาอีกมากมาย จนรัฐบาลต้องออกกฏหมายมากำจัดสถานีวิทยุเหล่านี้ให้หมดไป

จุดนี้เองยังเป็นจุดกำเนิดของการแยกย่อยรายการวิทยุ BBC ในปี 1967 ให้เป็น Radio 1 สำหรับเพลง POP ที่จับกลุ่มผู้ฟังคนรุ่นใหม่ และ Radio 2 สำหรับเพลง Adult Contemporary Music (AC) ที่เอาใจผู้ฟังคนยุคเก่านั่นเอง เสียงเพลงแห่งความสุขที่ลอยมาจากกลางทะเลนั้นยังทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์อังกฤษเรื่อง The Boat That Rocked ที่ออกฉายในปี 2009 ซึ่งหยิบเอาเรื่อง Pirate Radio Station สถานีวิทยุเถื่อนกลางทะเลอังกฤษมาเป็นแก่นของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แถมยังสะท้อนให้เราเห็นภาพส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ RED SANDS FORT ตลอดจนความรุ่งเรืองของวงการเพลงในยุคนั้นไปจนถึงต้นกำเนิดวงการวิทยุอย่างในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น




The Boat that Rocked (ในสหรัฐใช้ชื่อว่า Pirate Radio) เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่นอกจากจะสนุกแล้วยังมีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ดนตรี ใครที่รักเพลงร็อคแอนด์โรล หรือชอบศิลปะวัฒนธรรมอังกฤษไม่ควรพลาดชมเป็นอันขาด ที่สำคัญเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงร็อคอมตะขึ้นหิ้งจากยุค 50s – 60s อีกด้วย


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ  


Cr.youtube.com › watch
Cr.culturedcreatures.co


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่