อาการดีขึ้นจากโรคซึมเศร้า เพิ่งเลิกกับสามี เลยอยากมีชีวิตอยู่นานๆ ควรขายเรือนหอดีมั้ยคะ???

สวัสดีค่ะ เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ (แต่เพิ่งมารู้ตอนโต) ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตจนถึงอายุ 40 ปี เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ตายแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกนี้ คุณหมอวินิจฉัยว่า เป็นโรคขาดความรักและซึมเศร้า รักษาอาการอยู่นานก็ไม่ดีขึ้น และได้ตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะคิดว่าเค้าจะมาเข้ามาดูแลซึ่งกันและกันได้ แต่พออยู่ด้วยกันจริงๆ แล้ว สิ่งที่เค้าเคยบอกว่าจะทำ หรือพยายามจะทำก็ไม่ได้ทำหรือถ้าทำก็ทำได้ไม่ดี สุดท้ายเราต้องมาทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว ทั้งงานบ้านและการไปหาหมอ (เราป่วยหลายโรค) แต่พอถึงเวลาที่เค้าป่วย เรากลับต้องเป็นฝ่ายดูแลเค้า ค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่างเค้าไม่เคยช่วยออก และโกหกเราหลายอย่าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเหล้า เรื่องการพนัน เค้าเป็นหนี้เราอยู่เกือบสองแสน และทยอยใช้มาให้ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา จนเหลืออยู่ 4 หมื่นกว่าบาท เราก็พลาดไปไถ่ทองให้เค้าอีก 32,000 ก่อนวันที่จะทะเลาะกัน จนหนี้รวมๆ เกือบ 8 หมื่นบาท

ช่วงที่เราเปลี่ยนงานและได้ไปพักผ่อนต่างจังหวัด เราได้สัมผัสว่า จริงๆ แล้วเรามีความสุขได้ด้วยตัวเอง เรามีหมาที่ต้องดูแล เรามีแม่มีพี่มีเพื่อนที่รักเราอย่างจริงใจ ทำให้เรายิ่งเห็นว่า เราไม่มีความสุขเลยกับรักครั้งนี้ รู้สึกอึดอัด ขัดใจทุกอย่างในความเป็นตัวเค้า และเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตเราไม่ดีขึ้นกว่าการอยู่คนเดียวเลย ก่อนหน้านี้เราตัดสินใจซื้อบ้านและผ่อนบ้านมาเป็นระยะเวลา 1 ปี เพราะเห็นทำเลและแผนผังของบ้านที่ถูกใจมาก หลังจากตัดสินใจอยู่สักพัก และเริ่มมั่นใจว่า เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง เราเลยบอกเลิกสามีทันทีที่กลับจากต่างจังหวัด เค้ายอมย้ายของออกจากบ้านด้วยอารมณ์โกรธ ตอนนั้นเรามีเหงาบ้างนะคะ แต่รู้สึกสบายใจและโล่งใจมากกว่า

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เราเก็บของไปคืนเค้า และได้เห็นธาตุแท้ของอดีตสามีเราอย่างเจ็บปวด เรากับเพื่อนขอทองที่เราไปไถ่ให้เค้าคืนมา เพราะเราไม่มีเงินใช้ แต่เค้าบอกว่า เงินค่าไถ่ทองที่เราให้เค้า เราเป็นคนให้เค้าเอง เค้าไม่ได้ขอ ถ้าอารมณ์ดีเมื่อไรจะคืน ดอกที่หนึ่งผ่านไป ดอกที่สองเค้าโทรมาง้อเราให้เรากลับไปคืนดีด้วย เราไม่ยอม จนสุดท้ายเค้ายื่นขอเสนอว่า เค้าจะใช้ให้เราเดือนละ 1 หมื่นบาท แต่เราต้องไปอยู่กับเค้าที่โรงแรมเป็นเวลา 3 ชม. ต่อเดือน จนสิ้นเดือนกันยาที่ผ่านมา เค้าก็พยายามง้อเราให้กลับไปคืนดีอีก และคืนเงินมาให้อีก 1 หมื่นบาท แต่ยังไงเราก็ไม่กลับไปและตัดสินใจบล็อคเค้าทุกช่องทาง เค้าก็ยังอุตส่าห์ไปสมัครเฟซใหม่เข้ามาด่าเราอีกนะคะ สุดจริงๆ อ้ะ

เป็นอีกครั้งที่เจ็บที่สุดในชีวิต เรารู้สึกผิดหวัง แล้วยิ่งคิดโทษตัวเองว่า อาการขาดความรักของเรา ทำให้เราไปคว้าใครเข้ามาในชีวิตเนี่ย ดีว่าช่วงนั้นเรามีนัดพบจิตแพทย์ ที่หมอก็ได้ช่วยชีวิตเราไว้อีกแล้ว และตอนนี้อาการเราดีขึ้นแล้วค่ะ เลยตัดสินใจมานั่งทบทวนรายละเอียดหนี้ต่างๆ ของตัวเอง เรากู้เงินมาซื้อบ้านในราคาอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก 2.55% แต่ผ่อนน้อย เดือนละ 9670 แต่เงินต้นแทบไม่ลดเลย จ่ายดอกล้วนๆ บวกกับกู้ตกแต่งอีก 3 แสนกว่า ผ่อนเดือนละ 2100 รวมผ่อนเดือนละ 11460 ปีที่สามผ่อนเดือนละ 18900 ปีที่ 4 ผ่อนเดือนละ 27900 รายได้ 54K ต่อเดือน ที่ตัดสินใจเลือกหลังนี้เพราะเรายังติดผ่อนรถอยู่อีกเดือนละ 12000 และจะหมดในปีหน้า (ซึ่งจะชนกับการผ่อนบ้านเสร็จในปีที่ 3 พอดี) (ตอนแรกกะว่าจะรีไฟแนนซ์ในปีที่ 5 ค่ะ)

บ้านเราเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น อยู่ในระแวกพระยาสุเรนทร์ มีรถไฟฟ้าสายสีชมพูผ่าน (คาดว่าจะเสร็จในปี 64) บวกกับช่วงนี้เราเปลี่ยนที่ทำงานพอดี (ที่ทำงานศรีนครินทร์) และรู้สึกว่า อยากอยู่ใกล้แม่ (บ้านแม่แถว สุขุมวิท 101) เพื่อจะดูแลแม่ได้สะดวกขึ้น บ้านเดิมก่อนแต่งงานเราอยู่กับพี่สาวแถวสุทธิสารค่ะ เราเคยไปดูบ้านแถวที่ทำงานใหม่และใกล้บ้านแม่ ปรากฎว่า ปัจจุบันราคาถีบขึ้นไปอีก 2 ล้านกว่า เรารู้สึกว่า การใช้ชีวิตอยู่คนเดียว กับบ้าน 3 ชั้น มันอาจจะเกินตัวเกินไป พยายามปรึกษากับหลายๆ คน เพื่อขอความเห็นดังนี้ค่ะ

1. ควรขายบ้านที่พระยาสุเรนทร์ แล้วหาบ้านใหม่ในละแวกบ้านแม่ ในราคาไม่เกิน 3 ล้าน เพราะใกล้ที่ทำงานด้วย ดีมั้ยคะ (เท่าที่เจอตอนนี้ มีของ พรีเมี่ยมไทม์โฮม ของ NPL นอกนั้นเป็นของพฤกษา ซึ่งเราไม่อยากได้)

2. ไม่ขายบ้านพระยาสุเรนทร์ และอยู่ที่นี่ต่อไป ผ่อนไปเรื่อยๆ และหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ แล้วค่อยรีไฟแนนซ์เอา ดีมั้ยคะ (คือพอหายป่วย และใช้ชีวิตโสด เรารู้สึกว่าอยากเก็บเงินไว้ใช้จ่ายตอนแก่ อยากเอาเงินออกไปท่องเที่ยวมากกว่ามาจมอยู่กับบ้าน)

3. เพื่อนเรามองว่า บ้านเราสามารถดัดแปลงเป็นออฟฟิศได้ ในอนาคตราคาต้องสูงขึ้นแน่นอน เมื่อเกษียณ ค่อยขายบ้านทิ้งแล้วเอาเงินไปอยู่บ้านพักคนชรา (ปัจจุบันอายุ 38 ปี) Solution ของเพื่อนน่าสนใจสำหรับเราทีเดียวค่ะ เพื่อนเราคิดถูกมั้ยคะ

4. เพื่อนอีกคนเสนอว่า ให้เราขายบ้านพระยาสุเรนทร์ แล้วกลับไปอยู่กับพี่สาวที่สุทธิสาร แต่เราไม่สามารถอยู่กับพี่สาวได้ค่ะ คือ พี่เราแพ้ขนหมา แต่เรารักหมา และเรากับพี่มีความคิดเห็นแตกต่างกันหลายเรื่อง รักกันนะคะ แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
เรื่องสำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีรอบๆตัวครับ
ความรักจากเพื่อน จากคนรู้จัก แม้แต่จากเพื่อนใหม่แปลกหน้า บางครั้งมีพลังที่ดีมากกว่า ความรักจากคู่ครองที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อกัน

ที่แนะนำเกี่ยวกับที่อยู่คือ ต้องเลือกรูปแบบ บั้นปลายชีวิตก่อนว่าจะไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน
ที่ดีที่สุดคือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมและผู้คนที่ทำให้ชีวิตสงบดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้ การใกล้ที่ทำงาน
จะทำให้มีเวลาชีวิต เพื่อจะหาความสุขมากขึ้น ในบางครั้ง บ้านพักคนชราก็อาจตอบโจทย์นี้ได้ด้วยซ้ำไป

ต้องเข้าใจให้ชัดว่า คำว่าทีอ่ยู่อาศัยจริงๆ ในความหมาย จะต่างคำว่าทรัพย์สิน
บ้านคือสิ่งที่ทำให้เราสุขสงบ

ในส่วนของบ้านที่ไม่ได้ตัดสินใจเป็นที่อยุ่อาศัยแล้ว ก็เป็นเพียงทรัพย์
การบริหารจัดการนั้นก็ขึ้นอยู่กับแผนเกษียณ จะเป็น ทรัพย์เพื่อสุขภาพ ทรัพย์เพือการใช้จ่ายในบั้นปลาย
หรือ มรดก  แต่ละหัวข้อก็จะมีผลต่อ วิธีการบ้านหลังนั้นที่เป็นทรัพย์สินแล้วนั่นเอง

ขอให้ได้บ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่