NIO สตาร์ทอัพน้องใหม่ไฟแรงจากประเทศจีน เริ่มต้นในวงการยานยนต์ไฟฟ้าครั้งแรกเมื่อปี 2014 ก่อนจะเปิดตัว ES8 SUV ขนาด 7 รถรุ่นแรกของทางค่ายในอีก 4 ปีถัดมา พร้อมกับการแจ้งเกิดด้วยรถรุ่นนี้
หากใครยังคงพอจำได้พวกเขาเปิดตัวมาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ และได้รับการขนานนามจากสื่อหลายสำนักว่า “Tesla แห่งเมื่องจีน” บ้าง “Tesla Killer” บ้าง
แถมบริการหลังการขายที่ไม่มีค่ายไหนกล้าให้ บวกกับการวางตำแหน่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบหรูหรา คือลมใต้ปีกที่ทำให้ NIO บินสูงทันที่ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก
พร้อมทำมูลค่าของบริษัทสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 11,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา….
เรื่องราวทั้งหมดฟังดูดีและเหมือนว่า NIO กำลังจะไปได้สวยในเส้นทางของพวกเขา แต่น่าเศร้าที่ช่วงเวลาแห่งความสุขสั้นพอๆ กับวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่โผล่มากลางสัปดาห์
หลังผ่านพ้นจุดพีคในปี 2018 มูลค่าทางตลาดของสตาร์ทอัพจากจีนกลับลดลงอย่างหนักถึง 75% ลงมาเหลือเพียงราวๆ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น
และจากรายงานล่าสุดของสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า NIO กำลังขาดทุนสะสมมากกว่า 152,000 ล้านบาท!! เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2019 หลังการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของ NIO นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดการณ์ว่าสตาร์ทอัพจากจีนขาดทุนประมาณ 369 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11,266 ล้านบาท)
ทำให้ตอนนี้พวกเขาขาดทุนสะสมมากถึง 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 152,000 บาท) นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน
ปัญหาการขาดทุนของ NIO เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่มากเกินตัว ยอดขายที่ตกต่ำ และการเรียกคืนรถครั้งใหญ่เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
การเรียกคืนรถครั้งใหญ่ของน้องใหม่จากจีน เกิดขึ้นหลังจากที่มีการตรวจพบความผิดปรกติของแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งทางค่ายเองไม่ได้ชี้แจงถึงความผิดปรกติดังกล่าว
แต่กลับออกแถลงการณ์เพียงว่า“อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร” จนทำไปสู่การเรียกคืนรถในรุ่น ES8 กว่า 4,803 คัน
ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่สร้างผลกระทบมากหากพวกเขาเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่ แต่จำนวนรถเกือบ 5,000 คัน เมื่อตีออกมาเป็นสัดส่วน มันคือ 20% ของยอดขายรถทั้งหมดของ NIO
ก่อนหน้านี้มีการณ์วิเคราะห์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศจีนกำลังจะเข้าสู่สภาวะฟองสบู่ หลังจากปีที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ในกลุ่ม NEVs (รถถพลังงานใหม่เช่น รถไฟฟ้า, ปลั๊กอินไฮบริด, รถไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง) เพิ่มขึ้นถึง 79% และมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 486 บริษัท
ทางการจีนพยายามแก้ปัญหาด้วยการลดเงินสนับสนุนสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2017 โดยอ้างว่าเพื่อให้บริษัทสามารถดูแลตัวเองได้ และหลีกเลี่ยงสภาวะฟองสบู่
ภายใต้ความกดดัน ทั้งทางฝั่งของผู้บริหาร และ Tencent ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของจีนที่เข้ามาซื้อหุ้น NIO พยายามเพิ่มเงินทุนรวม 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,100 ล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
พร้อมมีแผนปลดพนักงานกว่า 20% ภายในเดือนนี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าวบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ มองว่าจำนวนเงินที่ทุ่มเข้ามานั้น อาจไม่มากพอในระยะยาว
ซึ่งล่าสุดดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง เมื่อมีข่าวว่าทาง NIO เองเพิ่งรับเงินจำนวน 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 50,000 ล้านบาท) จากบริษัทลงทุนแห่งหนึ่งมีรัฐบาลปักกิ่งอยู่เบื้องหลัง สำหรับการลงทุนในระยะสั้นด้วย
Tesla ก็เคยประสบปัญหาขาดทุนสะสมเองเช่นกัน แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาต้องใช้เวลานานถึง 15 ปี กว่าจะขาดทุนสะสมถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะ ที่ NIO เองใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ เป็นที่น่าสนใจอย่างมากว่า NIO จะเอาตัวรอดได้อย่างไร เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขายังอาจเจอศึกอีกหนึ่งทาง หากโรงงาน Gigafactory 3 ที่ประเทศจีนของ Tesla เริ่มเดินสายการผลิต
ซึ่งจะทำให้รถของ Tesla ในแดนมังกรถูกลงไปอีก และยิ่งทำให้สถานการณ์ของพวกเขาแย่ลงไปกว่าเดิม
เจ้าของฉายา “Tesla Killer” ท้ายที่สุดแล้วอาจจะเป็นเพียงสิ่งที่สื่อตั้งให้ และอาจจะกลายเป็นว่าถูก Kill เสียเองก็เป็นได้…
ที่มา :
https://www.magcarzine.com/nio-tesla-china-007/
จากข่าวนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่หน่วยงานของรัฐสนับสนุนรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องมีการสนับสนุนให้ถูกทางไม่มีการแทรกแซงตลาด อย่างเช่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการสนับสนุนการติดตั้งสถานีชาร์จ หรือลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่าจะให้เงินสนับสนุนลดราคารถให้คนมาซื้อ
NIO เป็นบริษัทที่มาแรงมาก มีทีมแข่งรถไฟฟ้า Formula E และยังทำรถไฮเปอร์คาร์ EP9 ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก แถมยังเป็นอีกเจ้าที่มีสถานีบริการสลับแบตเตอรี่ด้วย
สถานีบริการสลับแบตเตอรี่ NIO Power
ถ้าถามว่าทำไมไม่มาขายไทย? : NIO ES8 รุ่น 6 ที่นั่งราคาเริ่มต้น 456,000 หยวนหรือราคาประมาณ 1.9ล้านบาท คิดว่าเข้าไทยจะขายได้สักกี่คัน?
ต่อไปจะเป็นอย่างไร บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าอนาคตสดใสหรือไม่ก็ติดตามกันต่อไปครับ
อุดหนุนมากไปใช่ว่าจะดี : Nio รถยนต์ไฟฟ้าฉายา “Tesla แห่งจีน” ขาดทุนสะสมกว่า 152,000 ล้านบาท!?
หากใครยังคงพอจำได้พวกเขาเปิดตัวมาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ และได้รับการขนานนามจากสื่อหลายสำนักว่า “Tesla แห่งเมื่องจีน” บ้าง “Tesla Killer” บ้าง
แถมบริการหลังการขายที่ไม่มีค่ายไหนกล้าให้ บวกกับการวางตำแหน่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบหรูหรา คือลมใต้ปีกที่ทำให้ NIO บินสูงทันที่ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก
พร้อมทำมูลค่าของบริษัทสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 11,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา….
เรื่องราวทั้งหมดฟังดูดีและเหมือนว่า NIO กำลังจะไปได้สวยในเส้นทางของพวกเขา แต่น่าเศร้าที่ช่วงเวลาแห่งความสุขสั้นพอๆ กับวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่โผล่มากลางสัปดาห์
หลังผ่านพ้นจุดพีคในปี 2018 มูลค่าทางตลาดของสตาร์ทอัพจากจีนกลับลดลงอย่างหนักถึง 75% ลงมาเหลือเพียงราวๆ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น
และจากรายงานล่าสุดของสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า NIO กำลังขาดทุนสะสมมากกว่า 152,000 ล้านบาท!! เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2019 หลังการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของ NIO นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดการณ์ว่าสตาร์ทอัพจากจีนขาดทุนประมาณ 369 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11,266 ล้านบาท)
ทำให้ตอนนี้พวกเขาขาดทุนสะสมมากถึง 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 152,000 บาท) นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน
ปัญหาการขาดทุนของ NIO เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่มากเกินตัว ยอดขายที่ตกต่ำ และการเรียกคืนรถครั้งใหญ่เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
การเรียกคืนรถครั้งใหญ่ของน้องใหม่จากจีน เกิดขึ้นหลังจากที่มีการตรวจพบความผิดปรกติของแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งทางค่ายเองไม่ได้ชี้แจงถึงความผิดปรกติดังกล่าว
แต่กลับออกแถลงการณ์เพียงว่า“อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร” จนทำไปสู่การเรียกคืนรถในรุ่น ES8 กว่า 4,803 คัน
ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่สร้างผลกระทบมากหากพวกเขาเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่ แต่จำนวนรถเกือบ 5,000 คัน เมื่อตีออกมาเป็นสัดส่วน มันคือ 20% ของยอดขายรถทั้งหมดของ NIO
ก่อนหน้านี้มีการณ์วิเคราะห์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศจีนกำลังจะเข้าสู่สภาวะฟองสบู่ หลังจากปีที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ในกลุ่ม NEVs (รถถพลังงานใหม่เช่น รถไฟฟ้า, ปลั๊กอินไฮบริด, รถไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง) เพิ่มขึ้นถึง 79% และมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 486 บริษัท
ทางการจีนพยายามแก้ปัญหาด้วยการลดเงินสนับสนุนสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2017 โดยอ้างว่าเพื่อให้บริษัทสามารถดูแลตัวเองได้ และหลีกเลี่ยงสภาวะฟองสบู่
ภายใต้ความกดดัน ทั้งทางฝั่งของผู้บริหาร และ Tencent ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของจีนที่เข้ามาซื้อหุ้น NIO พยายามเพิ่มเงินทุนรวม 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,100 ล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
พร้อมมีแผนปลดพนักงานกว่า 20% ภายในเดือนนี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าวบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ มองว่าจำนวนเงินที่ทุ่มเข้ามานั้น อาจไม่มากพอในระยะยาว
ซึ่งล่าสุดดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง เมื่อมีข่าวว่าทาง NIO เองเพิ่งรับเงินจำนวน 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 50,000 ล้านบาท) จากบริษัทลงทุนแห่งหนึ่งมีรัฐบาลปักกิ่งอยู่เบื้องหลัง สำหรับการลงทุนในระยะสั้นด้วย
Tesla ก็เคยประสบปัญหาขาดทุนสะสมเองเช่นกัน แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาต้องใช้เวลานานถึง 15 ปี กว่าจะขาดทุนสะสมถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะ ที่ NIO เองใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ เป็นที่น่าสนใจอย่างมากว่า NIO จะเอาตัวรอดได้อย่างไร เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขายังอาจเจอศึกอีกหนึ่งทาง หากโรงงาน Gigafactory 3 ที่ประเทศจีนของ Tesla เริ่มเดินสายการผลิต
ซึ่งจะทำให้รถของ Tesla ในแดนมังกรถูกลงไปอีก และยิ่งทำให้สถานการณ์ของพวกเขาแย่ลงไปกว่าเดิม
เจ้าของฉายา “Tesla Killer” ท้ายที่สุดแล้วอาจจะเป็นเพียงสิ่งที่สื่อตั้งให้ และอาจจะกลายเป็นว่าถูก Kill เสียเองก็เป็นได้…
ที่มา : https://www.magcarzine.com/nio-tesla-china-007/
จากข่าวนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่หน่วยงานของรัฐสนับสนุนรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องมีการสนับสนุนให้ถูกทางไม่มีการแทรกแซงตลาด อย่างเช่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการสนับสนุนการติดตั้งสถานีชาร์จ หรือลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มากกว่าจะให้เงินสนับสนุนลดราคารถให้คนมาซื้อ
NIO เป็นบริษัทที่มาแรงมาก มีทีมแข่งรถไฟฟ้า Formula E และยังทำรถไฮเปอร์คาร์ EP9 ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก แถมยังเป็นอีกเจ้าที่มีสถานีบริการสลับแบตเตอรี่ด้วย
สถานีบริการสลับแบตเตอรี่ NIO Power
ถ้าถามว่าทำไมไม่มาขายไทย? : NIO ES8 รุ่น 6 ที่นั่งราคาเริ่มต้น 456,000 หยวนหรือราคาประมาณ 1.9ล้านบาท คิดว่าเข้าไทยจะขายได้สักกี่คัน?
ต่อไปจะเป็นอย่างไร บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าอนาคตสดใสหรือไม่ก็ติดตามกันต่อไปครับ