ถ้าดูตามปีทิ่อัลบั้มเดิมวางตลาดแล้ว (ก.ย. 1969) อาจจะเข้าใจว่าอัลบั้ม Abbey Road เป็นอัลบั้มที่ผลิตไว้ก่อนหน้าอัลบั้ม Let It Be ซึ่งเป็นอัลบั้มที่วางตลาดเป็นอัลบั้มสุดท้าย (พ.ค. 1970) แต่ความจริงควรจะถือว่าอัลบั้ม Abbey Road คืออัลบั้มสุดท้ายของ The Beatles ที่สมาชิกทั้งหมดได้มาร่วมงานกันอย่างแท้จริง สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัลบั้ม Let It Be เกิดความล่าช้าจนออกมาหนึ่งปีหลังจากอัลบั้มนี้เป็นเพราะปัญหาความสัมพันธ์ที่เริ่มเลวร้ายลงอย่างมากระหว่างสมาชิกวงโดยเฉพาะระหว่าง John และ Paul ทำให้อัลบั้ม Let It Be ซึ่งเดิมเป็นโครงการที่ใช้ชื่อว่า Get Back ต้องสะดุดลงเพราะสมาชิกเริ่มมองหน้ากันไม่ติดจนไม่ต้องการจะทำต่อ
มองในแง่หนึ่ง Abbey Road เป็นอัลบั้มที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างสมาชิกวงกำลังตกต่ำถึงขีดสุดหลังจากปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการอัดเสียงอัลบั้ม Let It Be ปัญหาระหว่างสมาชิกมีทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับแนวทางการทำดนตรีของแต่ละคน และในด้านธุรกิจจากปัญหาในบริษัท Apple Records โดยเฉพาะเรื่องการเฟ้นหาตัวผู้จัดการวงคนใหม่ ซึ่งในขณะที่ John, George และ Ringo ต้องการให้จ้าง Allen Klein แต่ Paul ไม่เห็นด้วยเพราะได้ยินข่าวลือเรื่องการทำธุรกิจที่ไม่ค่อยใสสะอาดของ Klein โดยต้องการจ้าง Lee และ John Eastman (พ่อและพี่ของ Linda Eastman ภรรยาของ Paul) ซึ่งสมาชิก Beatles คนอื่นคัดค้านอย่างหนักเพราะเห็นว่าจะเป็นการให้อำนาจกับ Paul มากเกินไป เลยต้องโหวตกันและ Paul แพ้เสียงข้างมากของคนอื่น (The Beatles ทำสัญญากันในรูป Partnership ซึ่งใช้เสียงข้างมากในการดำเนินการเรื่องสำคัญ) John, George และ Ringo เซ็นสัญญาจ้าง Klein แต่ Paul ไม่ยอมเซ็นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่การแยกวงกันในที่สุด
ในความเห็นของโปรดิวเซอร์ George Martin เขาตั้งข้อสังเกตว่า Abbey Road นับเป็นอัลบั้มที่มีปัญหาในการผลิตน้อยมากเพราะสมาชิก Beatles ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งๆที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ค่อยจะดีนักในช่วงนั้น ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะทุกคนเชื่อว่านี่น่าจะเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ร่วมงานกันก็เป็นได้ พูดง่ายๆคือเป็นการทิ้งทวนในฐานะ The Beatles เป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ต้องทนกับสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ระหว่างการอัดเสียงอัลบั้ม The Beatles (White Album) และ Let It be โปรดิวเซอร์ George Martin บอกลา The Beatles และไม่อยากกลับมาร่วมงานกันอีก แต่ก็ยอมในที่สุดจากการขอร้องอ้อนวอนของ Paul แต่ Martin ตั้งเงื่อนไขว่าเขาจะต้องมีสิทธิ์ขาดในการควบคุมทุกอย่างเหมือนกับที่เป็นมาในการทำงานกับอัลบั้มในอดีต
มีเกร็ดเรื่องภาพปกอัลบั้มว่าเกิดจากความขี้เกียจของ The Beatles เรื่องมีอยู่ว่าชื่อเล่นของอัลบั้มนี้ระหว่างการผลิตคือ Everest ซึ่งเป็นเอามาจากชื่อบุหรี่ยี่ห้อโปรดของ Geoff Emerick ซึ่งเป็น sound engineer ของวง และเพื่อให้เข้ากับชื่อนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะไปถ่ายปกอัลบั้มนี้ที่เทือกเขา Everest แต่พวกเขาก็ขี้เกียจเดินทางไกล Paul เลยออกไอเดียให้ตั้งชื่ออัลบั้มตามชื่อถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงาน EMI Studios ทำให้พวกเขาประหยัดเวลาเดินทางไปได้มหาศาลเพราะใช้เวลาเดินไปยังทางม้าลายใกล้สำนักงานแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ภาพปกด้านหน้าและด้านหลังของอัลบั้มนี้กลายเป็นที่มาของข่าวลือเรื่องการตายของ Paul รูปบนปกหน้าจะเป็นสมาชิกทั้งสี่กำลังเดินข้ามทางม้าลายบนถนน Abbey Road John เดินนำหน้าในชุดขาวซึ่งมักจะเป็นสีที่ผู้เดินนำขบวนศพใส่กัน Ringo ที่เดินตามอยู่ในชุดดำซึ่งเป็นสีของผู้ที่แบกโลงศพ George ที่เดินรั้งท้ายอยู่ในชุดยีนส์ซึ่งสัปเหร่อมักจะใส่กัน ส่วน Paul เดินเท้าเปล่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนตาย นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า Paul ก้าวเท้าแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นซึ่งเดินนำหน้าด้วยเท้าซ้ายขณะที่เขาก้าวโดยใช้ขาขวานำ ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นว่า Paul เป็นคนเดียวที่หลับตาเหมือนกับคนตาย เขายังคีบบุหรี่ด้วยนิ้วมือขวาทั้งๆที่เป็นคนถนัดซ้าย

ส่วนปกหลังจะมีอักษรชื่อวงปรากฏบนกำแพงอิฐโดยที่อักษรตัวสุดท้ายคือตัว S จะมีรอยร้าวพาดผ่าน หน้าชื่อ Beatles มีจุดอยู่ 8 จุดซึ่งเรียงเป็นตัวเลข 3 ซึ่งอาจจะหมายถึงสมาชิกวงที่เหลืออยู่แค่ 3 คนหลังการตายของ Paul ด้านหลังชื่อมีเงาสีขาวที่ดูคล้ายหัวกะโหลก มากไปกว่านั้น บรรดา conspiracy theorists ยังบอกว่าหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าแขนของผู้หญิงที่เดินผ่านป้ายชื่อ Beatles จะมีเค้าหน้าของ Paul โดยเป็นรูปร่างคล้ายจมูกที่มุมขวาด้านบนของปก ส่วนข้อศอกจะเป็นส่วนริมฝีปาก นี่เป็นเกร็ดสนุกๆมาเล่าสู่กันฟังนะครับ อาจจะฟังดูเพี้ยนๆสำหรับคนในสมัยนี้ แต่ในยุค Beatlemania นั้น แฟนเพลง The Beatles จริงจังกับข่าวลือเรื่อง Paul is dead อย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับในส่วนของดนตรีในอัลบั้มนี้ แม้ว่าตอนที่มันออกมาใหม่ๆ นักวิจารณ์มีทั้งๆที่ชอบและไม่ค่อยชอบอัลบั้มนี้ แต่กาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วถึงความอยู่ยงคงกระพันของอัลบั้มนี้ แฟนเพลงและนิตยสารหลายฉบับโหวตให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของ The Beatles นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่าคงจะเป็นเพราะอัลบั้มนี้ได้ George Martin กลับมาเป็นโปรดิวเซอร์อย่างเต็มตัว จึงมีการใช้เทคนิคการอัดเสียงช่วย โทนที่ออกมาจึงต่างจาก White Album ที่เน้นความเรียบง่าย
Side A ของอัลบั้มจะเป็นด้านที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้ร้องกันอย่างน้อยหนึ่งเพลง John กับ Paul ร้องคนละ 2 เพลง (John ร้อง Come Together และ I Want You (She's So Heavy) ส่วน Paul ร้อง Maxwell's Silver Hammer และ Oh! Darling) ส่วน George กับ Ringo ได้โควตาไปคนละเพลง (Something และ Octopus's Garden ตามลำดับ)
สำหรับ Side B ส่วนใหญ่จะเป็นด้านที่เน้นการเล่นแบบ medley และแจมดนตรีระหว่างสมาชิกราวกับจะเป็นการทิ้งทวนหรือการบอกลาแฟนเพลงในฐานะ The Beatles เป็นครั้งสุดท้าย จึงมีบรรยากาศของความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกมากกว่าสองอัลบั้มก่อนหน้านั้น เพลง medley มีสองชุด ชุดแรกคือ You Never Give Me Your Money/Sun King/Mean Mr. Mustard/Polythene Pam/She Came in Through the Bathroom Window แม้ว่าเพลง medley ชุดนี้จะเป็นแค่การเอาเพลงหลายเพลงมาเล่นแบบติดต่อกัน แต่ทุกเพลงก็เข้ากันและผสมผสานกันได้แบบไม่สะดุด
เพลง medley ชุดที่สองเป็นเพลงที่เหมือนกับจะบอกลาแฟนเพลง ได้แก่ Golden Slumbers/Carry That Weight/The End ทั้งหมดแต่งโดย Paul เพลงสุดท้ายของ medley ที่สองเป็นเพลงบอกลาแฟนเพลงอย่างแท้จริงแฝงไว้ด้วยปรัชญาในแนวคิดที่ว่าถ้าทุกอย่างในโลกจะดำเนินไปด้วยความรักดังที่ John แต่งไว้ในเพลง All You Need Is Love แล้วละก็ความรักที่คุณได้กลับมาคือความรักที่คุณให้กับคนอื่นนั่นเองดังเนื้อร้องอมตะตอนจบของเพลงนี้ที่ว่า “And in the end; The love you take; Is equal to the love you make.” เพลงนี้เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แจมกันอย่างเต็มที่ โดยเริ่มต้นจากการโซโล่กลองของ Ringo ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาปล่อยลวดลายแบบนี้เพราะปกติสมาชิกทุกคนในวงไม่ชอบการโซโล่กลองในเพลงของพวกเขา นอกจากนี้ ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ John, Paul และ George จะผลัดกันโซโล่กีตาร์กันเป็นความยาวทั้งหมด 18 ห้อง (เริ่มที่นาทีที่ 0:54) Paul เล่น 2 ห้องแรก ต่อด้วย George 2 ห้อง ปิดท้ายด้วย John อีก 2 ห้อง แล้ววนกลับมาอีก 2 เที่ยว
เพลงที่ไม่ใช่ medley ใน Side B จะมี 2 เพลง ได้แก่ เพลง Here Comes the Sun ซึ่งเป็นเพลงของ George ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเต็มไปด้วยความหวัง แตกต่างกับเพลง Something ซึ่งเป็นเพลงที่แทรกไว้ด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจหรือมีความเศร้าหมองบางอย่างซ่อนอยู่ภายในใจ ส่วนอีกเพลงคือ Because เพลงนี้ John เกิดแรงบันดาลใจจากการได้ฟัง Yoko Ono เล่นเปียโนเพลง Moonlight Sonata ของ Beethoven John ฟังแล้วเกิดไอเดียให้ Yoko ลองเล่นคอร์ดของเพลงนี้จากหลังมาหน้า จากนั้น John ก็ใส่เมโลดี้เข้าไปตามการเดินคอร์ดที่ได้มา เพลงนี้ร้องประสานเสียงแบบ 3-part harmony โดย John, Paul และ George ซึ่ง George บอกว่าเป็นเพลงโปรดของเขาในอัลบั้มนี้
แม้ว่าเพลง The End จะเป็นเพลงที่ The Beatles ตั้งใจจะให้เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม แต่ Side B จะมีแถมมาอีกเพลงคือ Her Majesty (แต่ไม่ได้ระบุที่ปกของอัลบั้มเดิมที่ออกในปี 1969) ซึ่ง Paul แต่งให้เป็นเพลงตลกล้อเลียนและต้องการให้ตัดออกจากอัลบั้ม แต่สตูดิโอต้องการคงไว้และแอบเพิ่มเข้าไปตอนตัดแผ่นทั้งๆที่ได้พิมพ์ปกอัลบั้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เพลงนี้จึงน่าจะเป็นเพลงแถมแบบไม่ได้ตั้งใจและไม่น่าจะนับเป็นเพลงสุดท้ายที่แท้จริง

สำหรับอัลบั้มฉลอง 50 ปี Abbey Road ออกมาในหลายเวอร์ชันด้วยกัน มีตั้งแต่ Super Deluxe (3 CD's + Blu-ray), box set แผ่น vinyl, CD set (2 แผ่น) หรือถ้าคนที่ไม่สนใจพวก bonus material ต่างๆ (ซึ่งมีน้อยกว่าในอัลบั้ม The White Album ครบรอบ 50 ปีที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว) ก็อาจเลือกซื้อเฉพาะแผ่นซีดีหรือไวนิลที่มีแต่เพลงในอัลบั้มเดิมที่เอามา remix โดย Giles Martin (ลูกชายของ George Martin ผู้ล่วงลับไปแล้วเมื่อปี 2016) และ Sam Okell โดย Giles เป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ด้วย เพลงที่ remix ใหม่มีตั้งแต่แบบ new stereo, 5.1 Surround และ Dolby Atmos สำหรับ bonus material ส่วนใหญ่จะเป็นเทปหรือเดโมการบันทึกเสียงระหว่างการอัดจำนวน 23 ครั้ง ซึ่งยังไม่เคยนำออกเผยแพร่มาก่อน
สำหรับแฟนเพลง The Beatles พันธุ์แท้ทั้งหลาย การได้ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อกันของสมาชิกในวงระหว่างการบันทึกเสียง หรือแม้แต่การได้รับรู้ถึงความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในห้องบันทึกเสียง ทำให้เหมือนได้เข้าอยู่ในเหตุการณ์และรับรู้ถึงบรรยากาศในขณะนั้น น่าจะทำให้ได้ทบทวนบรรยากาศเก่าๆ ย้อนเวลากลับไปหาอดีต และคงทำให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ๆได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าทำไม 50 ปีหลังการแยกวง The Beatles ยังคงเป็นวงที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่เสื่อมคลาย
สมาชิกท่านใดที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลบั้มนี้หรือเรื่องราวของวง The Beatles โดยละเอียด ผมขออนุญาตประชาสัมพันธ์ (อีกครั้ง) เกี่ยวกับบล็อก The Beatles for the Ages (ชื่อภาษาไทย "The Beatles เหนือกาลเวลา") ที่ผมได้จัดทำขึ้นสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของวงนี้โดยเฉพาะ บล็อกนี้น่าจะทำหน้าที่เป็นแหล่งนัดพบไม่จำกัดยุคสมัยของแฟนพันธุ์แท้อย่างแท้จริง ใครที่สนใจ ขอเชิญตามลิงก์ข้างล่างนี้ไปได้เลยครับ
http://thebeatlesfortheages.blogspot.com/2017/08/blog-post.html
อัลบั้มฉลองครบรอบ 50 ปี Abbey Road - อัลบั้มสุดท้ายของ The Beatles
มองในแง่หนึ่ง Abbey Road เป็นอัลบั้มที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างสมาชิกวงกำลังตกต่ำถึงขีดสุดหลังจากปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการอัดเสียงอัลบั้ม Let It Be ปัญหาระหว่างสมาชิกมีทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับแนวทางการทำดนตรีของแต่ละคน และในด้านธุรกิจจากปัญหาในบริษัท Apple Records โดยเฉพาะเรื่องการเฟ้นหาตัวผู้จัดการวงคนใหม่ ซึ่งในขณะที่ John, George และ Ringo ต้องการให้จ้าง Allen Klein แต่ Paul ไม่เห็นด้วยเพราะได้ยินข่าวลือเรื่องการทำธุรกิจที่ไม่ค่อยใสสะอาดของ Klein โดยต้องการจ้าง Lee และ John Eastman (พ่อและพี่ของ Linda Eastman ภรรยาของ Paul) ซึ่งสมาชิก Beatles คนอื่นคัดค้านอย่างหนักเพราะเห็นว่าจะเป็นการให้อำนาจกับ Paul มากเกินไป เลยต้องโหวตกันและ Paul แพ้เสียงข้างมากของคนอื่น (The Beatles ทำสัญญากันในรูป Partnership ซึ่งใช้เสียงข้างมากในการดำเนินการเรื่องสำคัญ) John, George และ Ringo เซ็นสัญญาจ้าง Klein แต่ Paul ไม่ยอมเซ็นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่การแยกวงกันในที่สุด
ในความเห็นของโปรดิวเซอร์ George Martin เขาตั้งข้อสังเกตว่า Abbey Road นับเป็นอัลบั้มที่มีปัญหาในการผลิตน้อยมากเพราะสมาชิก Beatles ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งๆที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ค่อยจะดีนักในช่วงนั้น ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะทุกคนเชื่อว่านี่น่าจะเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ร่วมงานกันก็เป็นได้ พูดง่ายๆคือเป็นการทิ้งทวนในฐานะ The Beatles เป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ต้องทนกับสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ระหว่างการอัดเสียงอัลบั้ม The Beatles (White Album) และ Let It be โปรดิวเซอร์ George Martin บอกลา The Beatles และไม่อยากกลับมาร่วมงานกันอีก แต่ก็ยอมในที่สุดจากการขอร้องอ้อนวอนของ Paul แต่ Martin ตั้งเงื่อนไขว่าเขาจะต้องมีสิทธิ์ขาดในการควบคุมทุกอย่างเหมือนกับที่เป็นมาในการทำงานกับอัลบั้มในอดีต
มีเกร็ดเรื่องภาพปกอัลบั้มว่าเกิดจากความขี้เกียจของ The Beatles เรื่องมีอยู่ว่าชื่อเล่นของอัลบั้มนี้ระหว่างการผลิตคือ Everest ซึ่งเป็นเอามาจากชื่อบุหรี่ยี่ห้อโปรดของ Geoff Emerick ซึ่งเป็น sound engineer ของวง และเพื่อให้เข้ากับชื่อนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะไปถ่ายปกอัลบั้มนี้ที่เทือกเขา Everest แต่พวกเขาก็ขี้เกียจเดินทางไกล Paul เลยออกไอเดียให้ตั้งชื่ออัลบั้มตามชื่อถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงาน EMI Studios ทำให้พวกเขาประหยัดเวลาเดินทางไปได้มหาศาลเพราะใช้เวลาเดินไปยังทางม้าลายใกล้สำนักงานแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ภาพปกด้านหน้าและด้านหลังของอัลบั้มนี้กลายเป็นที่มาของข่าวลือเรื่องการตายของ Paul รูปบนปกหน้าจะเป็นสมาชิกทั้งสี่กำลังเดินข้ามทางม้าลายบนถนน Abbey Road John เดินนำหน้าในชุดขาวซึ่งมักจะเป็นสีที่ผู้เดินนำขบวนศพใส่กัน Ringo ที่เดินตามอยู่ในชุดดำซึ่งเป็นสีของผู้ที่แบกโลงศพ George ที่เดินรั้งท้ายอยู่ในชุดยีนส์ซึ่งสัปเหร่อมักจะใส่กัน ส่วน Paul เดินเท้าเปล่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนตาย นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า Paul ก้าวเท้าแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นซึ่งเดินนำหน้าด้วยเท้าซ้ายขณะที่เขาก้าวโดยใช้ขาขวานำ ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นว่า Paul เป็นคนเดียวที่หลับตาเหมือนกับคนตาย เขายังคีบบุหรี่ด้วยนิ้วมือขวาทั้งๆที่เป็นคนถนัดซ้าย
สำหรับในส่วนของดนตรีในอัลบั้มนี้ แม้ว่าตอนที่มันออกมาใหม่ๆ นักวิจารณ์มีทั้งๆที่ชอบและไม่ค่อยชอบอัลบั้มนี้ แต่กาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วถึงความอยู่ยงคงกระพันของอัลบั้มนี้ แฟนเพลงและนิตยสารหลายฉบับโหวตให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของ The Beatles นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่าคงจะเป็นเพราะอัลบั้มนี้ได้ George Martin กลับมาเป็นโปรดิวเซอร์อย่างเต็มตัว จึงมีการใช้เทคนิคการอัดเสียงช่วย โทนที่ออกมาจึงต่างจาก White Album ที่เน้นความเรียบง่าย
Side A ของอัลบั้มจะเป็นด้านที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้ร้องกันอย่างน้อยหนึ่งเพลง John กับ Paul ร้องคนละ 2 เพลง (John ร้อง Come Together และ I Want You (She's So Heavy) ส่วน Paul ร้อง Maxwell's Silver Hammer และ Oh! Darling) ส่วน George กับ Ringo ได้โควตาไปคนละเพลง (Something และ Octopus's Garden ตามลำดับ)
สำหรับ Side B ส่วนใหญ่จะเป็นด้านที่เน้นการเล่นแบบ medley และแจมดนตรีระหว่างสมาชิกราวกับจะเป็นการทิ้งทวนหรือการบอกลาแฟนเพลงในฐานะ The Beatles เป็นครั้งสุดท้าย จึงมีบรรยากาศของความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกมากกว่าสองอัลบั้มก่อนหน้านั้น เพลง medley มีสองชุด ชุดแรกคือ You Never Give Me Your Money/Sun King/Mean Mr. Mustard/Polythene Pam/She Came in Through the Bathroom Window แม้ว่าเพลง medley ชุดนี้จะเป็นแค่การเอาเพลงหลายเพลงมาเล่นแบบติดต่อกัน แต่ทุกเพลงก็เข้ากันและผสมผสานกันได้แบบไม่สะดุด
เพลง medley ชุดที่สองเป็นเพลงที่เหมือนกับจะบอกลาแฟนเพลง ได้แก่ Golden Slumbers/Carry That Weight/The End ทั้งหมดแต่งโดย Paul เพลงสุดท้ายของ medley ที่สองเป็นเพลงบอกลาแฟนเพลงอย่างแท้จริงแฝงไว้ด้วยปรัชญาในแนวคิดที่ว่าถ้าทุกอย่างในโลกจะดำเนินไปด้วยความรักดังที่ John แต่งไว้ในเพลง All You Need Is Love แล้วละก็ความรักที่คุณได้กลับมาคือความรักที่คุณให้กับคนอื่นนั่นเองดังเนื้อร้องอมตะตอนจบของเพลงนี้ที่ว่า “And in the end; The love you take; Is equal to the love you make.” เพลงนี้เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แจมกันอย่างเต็มที่ โดยเริ่มต้นจากการโซโล่กลองของ Ringo ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาปล่อยลวดลายแบบนี้เพราะปกติสมาชิกทุกคนในวงไม่ชอบการโซโล่กลองในเพลงของพวกเขา นอกจากนี้ ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ John, Paul และ George จะผลัดกันโซโล่กีตาร์กันเป็นความยาวทั้งหมด 18 ห้อง (เริ่มที่นาทีที่ 0:54) Paul เล่น 2 ห้องแรก ต่อด้วย George 2 ห้อง ปิดท้ายด้วย John อีก 2 ห้อง แล้ววนกลับมาอีก 2 เที่ยว
เพลงที่ไม่ใช่ medley ใน Side B จะมี 2 เพลง ได้แก่ เพลง Here Comes the Sun ซึ่งเป็นเพลงของ George ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเต็มไปด้วยความหวัง แตกต่างกับเพลง Something ซึ่งเป็นเพลงที่แทรกไว้ด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจหรือมีความเศร้าหมองบางอย่างซ่อนอยู่ภายในใจ ส่วนอีกเพลงคือ Because เพลงนี้ John เกิดแรงบันดาลใจจากการได้ฟัง Yoko Ono เล่นเปียโนเพลง Moonlight Sonata ของ Beethoven John ฟังแล้วเกิดไอเดียให้ Yoko ลองเล่นคอร์ดของเพลงนี้จากหลังมาหน้า จากนั้น John ก็ใส่เมโลดี้เข้าไปตามการเดินคอร์ดที่ได้มา เพลงนี้ร้องประสานเสียงแบบ 3-part harmony โดย John, Paul และ George ซึ่ง George บอกว่าเป็นเพลงโปรดของเขาในอัลบั้มนี้
แม้ว่าเพลง The End จะเป็นเพลงที่ The Beatles ตั้งใจจะให้เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม แต่ Side B จะมีแถมมาอีกเพลงคือ Her Majesty (แต่ไม่ได้ระบุที่ปกของอัลบั้มเดิมที่ออกในปี 1969) ซึ่ง Paul แต่งให้เป็นเพลงตลกล้อเลียนและต้องการให้ตัดออกจากอัลบั้ม แต่สตูดิโอต้องการคงไว้และแอบเพิ่มเข้าไปตอนตัดแผ่นทั้งๆที่ได้พิมพ์ปกอัลบั้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เพลงนี้จึงน่าจะเป็นเพลงแถมแบบไม่ได้ตั้งใจและไม่น่าจะนับเป็นเพลงสุดท้ายที่แท้จริง
สำหรับแฟนเพลง The Beatles พันธุ์แท้ทั้งหลาย การได้ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อกันของสมาชิกในวงระหว่างการบันทึกเสียง หรือแม้แต่การได้รับรู้ถึงความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในห้องบันทึกเสียง ทำให้เหมือนได้เข้าอยู่ในเหตุการณ์และรับรู้ถึงบรรยากาศในขณะนั้น น่าจะทำให้ได้ทบทวนบรรยากาศเก่าๆ ย้อนเวลากลับไปหาอดีต และคงทำให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ๆได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าทำไม 50 ปีหลังการแยกวง The Beatles ยังคงเป็นวงที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่เสื่อมคลาย
สมาชิกท่านใดที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลบั้มนี้หรือเรื่องราวของวง The Beatles โดยละเอียด ผมขออนุญาตประชาสัมพันธ์ (อีกครั้ง) เกี่ยวกับบล็อก The Beatles for the Ages (ชื่อภาษาไทย "The Beatles เหนือกาลเวลา") ที่ผมได้จัดทำขึ้นสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของวงนี้โดยเฉพาะ บล็อกนี้น่าจะทำหน้าที่เป็นแหล่งนัดพบไม่จำกัดยุคสมัยของแฟนพันธุ์แท้อย่างแท้จริง ใครที่สนใจ ขอเชิญตามลิงก์ข้างล่างนี้ไปได้เลยครับ
http://thebeatlesfortheages.blogspot.com/2017/08/blog-post.html