กรณีนี้พูดถึงรถเครื่องยนต์ปกตินะครับ ไม่นับพวกรถ HEV ที่เครื่องยนต์สามารถติดดับได้แล้วไม่มีผลกระทบอะไรกับการใช้งาน
การที่ปล่อยให้ค่ายรถใช้ Idle stop ในตอนที่ทดสอบวัดค่า CO2 เพื่อเอามาคิดเกณฑ์ภาษีสรรพสามิต
มันเหมือนการโกงภาษีและเป็นการหลอกหลวงผู้บริโภคแบบชัดเจน
เพราะรถที่เครื่องยนต์แย่ แต่บริษัทรถไม่อยากจะพัฒนาอะไรให้มันมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ก็แค่ใส่ระบบ Idle stop เข้าไป ก็สามารถลดค่า CO2 ได้ 10-20 g/km แล้ว
ซึ่งมันก็ทำให้รถที่ค่า CO2 สูงเกินเส้นแบ่งเกณฑ์ไปไม่มาก สามารถผ่านเกณฑ์ภาษีที่ต่ำกว่าแบบดื้อๆ
กรมสรรพสามิตก็จะเสียรายได้จากการเก็บภาษีรถรุ่นนั้นๆไปหลายหมื่นบาททันที และถ้ารถมีราคาสูงก็หายไปเป็นแสน
ส่วนผู้บริโภคก็ไม่ได้รถที่ดี ที่ประหยัดเชื้อเพลิงตามที่ควรจะเป็นไปตามค่า CO2 ที่เห็น
และแถมยังได้ความน่ารำคาญมากขึ้น เพราะต้องคอยมากดปุ่มปิดระบบ Idle stop ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ
ถ้าวันไหนลืมปิด ไปจอดรอเลี้ยว พอจะได้จังหวะออกตัว เครื่องดันดับ ก็เรียบร้อย
เรื่องค่า CO2 กับ อัตราสิ้นเปลือง ตาม Eco Sticker หลายคนอาจจะไม่เข้าใจมัน ผมจะขออธิบายสั้นๆไว้ตรงนี้ละกัน
ค่า CO2 กับ อัตราสิ้นเปลือง ที่เห็นใน Eco Sticker นั้น เป็นค่าที่คำนวณมาจากผลที่ทดสอบใน Lab อีกที
ในการทดสอบ ตามมาตรฐาน UN R101 ก็จะจำลองสถานการณ์ขับขี่แทนการขับขี่จริง และก็จะไม่เปิดแอร์
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ สภาวะในเมือง กับ สภาวะนอกเมือง
ผลทดสอบที่ได้แต่ละหมวด ก็นำมาคำนวณเป็นค่า CO2 และ ค่าอัตราสิ้นเปลืองตามประเภทของเชื้อเพลิง
โดยค่า CO2 ที่จะนำมาเป็นเกณฑ์คิดภาษี ก็จะเป็นค่าเฉลี่ยจากทั้ง 2 หมวด
ทีนี้ระบบ Idle stop มันก็จะไปมีผลกับค่า CO2 ของหมวดทดสอบ สภาวะในเมือง เพราะมันมีจังหวะที่หยุดไม่ได้วิ่ง
ซึ่งพอ Idle stop มันทำงาน เครื่องยนต์ก็จะดับ ทำให้ค่า CO2 ตอนติดเครื่องเดินเบามันหายไป
ค่าที่หายไปตรงนี้มันส่งผลพอสมควรกับค่า CO2 ที่จะเอามาใช้ต่อไป
ค่ายรถเองก็จะรู้จุดนี้ ลองดูกันเอาก็ได้ถ้ารถรุ่นไหนที่ค่า CO2 ผ่านแบบสบายๆเขาก็จะไม่ใส่ Idle stop มาให้เป็นปัญหา
แต่ถ้ารุ่นไหนที่ทำค่า CO2 ได้ไม่ผ่าน เขาก็จะใส่ Idlestop มาเพื่อให้ค่ามันผ่านจนได้
รถรุ่นไหนที่ใช้ Idle stop ช่วยให้ค่า CO2 ผ่าน ค่า CO2 หมวดสภาวะในเมืองก็จะดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา
แต่ค่า CO2 หมวดสภาวะนอกเมืองก็จะแย่เหมือนเดิม
พอคนซื้อรถเอามาใช้จริง ก็จะไปปิดไม่ให้ Idle stop มันทำงาน
เพราะถ้าไม่ปิด เครื่องจะติดๆดับๆไปตลอดทาง และตอนที่มันดับ แอร์ก็จะไม่เย็น
ผลที่ได้ก็คือ รถมันก็จะกินน้ำมันมากกว่า รถรุ่นอื่นที่ค่า CO2 เท่ากัน แต่ไม่ได้ใช้ Idle stop มาช่วย
ลองคิดดูว่า รถ 2 รุ่น ค่ามีค่า CO2 เท่ากัน แต่การที่ได้มาของตัวเลขนั้นต่างกัน
รถรุ่นนึง ค่ายรถได้ใส่เทคโนโลยีที่มีผลกับประสิทธิภาพเครื่องจริงๆ
แต่รถอีกรุ่นนึง ค่ายรถไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไร แค่ยัด Idle stop มา เพื่อให้ค่า CO2 มันต่ำลงมาดื้อๆ
ค่ายรถแบบไหนเอาเปรียบผู้บริโภคมากกว่ากัน
กระทรววงการคลัง ไม่ควรปล่อยให้ค่ายรถใช้ Idle stop ตอนทดสอบค่า CO2 !!!???
การที่ปล่อยให้ค่ายรถใช้ Idle stop ในตอนที่ทดสอบวัดค่า CO2 เพื่อเอามาคิดเกณฑ์ภาษีสรรพสามิต
มันเหมือนการโกงภาษีและเป็นการหลอกหลวงผู้บริโภคแบบชัดเจน
เพราะรถที่เครื่องยนต์แย่ แต่บริษัทรถไม่อยากจะพัฒนาอะไรให้มันมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ก็แค่ใส่ระบบ Idle stop เข้าไป ก็สามารถลดค่า CO2 ได้ 10-20 g/km แล้ว
ซึ่งมันก็ทำให้รถที่ค่า CO2 สูงเกินเส้นแบ่งเกณฑ์ไปไม่มาก สามารถผ่านเกณฑ์ภาษีที่ต่ำกว่าแบบดื้อๆ
กรมสรรพสามิตก็จะเสียรายได้จากการเก็บภาษีรถรุ่นนั้นๆไปหลายหมื่นบาททันที และถ้ารถมีราคาสูงก็หายไปเป็นแสน
ส่วนผู้บริโภคก็ไม่ได้รถที่ดี ที่ประหยัดเชื้อเพลิงตามที่ควรจะเป็นไปตามค่า CO2 ที่เห็น
และแถมยังได้ความน่ารำคาญมากขึ้น เพราะต้องคอยมากดปุ่มปิดระบบ Idle stop ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ
ถ้าวันไหนลืมปิด ไปจอดรอเลี้ยว พอจะได้จังหวะออกตัว เครื่องดันดับ ก็เรียบร้อย
เรื่องค่า CO2 กับ อัตราสิ้นเปลือง ตาม Eco Sticker หลายคนอาจจะไม่เข้าใจมัน ผมจะขออธิบายสั้นๆไว้ตรงนี้ละกัน
ค่า CO2 กับ อัตราสิ้นเปลือง ที่เห็นใน Eco Sticker นั้น เป็นค่าที่คำนวณมาจากผลที่ทดสอบใน Lab อีกที
ในการทดสอบ ตามมาตรฐาน UN R101 ก็จะจำลองสถานการณ์ขับขี่แทนการขับขี่จริง และก็จะไม่เปิดแอร์
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ สภาวะในเมือง กับ สภาวะนอกเมือง
ผลทดสอบที่ได้แต่ละหมวด ก็นำมาคำนวณเป็นค่า CO2 และ ค่าอัตราสิ้นเปลืองตามประเภทของเชื้อเพลิง
โดยค่า CO2 ที่จะนำมาเป็นเกณฑ์คิดภาษี ก็จะเป็นค่าเฉลี่ยจากทั้ง 2 หมวด
ทีนี้ระบบ Idle stop มันก็จะไปมีผลกับค่า CO2 ของหมวดทดสอบ สภาวะในเมือง เพราะมันมีจังหวะที่หยุดไม่ได้วิ่ง
ซึ่งพอ Idle stop มันทำงาน เครื่องยนต์ก็จะดับ ทำให้ค่า CO2 ตอนติดเครื่องเดินเบามันหายไป
ค่าที่หายไปตรงนี้มันส่งผลพอสมควรกับค่า CO2 ที่จะเอามาใช้ต่อไป
ค่ายรถเองก็จะรู้จุดนี้ ลองดูกันเอาก็ได้ถ้ารถรุ่นไหนที่ค่า CO2 ผ่านแบบสบายๆเขาก็จะไม่ใส่ Idle stop มาให้เป็นปัญหา
แต่ถ้ารุ่นไหนที่ทำค่า CO2 ได้ไม่ผ่าน เขาก็จะใส่ Idlestop มาเพื่อให้ค่ามันผ่านจนได้
รถรุ่นไหนที่ใช้ Idle stop ช่วยให้ค่า CO2 ผ่าน ค่า CO2 หมวดสภาวะในเมืองก็จะดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา
แต่ค่า CO2 หมวดสภาวะนอกเมืองก็จะแย่เหมือนเดิม
พอคนซื้อรถเอามาใช้จริง ก็จะไปปิดไม่ให้ Idle stop มันทำงาน
เพราะถ้าไม่ปิด เครื่องจะติดๆดับๆไปตลอดทาง และตอนที่มันดับ แอร์ก็จะไม่เย็น
ผลที่ได้ก็คือ รถมันก็จะกินน้ำมันมากกว่า รถรุ่นอื่นที่ค่า CO2 เท่ากัน แต่ไม่ได้ใช้ Idle stop มาช่วย
ลองคิดดูว่า รถ 2 รุ่น ค่ามีค่า CO2 เท่ากัน แต่การที่ได้มาของตัวเลขนั้นต่างกัน
รถรุ่นนึง ค่ายรถได้ใส่เทคโนโลยีที่มีผลกับประสิทธิภาพเครื่องจริงๆ
แต่รถอีกรุ่นนึง ค่ายรถไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไร แค่ยัด Idle stop มา เพื่อให้ค่า CO2 มันต่ำลงมาดื้อๆ
ค่ายรถแบบไหนเอาเปรียบผู้บริโภคมากกว่ากัน