ขอแชร์ประสบการณ์กับคำถามยอดฮิตของเด็กจบใหม่ เราเป็นคนหนึ่งที่หลังจากเรียนจบ ป.ตรี แล้ว
เกิดคำถาม เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ? นี้ขึ้นมา ด้วยเหตุผล
1. ทางบ้าน ตจว. อยากให้เรียนจบสูง ๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน (- -')
นั้นหมายถึงการเรียนต่อโท และเอก
2. เห็นเพื่อน ๆ บางกลุ่มเริ่มขอทุน เรียนควบ 5+1 บ้าง หรือเรียนต่อป. โท เลยหลังจบป.ตรีบ้าง
.
แต่ในใจลึกๆของเรายังไม่อยากเรียนอยากใช้ชีวิตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์การการทำงานก่อน
เราจึงบอกที่บ้านว่าขอไปทำงานเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนนะ ....เราจึงเก็บกระเป๋าหนีเข้าเมืองกรุง หางานทำ ทันทีหลังจากเรียนจบ
ได้ทำงานด้านออกแบบ ในบริษัท Top 10 ของไทย ทำงานหนักมาก OT ถึงเช้าเกือบทุกวัน และได้ประสบการณ์เยอะมาก
จนทำงานประจำได้ประมาณ 2 ปี เราเริ่มรู้สึกสุขภาพไม่ค่อยดี เริ่มเบื่องานและอิ่มตัว จึงเกิดคำถามนี้ขึ้นอีกครั้ง เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ?
1. ด้วยแก๊งเพื่อนเราทั้งหมดเรียนต่อป.โททั้งหมด เมื่อที่บ้านถามก็มักจะพ่วงเราไปด้วยเสมอเพราะท่านยังอยากให้เรียนต่อ
2. ด้วยความอิ่มตัว อยากกลับไปเรียน อยากทำอย่างอื่นอีกครั้ง
เราก็ไม่เห็นประโยชน์ของการเรียนต่อเท่าไหร มีแต่คนเคยบอกว่าถ้าอยากเป็นอาจารย์อะ ต้องเรียนต่อ
จึงไปถามหัวหน้างาน และพี่ที่ทำงานตำแหน่งสูงๆว่าเรียนป.โทดีไหม? จำเป็นไหม? สนุกไหม? ยากไหม? ได้ใช้ไหม?
สิ่งที่เขาแนะมาคือ 1.ได้ Conection แน่ๆ 2.ถ้าหนูโตขึ้นเป็นระดับหัวหน้าป.โทก็สำคัญ ถ้าระดับประสบการณ์เท่ากัน เขาจะเลือกคนที่วุติสูงกว่าก่อน
3. ค่าใช้จ่ายสูง หนูต้องเตรียมดีๆนะ มีทั้งค่าปาร์ตี้ ค่าเอกสาร และค่าเทอม ต้องจัดการเวลาและชีวิตตัวเองดีๆ
.
หลังจากรู้สึกลังเลเราจึงตัดสินใจลาออกจากงาน แบบงง ๆ ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย
เพื่อไปเรียนป.โท ภาคปกติ ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่เราเคยฝันใฝ่
ส่วนภาคค่ำ นั้นตัดไปได้เลย เราลองคำนวณระยะเวลาเดินทาง ไปกลับ หลังเลิกงาน และค่าเทอมแพงหูฉีกแล้วเราไม่ไหวๆแน่ๆ
ตอนนั้นเรามีเงินเก็บจากการทำงาน 2 ปีอยู่ก้อนหนึ่ง แน่นอนว่าแค่ค่าเทอมก็หมดแล้ว เราเลยขอให้ที่บ้านช่วยออกค่าเทอมให้
แต่ค่ากินอยู่และใช้ชีวิตเราจะใช้เงินก้อนที่เก็บ และหาเพิ่มระหว่างนั้น
.
ตั้งเป้าไว้ว่า 2 ปีนี้ ฉันจบแน่ๆ มโนไปว่า....จบไป ก็ได้ทำงานระดับหัวหน้า ได้อัพเงินเดือนเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว....
แค่คิดชีวิตก็ดีแล้ว!!!! คุ้มค่ามากๆ บลาๆ
1 ปีผ่านไปทุกอย่างราบรื่น เรียนๆ สนุกสนาน ไร้ซึ่งปัญหา เข้าเรียนวันธรรมดาเป็นประจำ ระหว่างนั้นก็หางานเสริมต่างๆทำ
ปี 2 ผ่านมา ต้องเลือกอาจารย์ที่ปรึกษา*** ต้องคิดหัวข้อ และสอบ เพื่อทำวิทยานิพนธ์
ปรากฏว่าหัวข้อไม่ผ่านจ้าาาาา ต้องไปคิดไปทำมาใหม่ หรือ เปลี่ยนหัวข้อไปเลย
เริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 การทำวิทยานิพนธ์ยังคงไม่ผ่าน ...ยังต้องเก็บข้อมูลอีกมากมาย เพื่อมาตอบคำถามต่างๆให้ได้
การเงินเริ่มติดขัด ทางบ้านมีปัญหา และหยุดส่งค่าเทอม เงินก้อนที่มีก็หมด เราต้องหารายได้เสริมและทำงาน
หาเงินมาส่งตัวเองเรียน ตอนนั้นหนักพอๆ กับทำวิทยานิพนธ์ ที่เครียด และใช้เงินเยอะมากเช่นกัน
ตอนนั้นเครียดมาก จนมีวูบของเสี้ยววินาทีที่แอบคิดสั้น ว่าจะเดินต่อไปหรือหยุดดี
ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนแบกความหวังของทุกคนเอาไว้ เราไม่อยากให้ที่บ้านผิดหวัง
และก็ไม่อยากทำร้ายสุขภาพ และจิตใจของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน จึงหาความคิดเห็นต่างๆมากมาย
ว่าจะเรียนต่อ หรือถอดใจ และกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิมดี ? (เสียงคนรอบข้างมากมายบอกเราไม่ไหวก็หยุดเถอะ)
แต่โดยนิสัยเราเป็นคนดื้อ และดันทุรังอยู่พอสมควร เลยบอกตัวเอง ....เอาวะไม่ว่าเกิดอะไรจะเดินหน้าต่อไปให้สุด!!!!!!!!!!!!
.
จนถึงปีที่ 4 เราก็เรียนครบกำหนดหลักสูตรพอดีและวิทยานิพนธ์ก็จบลง..... เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยแบบทิ้งตัว ไปเลย ไม่เอาอีกแล้ว
ระหว่างรอรับปริญญาได้พูดคุยกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ที่หัวอกเดียวกัน เคยคิดว่าตัวเองนี้หนักสุดละ เรียนมาตั้ง 4 ปีแหนะ
แต่เพื่อนอีกหลายคนกลับบอกว่าพวกเขาหนักกว่า คือ มี 4 ปี กับไม่จบ ลาออกไปเลยจ้า ...
.
สิ่งที่เราไม่เคยคิดก่อนที่จะตัดสินใจเรียนต่อ ป.โท คือ ***ค่าใช้จ่าย (การเงิน)
1.ถ้าไม่ได้ทุนเรียน หรือมีเงินเก็บมากพอ สำหรับค่าเทอม ค่าใช้จ่ายค่ากินอยู่ และค่าล่วงเวลาที่เรียนเกินกำหนด
หรือที่บ้านไม่พร้อมซัพพอร์ต..... /////ตัดสินใจไม่เรียนไปได้เลย ค่ะ
2.ถ้าไหว (เรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา ) ควรเรียนภาคค่ำ (นอกเวลา) และทำงานไปด้วย เพราะจะได้ทั้งปริญญาและประสบการณ์การทำงาน
แต่ก็ต้องยอมแลกกับความเหนื่อยหนักแบบ และบางครั้งก็ใช้เงินช่วยแก้ปัญหาหลายๆอย่างได้
และที่สำคัญเผื่อใจสำหรับช่วงทำทีสีสอาจจะต้องลาออกจากงาน หรือลางานยาวหน่อย
.
สิ่งที่ได้รับ /ได้คิด หลังจากเรียนต่อ ป.โท
1.เราไม่จำเป็นต้องเรียนตรงสาย ไปเรียน ป.โท บริหารการจัดการ จิตวิทยา การตลาด หรืออะไรที่ต่อยอดได้อย่างกว้างขวาง
2.ภาคปกติ Connection จะเป็นเด็กจบใหม่ หรือพนักงานประจำลาออกมาเรียนต่อ /
ภาคพิเศษ Connection จะเป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ หรือระดับหัวหน้า ,หรือคนที่ทำงานประจำไปด้วยเรียนไปด้วยที่มีฐานะการเงินดี
3. เราจะได้รู้จักกระบวนการคิดแบบผู้ใหญ่
รู้จักคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ จะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล มีที่มาที่ไปของข้อมูลมาซัพพอร์ต ไม่คิดเออเอง
4. มีความรับผิดชอบ และใฝ่รู้สูงขึ้น รู้จักการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เรียนรู้การบริหารจัดการชีวิต และเวลาตัวเอง
เช่น เวลาตรวจงาน อาจารย์ที่ปรึกษาอยู่แห่งหนตำบลไหนคุณก็ต้องดั้นด้นเดินทาง ตามไปตรวจงานให้ได้ เพราะทุกคนต่างมีเวลาของตัวเอง
ไม่มีใครมาคอยจ่ำจี้จ่ำไช สอนเราเหมือนตอนป.ตรี
5.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาให้ดี ** เลือกคนที่คิดว่าคุณจะได้จบแน่ๆ หรือคนที่คุณมีจริตตรงกันในด้านต่างๆ
เพราะนั้นอาจหมายถึงชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนไปได้ ทั้งในโอกาสในการเรียนและการทำงานต่อไปในอนาคต
ที่คุณอาจจะได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อเช่นกัน และคือหนึ่งในเหตุผลที่คุณอาจจะได้เรียนเกิน 2 ปี หรือไม่จบเลย
ซึ่งมาตรฐานความคาดหวังของการทำวิทยานิพนธ์ของแต่ละท่านนั้นต่างกัน
6.การทำวิทยานิพนธ์เลือกเคสที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และต้องเปรียบเทียบหลายเคส ดังนั้นการหาเคสที่เดินทาง
ติดต่อประสานงาน หรือการเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ชีวิตการทำงานก็จะเร็วขึ้น
และหัวข้อวิทยานิพนธ์อาจต่อยอดของเดิมที่มีคนศึกษาไว้ หรือมีหนังสือ มีข้อมูล มี text ต่างๆ รองรับ
เพราะถ้าเป็นเรื่องใหม่มากๆ ที่ไม่มีใครเคยทำ คุณอาจจะติดกับดัก และปัญหาหลายอย่างได้ เพราะไม่มีข้อมูลมาซัพพอร์ต
7.เตรียมใจ เตรียมกายให้พร้อมสำหรับความผิดหวังเสียใจกับชีวิต ระหว่างเรียนต่อไว้ด้วย เพราะมักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายๆอย่างขึ้น
บางคนเลิกกับแฟน บางคนสูญเสียคนที่รัก บางคนเจออุบัติเหตุ บางคนต้องอยู่โรงพยาบาล etc.
8.อะไรที่จำเป็นต้องใช้เงินจ่ายก็ต้องจ่าย เพื่อความรวดเร็วว่องไว
แน่นอนว่าเราไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้คนเดียว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องใช้เงินเพื่อซื้อเวลา และแลกกับอะไรหลายๆอย่างมา
ยิ่งยุคนี้การให้ค่าความสำคัญต่างกัน เช่น ต้องซื้อขนมของฝาก ,ของว่างยามนำเสนอผลงาน , งานมิตติ้งงานเลี้ยงต่าง ๆ เพื่อกระชับมิตร
,งานถ่ายเอกสาร งานเข้าเล่ม และอื่นๆ อีกมากมาย
9.ขณะที่เราเสียเวลาไปกับการเรียน เวลาของคนที่บ้านเราก็ลดน้อยลงไป ดังนั้นสู้ให้สุดใจ กับทางที่เลือกเดินค่ะ
10. ควรมีประสบการณ์การทำงาน 2-3 ปีก่อนที่จะเลือกเรียนต่อ เพราะบางคณะมหาวิทยาลัยมีข้อกำหนดนั้น และหลังจากเรียนจบแล้ว
เวลาสมัครงานเราจะมีประสบการณ์เดิมที่อาจได้เปรียบคู่แข่ง หรือสามารถนำความรู้ที่ทำงานที่เรียนมาต่อยอดได้เร็วขึ้น
11. หากผู้ปกครองได้เข้ามาอ่าน อยากฝากไว้ว่า...ในยุคนี้บ้างครั้งการเรียนสูงๆ ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของเด็กเสมอไป
เมื่อเทียบกับยุคก่อนๆ ประสบการณ์การเรียนรู้ในยุคนี้มีหลายทางมาก คอร์สป.โทหลายๆตัว มหาวิทยาลัยเปิดสอนออนไลน์ฟรีๆ ก็มีถมไป
หลังจากเราใช้เวลาไป 4 ปี กับป .โท เราก็กลับเข้าทำงานประจำ เลือกบริษัทที่สามารถต่อยอด เรียนรู้ได้จากวิทยานิพนธ์ที่ทำ
ซึ่งก็เป็นประโยชน์มาก ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆของการบริหารจัดการในยุคนี้ได้
และหลังจากนั้นเราก็ได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมาใช้ต่อยอดในองค์กรได้ ได้เงินเดือนเพิ่ม
เมื่อเทียบแล้วก็เท่ากับเพื่อนๆ ที่เรียนจบป. ตรี แต่มีประสบการณ์มายาว ๆ และยิ่งวุฒิสูงการสมัครงานการเรียกเงินเดือนก็ยากตาม
ขึ้นอยู่กับองค์กรนั้นๆ ว่าต้องการโฟกัสคนประเภทไหน
ตอนเราสมัครงาน เห็นได้ชัดว่า .... องค์กรไทย องค์ต่างชาติ ฝรั่ง จะเลือกคนที่มีประสบการณ์มากมาก่อน เพราะสามารถทำงานจริงได้เลย
ถ้ามีประสบการณ์ชั่วโมงบินสูง บวกกับมีวุฒิการศึกษาเขาก็เลือกก่อน
แต่ถ้าเป็นบริษัทคนจีน (บางแห่ง) องค์กรเลือกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และระดับการศึกษาสูงก่อน ยิ่งจบ ดร. ยิ่งได้อยู่ระดับบริหาร
แต่เมื่อย้อนกลับไปคำนวณเวลา ค่าใช้จ่ายและผลต่างๆ ตามมาแล้ว
กับคำถามที่ว่า .... เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ?
อยากให้น้องๆ ลองคิด เปรียบเทียบกันดู ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน นานาจิตตังเนอะ
1. มีเป้าหมายในการเรียนต่อ ถามตัวเองให้ดีว่าเรียนไปเพื่ออะไร ??
บางคนเพื่ออัพตำแหน่ง อัพเงินเดือน บางคนเพื่อไปต่อยอดสายบริหาร /เจ้าของกิจการ
บางคนเพื่อหาConnection..ฯลฯ
และอย่าแบกความหวังของใครถ้าไม่จำเป็น เพราะมันจะทำให้เราไม่มีความสุข และมีหลายคนคิดสั้นเพราะเครียดกับเรื่องนี้มาแล้ว
2. ค่าใช้จ่ายที่เราเสียไประหว่างเรียน (เต็มเวลา) กับรายรับที่เราควรจะได้ระหว่างทำงาน (เต็มเวลา) แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ???
เช่น เมื่อเรียน เราต้องเสียค่าเทอมค่ากินอยู่ไปปีละ 300,000 บาท แต่ถ้าทำงานเราจะมีรายได้ปีละ 240,000 บาท เป็นต้น
(สมมติเงินเดือน ค่ากินอยู่ 20,000 บาท/เดือน ) **ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครบอกหรือนึกถึงกันเท่าไหร
3. ถ้าขยัน และอยากเรียนด้วยจริงๆ แนะให้เรียนและทำงานไปด้วย จะได้ทั้งสองแบบ
(แต่ก็ต้องยอมจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่า 2-3 เท่า) และกลับไปคำนวณตามข้อ 2
.
สุดท้ายแล้ว ....จงเชื่อ เคารพ และรับผิดชอบในทุกการตัดสินใจของตัวเราเอง ค่ะ
เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ? (คำถามยอดฮิตของเด็กจบใหม่)
เกิดคำถาม เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ? นี้ขึ้นมา ด้วยเหตุผล
1. ทางบ้าน ตจว. อยากให้เรียนจบสูง ๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน (- -')
นั้นหมายถึงการเรียนต่อโท และเอก
2. เห็นเพื่อน ๆ บางกลุ่มเริ่มขอทุน เรียนควบ 5+1 บ้าง หรือเรียนต่อป. โท เลยหลังจบป.ตรีบ้าง
.
แต่ในใจลึกๆของเรายังไม่อยากเรียนอยากใช้ชีวิตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์การการทำงานก่อน
เราจึงบอกที่บ้านว่าขอไปทำงานเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนนะ ....เราจึงเก็บกระเป๋าหนีเข้าเมืองกรุง หางานทำ ทันทีหลังจากเรียนจบ
ได้ทำงานด้านออกแบบ ในบริษัท Top 10 ของไทย ทำงานหนักมาก OT ถึงเช้าเกือบทุกวัน และได้ประสบการณ์เยอะมาก
จนทำงานประจำได้ประมาณ 2 ปี เราเริ่มรู้สึกสุขภาพไม่ค่อยดี เริ่มเบื่องานและอิ่มตัว จึงเกิดคำถามนี้ขึ้นอีกครั้ง เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ?
1. ด้วยแก๊งเพื่อนเราทั้งหมดเรียนต่อป.โททั้งหมด เมื่อที่บ้านถามก็มักจะพ่วงเราไปด้วยเสมอเพราะท่านยังอยากให้เรียนต่อ
2. ด้วยความอิ่มตัว อยากกลับไปเรียน อยากทำอย่างอื่นอีกครั้ง
เราก็ไม่เห็นประโยชน์ของการเรียนต่อเท่าไหร มีแต่คนเคยบอกว่าถ้าอยากเป็นอาจารย์อะ ต้องเรียนต่อ
จึงไปถามหัวหน้างาน และพี่ที่ทำงานตำแหน่งสูงๆว่าเรียนป.โทดีไหม? จำเป็นไหม? สนุกไหม? ยากไหม? ได้ใช้ไหม?
สิ่งที่เขาแนะมาคือ 1.ได้ Conection แน่ๆ 2.ถ้าหนูโตขึ้นเป็นระดับหัวหน้าป.โทก็สำคัญ ถ้าระดับประสบการณ์เท่ากัน เขาจะเลือกคนที่วุติสูงกว่าก่อน
3. ค่าใช้จ่ายสูง หนูต้องเตรียมดีๆนะ มีทั้งค่าปาร์ตี้ ค่าเอกสาร และค่าเทอม ต้องจัดการเวลาและชีวิตตัวเองดีๆ
.
หลังจากรู้สึกลังเลเราจึงตัดสินใจลาออกจากงาน แบบงง ๆ ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย
เพื่อไปเรียนป.โท ภาคปกติ ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่เราเคยฝันใฝ่
ส่วนภาคค่ำ นั้นตัดไปได้เลย เราลองคำนวณระยะเวลาเดินทาง ไปกลับ หลังเลิกงาน และค่าเทอมแพงหูฉีกแล้วเราไม่ไหวๆแน่ๆ
ตอนนั้นเรามีเงินเก็บจากการทำงาน 2 ปีอยู่ก้อนหนึ่ง แน่นอนว่าแค่ค่าเทอมก็หมดแล้ว เราเลยขอให้ที่บ้านช่วยออกค่าเทอมให้
แต่ค่ากินอยู่และใช้ชีวิตเราจะใช้เงินก้อนที่เก็บ และหาเพิ่มระหว่างนั้น
.
ตั้งเป้าไว้ว่า 2 ปีนี้ ฉันจบแน่ๆ มโนไปว่า....จบไป ก็ได้ทำงานระดับหัวหน้า ได้อัพเงินเดือนเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว....
แค่คิดชีวิตก็ดีแล้ว!!!! คุ้มค่ามากๆ บลาๆ
1 ปีผ่านไปทุกอย่างราบรื่น เรียนๆ สนุกสนาน ไร้ซึ่งปัญหา เข้าเรียนวันธรรมดาเป็นประจำ ระหว่างนั้นก็หางานเสริมต่างๆทำ
ปี 2 ผ่านมา ต้องเลือกอาจารย์ที่ปรึกษา*** ต้องคิดหัวข้อ และสอบ เพื่อทำวิทยานิพนธ์
ปรากฏว่าหัวข้อไม่ผ่านจ้าาาาา ต้องไปคิดไปทำมาใหม่ หรือ เปลี่ยนหัวข้อไปเลย
เริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 การทำวิทยานิพนธ์ยังคงไม่ผ่าน ...ยังต้องเก็บข้อมูลอีกมากมาย เพื่อมาตอบคำถามต่างๆให้ได้
การเงินเริ่มติดขัด ทางบ้านมีปัญหา และหยุดส่งค่าเทอม เงินก้อนที่มีก็หมด เราต้องหารายได้เสริมและทำงาน
หาเงินมาส่งตัวเองเรียน ตอนนั้นหนักพอๆ กับทำวิทยานิพนธ์ ที่เครียด และใช้เงินเยอะมากเช่นกัน
ตอนนั้นเครียดมาก จนมีวูบของเสี้ยววินาทีที่แอบคิดสั้น ว่าจะเดินต่อไปหรือหยุดดี
ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนแบกความหวังของทุกคนเอาไว้ เราไม่อยากให้ที่บ้านผิดหวัง
และก็ไม่อยากทำร้ายสุขภาพ และจิตใจของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน จึงหาความคิดเห็นต่างๆมากมาย
ว่าจะเรียนต่อ หรือถอดใจ และกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิมดี ? (เสียงคนรอบข้างมากมายบอกเราไม่ไหวก็หยุดเถอะ)
แต่โดยนิสัยเราเป็นคนดื้อ และดันทุรังอยู่พอสมควร เลยบอกตัวเอง ....เอาวะไม่ว่าเกิดอะไรจะเดินหน้าต่อไปให้สุด!!!!!!!!!!!!
.
จนถึงปีที่ 4 เราก็เรียนครบกำหนดหลักสูตรพอดีและวิทยานิพนธ์ก็จบลง..... เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยแบบทิ้งตัว ไปเลย ไม่เอาอีกแล้ว
ระหว่างรอรับปริญญาได้พูดคุยกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ที่หัวอกเดียวกัน เคยคิดว่าตัวเองนี้หนักสุดละ เรียนมาตั้ง 4 ปีแหนะ
แต่เพื่อนอีกหลายคนกลับบอกว่าพวกเขาหนักกว่า คือ มี 4 ปี กับไม่จบ ลาออกไปเลยจ้า ...
.
สิ่งที่เราไม่เคยคิดก่อนที่จะตัดสินใจเรียนต่อ ป.โท คือ ***ค่าใช้จ่าย (การเงิน)
1.ถ้าไม่ได้ทุนเรียน หรือมีเงินเก็บมากพอ สำหรับค่าเทอม ค่าใช้จ่ายค่ากินอยู่ และค่าล่วงเวลาที่เรียนเกินกำหนด
หรือที่บ้านไม่พร้อมซัพพอร์ต..... /////ตัดสินใจไม่เรียนไปได้เลย ค่ะ
2.ถ้าไหว (เรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา ) ควรเรียนภาคค่ำ (นอกเวลา) และทำงานไปด้วย เพราะจะได้ทั้งปริญญาและประสบการณ์การทำงาน
แต่ก็ต้องยอมแลกกับความเหนื่อยหนักแบบ และบางครั้งก็ใช้เงินช่วยแก้ปัญหาหลายๆอย่างได้
และที่สำคัญเผื่อใจสำหรับช่วงทำทีสีสอาจจะต้องลาออกจากงาน หรือลางานยาวหน่อย
.
สิ่งที่ได้รับ /ได้คิด หลังจากเรียนต่อ ป.โท
1.เราไม่จำเป็นต้องเรียนตรงสาย ไปเรียน ป.โท บริหารการจัดการ จิตวิทยา การตลาด หรืออะไรที่ต่อยอดได้อย่างกว้างขวาง
2.ภาคปกติ Connection จะเป็นเด็กจบใหม่ หรือพนักงานประจำลาออกมาเรียนต่อ /
ภาคพิเศษ Connection จะเป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ หรือระดับหัวหน้า ,หรือคนที่ทำงานประจำไปด้วยเรียนไปด้วยที่มีฐานะการเงินดี
3. เราจะได้รู้จักกระบวนการคิดแบบผู้ใหญ่
รู้จักคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ จะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล มีที่มาที่ไปของข้อมูลมาซัพพอร์ต ไม่คิดเออเอง
4. มีความรับผิดชอบ และใฝ่รู้สูงขึ้น รู้จักการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เรียนรู้การบริหารจัดการชีวิต และเวลาตัวเอง
เช่น เวลาตรวจงาน อาจารย์ที่ปรึกษาอยู่แห่งหนตำบลไหนคุณก็ต้องดั้นด้นเดินทาง ตามไปตรวจงานให้ได้ เพราะทุกคนต่างมีเวลาของตัวเอง
ไม่มีใครมาคอยจ่ำจี้จ่ำไช สอนเราเหมือนตอนป.ตรี
5.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาให้ดี ** เลือกคนที่คิดว่าคุณจะได้จบแน่ๆ หรือคนที่คุณมีจริตตรงกันในด้านต่างๆ
เพราะนั้นอาจหมายถึงชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนไปได้ ทั้งในโอกาสในการเรียนและการทำงานต่อไปในอนาคต
ที่คุณอาจจะได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อเช่นกัน และคือหนึ่งในเหตุผลที่คุณอาจจะได้เรียนเกิน 2 ปี หรือไม่จบเลย
ซึ่งมาตรฐานความคาดหวังของการทำวิทยานิพนธ์ของแต่ละท่านนั้นต่างกัน
6.การทำวิทยานิพนธ์เลือกเคสที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และต้องเปรียบเทียบหลายเคส ดังนั้นการหาเคสที่เดินทาง
ติดต่อประสานงาน หรือการเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ชีวิตการทำงานก็จะเร็วขึ้น
และหัวข้อวิทยานิพนธ์อาจต่อยอดของเดิมที่มีคนศึกษาไว้ หรือมีหนังสือ มีข้อมูล มี text ต่างๆ รองรับ
เพราะถ้าเป็นเรื่องใหม่มากๆ ที่ไม่มีใครเคยทำ คุณอาจจะติดกับดัก และปัญหาหลายอย่างได้ เพราะไม่มีข้อมูลมาซัพพอร์ต
7.เตรียมใจ เตรียมกายให้พร้อมสำหรับความผิดหวังเสียใจกับชีวิต ระหว่างเรียนต่อไว้ด้วย เพราะมักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายๆอย่างขึ้น
บางคนเลิกกับแฟน บางคนสูญเสียคนที่รัก บางคนเจออุบัติเหตุ บางคนต้องอยู่โรงพยาบาล etc.
8.อะไรที่จำเป็นต้องใช้เงินจ่ายก็ต้องจ่าย เพื่อความรวดเร็วว่องไว
แน่นอนว่าเราไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้คนเดียว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องใช้เงินเพื่อซื้อเวลา และแลกกับอะไรหลายๆอย่างมา
ยิ่งยุคนี้การให้ค่าความสำคัญต่างกัน เช่น ต้องซื้อขนมของฝาก ,ของว่างยามนำเสนอผลงาน , งานมิตติ้งงานเลี้ยงต่าง ๆ เพื่อกระชับมิตร
,งานถ่ายเอกสาร งานเข้าเล่ม และอื่นๆ อีกมากมาย
9.ขณะที่เราเสียเวลาไปกับการเรียน เวลาของคนที่บ้านเราก็ลดน้อยลงไป ดังนั้นสู้ให้สุดใจ กับทางที่เลือกเดินค่ะ
10. ควรมีประสบการณ์การทำงาน 2-3 ปีก่อนที่จะเลือกเรียนต่อ เพราะบางคณะมหาวิทยาลัยมีข้อกำหนดนั้น และหลังจากเรียนจบแล้ว
เวลาสมัครงานเราจะมีประสบการณ์เดิมที่อาจได้เปรียบคู่แข่ง หรือสามารถนำความรู้ที่ทำงานที่เรียนมาต่อยอดได้เร็วขึ้น
11. หากผู้ปกครองได้เข้ามาอ่าน อยากฝากไว้ว่า...ในยุคนี้บ้างครั้งการเรียนสูงๆ ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของเด็กเสมอไป
เมื่อเทียบกับยุคก่อนๆ ประสบการณ์การเรียนรู้ในยุคนี้มีหลายทางมาก คอร์สป.โทหลายๆตัว มหาวิทยาลัยเปิดสอนออนไลน์ฟรีๆ ก็มีถมไป
หลังจากเราใช้เวลาไป 4 ปี กับป .โท เราก็กลับเข้าทำงานประจำ เลือกบริษัทที่สามารถต่อยอด เรียนรู้ได้จากวิทยานิพนธ์ที่ทำ
ซึ่งก็เป็นประโยชน์มาก ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆของการบริหารจัดการในยุคนี้ได้
และหลังจากนั้นเราก็ได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมาใช้ต่อยอดในองค์กรได้ ได้เงินเดือนเพิ่ม
เมื่อเทียบแล้วก็เท่ากับเพื่อนๆ ที่เรียนจบป. ตรี แต่มีประสบการณ์มายาว ๆ และยิ่งวุฒิสูงการสมัครงานการเรียกเงินเดือนก็ยากตาม
ขึ้นอยู่กับองค์กรนั้นๆ ว่าต้องการโฟกัสคนประเภทไหน
ตอนเราสมัครงาน เห็นได้ชัดว่า .... องค์กรไทย องค์ต่างชาติ ฝรั่ง จะเลือกคนที่มีประสบการณ์มากมาก่อน เพราะสามารถทำงานจริงได้เลย
ถ้ามีประสบการณ์ชั่วโมงบินสูง บวกกับมีวุฒิการศึกษาเขาก็เลือกก่อน
แต่ถ้าเป็นบริษัทคนจีน (บางแห่ง) องค์กรเลือกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และระดับการศึกษาสูงก่อน ยิ่งจบ ดร. ยิ่งได้อยู่ระดับบริหาร
แต่เมื่อย้อนกลับไปคำนวณเวลา ค่าใช้จ่ายและผลต่างๆ ตามมาแล้ว
กับคำถามที่ว่า .... เรียนต่อ ป. โท หรือทำงานต่อดี ?
อยากให้น้องๆ ลองคิด เปรียบเทียบกันดู ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน นานาจิตตังเนอะ
1. มีเป้าหมายในการเรียนต่อ ถามตัวเองให้ดีว่าเรียนไปเพื่ออะไร ??
บางคนเพื่ออัพตำแหน่ง อัพเงินเดือน บางคนเพื่อไปต่อยอดสายบริหาร /เจ้าของกิจการ
บางคนเพื่อหาConnection..ฯลฯ
และอย่าแบกความหวังของใครถ้าไม่จำเป็น เพราะมันจะทำให้เราไม่มีความสุข และมีหลายคนคิดสั้นเพราะเครียดกับเรื่องนี้มาแล้ว
2. ค่าใช้จ่ายที่เราเสียไประหว่างเรียน (เต็มเวลา) กับรายรับที่เราควรจะได้ระหว่างทำงาน (เต็มเวลา) แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ???
เช่น เมื่อเรียน เราต้องเสียค่าเทอมค่ากินอยู่ไปปีละ 300,000 บาท แต่ถ้าทำงานเราจะมีรายได้ปีละ 240,000 บาท เป็นต้น
(สมมติเงินเดือน ค่ากินอยู่ 20,000 บาท/เดือน ) **ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครบอกหรือนึกถึงกันเท่าไหร
3. ถ้าขยัน และอยากเรียนด้วยจริงๆ แนะให้เรียนและทำงานไปด้วย จะได้ทั้งสองแบบ
(แต่ก็ต้องยอมจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่า 2-3 เท่า) และกลับไปคำนวณตามข้อ 2
.
สุดท้ายแล้ว ....จงเชื่อ เคารพ และรับผิดชอบในทุกการตัดสินใจของตัวเราเอง ค่ะ