จากสาวโรงงานสู่เหรียญทองโอลิมปิก : ขุดจุดเริ่มต้นสู่ความยิ่งใหญ่ของวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น

ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศจากการเป็นชาติที่แพ้สงคราม พวกเขามุ่งเน้น อุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยมีโรงงานตั้งอยู่มากมายทั่วทุกมุมเมือง และโรงงานก็มีกีฬาให้พนักงานได้เล่นเพื่อผ่อนคลายหนึ่งในนั้นคือวอลเลย์บอล

                                                                   

 นิชิโบะ ไคซุกะ คือทีมวอลเลย์บอลจากโรงงานที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น พวกเขามีผู้เล่นที่สูงถึง 170 เซนติเมตรอย่างมาซาเอะ คาไซ เป็นตัวนำทีม ทำให้การฟอร์มทีมชาติญี่ปุ่นเพื่อลงแข่งในระดับนานาชาติ สาวจากโรงงาน นิชิโบะ จึงถูกเรียกติดเข้ามาเกือบยกทีม

รายการแรกในเวทีระดับโลกของพวกเธอคือ ศึกวอลเลย์บอล เวิลด์ แชมเปียนชิพที่บราซิลในปี 1960 แม้จะเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก แต่ทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่นก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด จบในตำแหน่งรองแชมป์ โดยพ่ายต่อสหภาพโซเวียต ยักษ์ใหญ่วอลเลย์บอลหญิงในยุคนั้นแค่เกมเดียวเท่านั้น
           
 สองปีต่อมา ญี่ปุ่นก็กลับมาล้างแค้นได้สำเร็จในการแข่งขันเวิลด์ แชมเปียนชิพที่โซเวียต พวกเธอไล่ปราบทั้งทีมยุโรปและอเมริกาใต้ ก่อนเอาชนะโซเวียตเจ้าภาพ ขึ้นไปครองเบอร์หนึ่งของรายการได้สำเร็จ จนทำให้ Pravda สื่อในท้องถิ่นของเจ้าภาพตั้งฉายาให้พวกเธอว่า “แม่มดแห่งตะวันออก”

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หลังจากที่พวกเธอสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการคว้าเเชมป์รายการเวิลด์แชมเปียนชิพในปี 1962  ประกอบกับการที่นักกีฬาในทีมส่วนใหญ่มีอายุอานามเกือบ 30 ปี ทำให้ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะวางมือ และกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

ทว่าการประกาศว่าวอลเลย์บอลหญิง จะถูกบรรจุลงในกีฬาโอลิมปิก 1964 เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องจากสาธารณชนให้ผู้เล่นและ โค้ชชุด
แชมป์เวิลด์ แชมเปียนชิพ ที่โซเวียตกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ด้วยเป้าหมายในการคว้าเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก 1964 โดยเฮเลน แมคนอตัน      อธิบายถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นในบทความ  The Oriental Witches: Women Volleyball and the 1964 Tokyo Olympics ของเธอว่า
“ความคาดหวังจากสาธารณชนมันยิ่งใหญ่มาก ทีมได้รับจดหมายกว่า 5,000 ฉบับที่โน้มน้าวให้ ‘แม่มดตะวันออก’ เล่นต่อไป ต้นปี 1963 สมาชิกของทีมได้รับมันเช่นกัน หลังวันหยุดปีใหม่  ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะเล่นต่อจนถึงโอลิมปิก”  

                                                                                  ภารกิจที่แพ้ไม่ได้ของพวกเธอเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

โค้ชปีศาจ ทางเดียวที่จะตอบรับความคาดหวังของคนทั้งชาติได้คือการคว้าเหรียญทองเท่านั้น แต่จะทำได้อย่างไรในเมื่อโอลิมปิกก็ไม่ใช่งานง่าย พวกเธอต้องเจอกับผู้เล่นยุโรป  และอเมริกาที่มีร่างกายที่สูงใหญ่ พวกเธอจะทำอย่างไร เพื่อจะก้าวผ่านกำแพงที่สูงชันได้ และเมื่อเอาชนะลักษณะทางร่างกายไม่ได้ ก็ต้องใช้เทคนิคเข้าสู้ ญี่ปุ่นตัวเล็กก็จริง  แต่พวกเธอก็มีความว่องไวเป็นอาวุธ และสิ่งที่จะทำให้นักกีฬามีประสิทธิภาพมากพอ ก็คือการซ้อมให้หนักขึ้น หนักขึ้น และหนักขึ้น
                                                                                                           

ภายใต้การคุมทีมของ ฮิโรฟุมิ ไดมัตสึ อดีตทหารผู้ผ่านสงครามโลก ทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่น  ต้องฝึกซ้อมหลังเลิกงานโดยไม่มี วันหยุดนอกจากวันปีใหม่ โดยเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่เวลา 16.30 จนถึงเที่ยงคืนของทุกวัน และมีเวลาเบรกแค่เพียง 15 นาที ในขณะที่ คาไซ กัปตันทีม ต้องซ้อมหนักว่าคนอื่นโดยเริ่มตั้งแต่ 3 โมงเย็นถึงตีสาม

“นี่คือเวลาที่จะไม่มีอย่างอื่นมาข้องเกี่ยว ผู้เล่นต่างรู้ดีว่าเขาไม่มีชีวิตให้เรื่องอื่น พวกเขาทำเพราะพวกเขาเลือกที่จะทำ การเตรียมตัวเพื่อชัยชนะเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นความท้าทายส่วนตัว มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับโดยไม่มีคำถาม"  ไดมัตสึกล่าวกับ Sports Illustrated

แม้การฝึกซ้อมแบบนี้จะทำให้บางคนรับไม่ไหว ถึงขั้นลงไปนอนพับ หรือร้องไห้เพราะความเหนื่อย แต่ไดมัตสึ ก็ไม่สนใจแถมยังพูดกับคนเหล่านั้นว่า
“ถ้าเธออยากอยู่บ้านกับแม่ ก็กลับไปซะ เราไม่ได้อยากให้เธออยู่ที่นี่ เมืองนี้มีหมู่บ้านเกาหลีอยู่ ถ้ามันยากไปสำหรับเธอ ไปเล่นกับพวก เขาที่นั่นดีกว่านะ” หรือ “เธอไม่ได้เรื่อง เลิกไปเสียเถอะ”

ไดมัตสึ ยังขึ้นชื่อเรื่องการลงโทษที่สุดโหดเมื่อผู้เล่นทำผิด ครั้งหนึ่งเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น แม้ว่ารถเข็นอาหารจะมาถึงแล้ว แทนที่เขาจะให้ลูกทีมหยุดซ้อม แต่ไดมัตสึกลับให้ผู้เล่นของเขาซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะอนุญาตให้รับประทานอาหารช้าไปจากเดิมครึ่งชั่วโมง แถมเมื่อถึงเวลา เขาก็อนุญาตเฉพาะทีมตัวจริงได้กิน ในขณะที่ผู้เล่นสำรองต้องซ้อมต่อไป ส่วนตัวเขานั่งกินอาหารอย่างสบายใจ

แน่นอนว่าการฝึกซ้อมที่เข้มงวดและการลงโทษแบบนี้ของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนภายนอก โดยเฉพาะสหภาพแรงงานของบริษัท ที่มองว่าเป็นการทารุณมนุษย์มากเกินไป จนไดมัตสึถูกตั้งฉายาว่า “โค้ชปีศาจ”  


                                                                                    ศึกชี้ชะตา


ว่ากันว่ามันคือการถ่ายทอดสดที่มียอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลของญี่ปุ่น 1 ทุ่มของวันที่ 23 ตุลาคม 1964 ผู้ชมกว่า 100 ล้านคนและอีก 4,000 คนที่สนาม โคมาซาวะ ยิมเนเซียม รวมไปถึง เจ้าหญิงมิจิโกะ ที่ต่อมาขึ้นเป็นราชินีของญี่ปุ่น ต่างเฝ้าชมการแข่งขันนัดประวัติศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่นกับโซเวียต
                                        
ก่อนหน้านี้ สาววอลเลย์บอลญี่ปุ่น ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ต้อนทั้ง สหรัฐอเมริกา โรมาเนีย เกาหลีใต้ โปแลนด์ คว้าชัย 4 นัดรวด และเสียไปเพียงแค่เซ็ตเดียว พวกเธอจำเป็นต้องชนะอีกนัดเดียวก็จะคว้าเหรียญทอง

ราวกับพรหมลิขิต เมื่อในนัดสุดท้ายญี่ปุ่นต้องเจอกับสหภาพโซเวียตคู่ปรับเก่า ซึ่งเป็นเจ้าวอลเลย์บอลหญิงในยุคนั้น ทำให้เกมวันนั้นกลายเป็นเกมนัดสำคัญที่หลายคนจับตามอง ถึงขนาดถนนในกินซ่าว่างโล่งตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ

แม้จะทำผลงานได้อย่างสุดยอด แต่ญี่ปุ่น ต้องแบกความกดดันของคนในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ อาคิโอะ คามินางะ พลาดทำได้เพียงเหรียญเงินในกีฬายูโด ยิ่งทำให้ความคาดหวังต่อทีมวอลเลย์บอลสาวทวีคูณขึ้นไปอีก ในฐานะกีฬาที่ได้ลุ้นเหรียญทองเหรียญสุดท้าย ก่อนที่จะมีพิธีปิดในวันรุ่งขึ้น ถึงขนาดสมาชิกคนหนึ่งในทีมพูดว่า “ถ้าเราแพ้ เราคงต้องหนีออกจากประเทศแน่ๆ”


แต่ค่ำวันนั้น ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน เอาชนะไปได้ 2 เซ็ตรวดด้วยสกอร์ 15-11 และ 15-8 โอกาสพวกเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพราะต้องการเพียงแค่เซ็ตเดียวก็จะชนะ

และเซ็ตที่ 3 ญี่ปุ่นออกนำไปไกลถึง 11-3 คาไซ ย้อนความหลังในอัตชีวประวัติส่วนตัวว่าตอนนั้นเธอคิดว่า “มีโอกาสแล้ว เรามีโอกาสชนะ” ทว่าโซเวียตก็ไล่มาเป็น 13-6 ให้พวกเธอเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

แม้จากนั้น ญี่ปุ่นจะทำแต้มหนีห่างออกไป 14-8 แต่กลายเป็นว่าพวกเธอช็อตไปดื้อๆ จนรัสเซียไล่มาเป็น 14-13 เกมกำลังตึงเครียดอย่างหนัก โมเมนตัมเริ่มกลับมาอยู่ฝั่งรัสเซีย จนไดมัตสึต้องขอเวลานอก
“พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่ ใจเย็นๆ เราขอแค่แต้มเดียวก็จะชนะ สบายๆหน่อย” ไดมัตสึ บอกกับลูกทีม

ญี่ปุ่นกับโซเวียดผลัดกันเสิร์ฟไปมา แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดทำแต้มเพิ่มได้ (ในสมัยนั้นทีมเสิร์ฟเท่านั้นที่จะได้คะแนน) เจ้าภาพได้เซ็ตพอยท์ 5 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถปิดเกมได้เสียที
แต่แล้วในการเสิร์ฟของ เอมิโกะ มิยาโมโต ที่บรรจงใช้มือซ้ายหวดบอลพุ่งเป็นจรวด จนคู่แข่งเกือบควบคุมบอลไม่ได้ บอลล้นข้ามเน็ต ทำให้ผู้เล่นโซเวียตแถวหน้าพยายามสะบัดมือหวังเปลี่ยนทิศ แต่กรรมการเป่าหยุดเกมเป็นลูกฟาวล์ ญี่ปุ่นได้แต้มสำคัญในที่สุด  
 
สิ้นเสียงนกหวีด สาวญี่ปุ่นพากันโห่ร้องด้วยความดีใจกลางคอร์ท ท่ามกลางเสียงเฮไปทั่วสนาม โค้ชไดมัตสึทำเพียงแค่นั่งลงอย่างเงียบๆ มองดูลูกทีมของเขาที่กำลังเฉลิมฉลอง น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในเบ้าตา ไม่มีใครรู้ว่ามันคือความดีใจ ความอัดอั้นใจ หรือความรู้สึกผิดต่อลูกทีม แต่วันนั้นเขาได้จารึกประวัติศาสตร์ให้กับญี่ปุ่นได้แล้ว



                                                         3 ทุ่ม ตามเวลาท้องถิ่น ธงฮิโนะมารุ ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา
                                         พร้อมกับเพลงชาติ คิมิงะโยะ ที่บรรเลงคลอไปกับความยินดีของคนทั้งประเทศ
                                              เหรียญทองกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเหรียญแรกของโอลิมปิกเป็นของญี่ปุ่น


ญี่ปุ่นปิดฉากโอลิมปิกในบ้านตัวเองได้อย่างชื่นมื่น พวกเขาคว้าเหรียญทองสุดท้ายที่มีลุ้นได้สำเร็จ พร้อมกับชื่อเสียงของ “แม่มดแห่งตะวันออก” ที่โด่งดังไปทั่วโลก

   
 
                                                      วอลเล่ย์หญิงทีมชาติญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาเเล้วมากมาย
                                           โดยในรายการล่าสุดพวกเธอทำผลงานจบอันดับที่ 5 ใน FIVB เวิลด์คัพ 2019
                                         เเละพวกเธอมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญทองโตเกียวโอลิมปิกที่จะจัดขึ้นในปีหน้าอีกครั้ง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ไปเจอบทความดีๆเลยเอามาสรุปให้อ่านกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่