---อังคาสด้วยข้าวปายาส. พระเถระได้อนุโมทนาทานของเขา. เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ แล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ

กระทู้คำถาม
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=731

 เรื่องเพชฌฆาตชื่อตาวกาฬกะ               
               เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะกระทำโจรฆาตกรรม (ประหารชีวิตโจร) มาเป็นเวลา ๕๐ ปี. 
ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายตาวกาฬกะแก่แล้ว ไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้. 
พระราชารับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น. 
อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน.

               ฝ่ายนายตาวกาฬกะ ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น (เป็นเพชฌฆาต) ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภคข้าวปายาส ไม่ได้รักการอบอาบ. 
เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว 

จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส 
ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำ 
ดำเกล้าและนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ 

กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย 

จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้วอังคาสด้วยข้าวปายาส​ที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้นและผงน้ำตาลกรวด.

               พระเถระได้อนุโมทนาทานของเขา.
               เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ 
ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับ 
ในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ.

               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า 
พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมอง ถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ.

               พ. ในดาวดึงสพิภพ ภิกษุทั้งหลาย.

               ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานานและพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรืออย่างไรหนอ.

               พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดี ฟังอนุโมทนากถาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น.

                         นายโจรฆาตได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้ว
                         ได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ.

=====================
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=731

.
.
             ในบทว่า อนุโลมิกาย ขนฺติยา ด้วยอนุโลมขันตินี้มีความดังนี้.
               ชื่อว่า อนุโลมิกะ เพราะวิปัสสนานั่นแหละย่อมอนุโลมโลกุตรมรรค ชื่อว่า อนุโลมิกา เพราะเพ่งถึงขันตินั่นแหละ.
               ชื่อว่า ขนฺติ เพราะสังขารทั้งปวงย่อมพอใจย่อมชอบใจแก่ภิกษุนั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยเป็นอนัตตา.

               ขันตินั้นมี ๓ อย่าง คือ 
อย่างอ่อน ๑ 
อย่างกลาง ๑ 
อย่างกล้า ๑.

               ขันติมีการพิจารณาเป็นกลาปะ (กลุ่มก้อน) เป็นเบื้องต้น มีอุทยัพพยญาณเป็นที่สุด เป็นอนุโลมขันติอย่างอ่อน.
               ขันติมีการพิจารณาถึงความดับเป็นเบื้องต้น มีสังขารอุเบกขาญาณเป็นที่สุด ชื่อว่าอนุโลมขันติอย่างกลาง.
               ขันติเป็นอนุโลมญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ชื่อว่าอนุโลมขันติอย่างกล้า
.
.
==============
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่