ในทริปนี้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบระยะยาวครั้งแรกของเราหลังจากตัดสินใจลาออกจากงานประจำ แฟนเราเลยชวนไปเที่ยวช่วงซัมเมอร์ เราเคยไปเที่ยวแค่ประเทศในแถบเอเชียที่ฟรีวีซ่าสำหรับพาสปอร์ตไทย แต่ครั้งนี้ต้องไปไกลถึงยุโรป ซึ่งก่อนจะเข้าประเทศในแถบยุโรป เราต้องทำการขอวีซ่า Schengen(เชนเก้น) ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางอย่างน้อย 15 วัน ขั้นตอนการขอวีซ่าเราทำลงมือทำเองทุกขั้นตอน
ทีแรกจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ประเทศฮังการี แต่คิวที่กงสุลฮังการีค่อนข้างยาวและอยู่ที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเราอยู่เชียงใหม่ แฟนเราก็เลยหาข้อมูลกงสุลประเทศต่างๆ ที่มีอยู่ในเชียงใหม่ และแล้วเราทั้งสองคนก็พบว่ามีกงสุลเยอรมันอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งคุณแฟนเขาจะไปเยี่ยมเพื่อนที่เยอรมันพอดี ก็เลยปรับเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย สรุปแล้ว เที่ยวเยอรมัน 21 วัน และฮังการี 9 วัน
กงสุลเยอรมันที่เชียงใหม่ไม่ต้องจองคิว สามารถ Walk-in เข้าไปได้เลย แต่ถ้าไม่แน่ใจแนะนำให้โทรไปสอบถามก่อนก็ได้ค่ะ กงสุลเปิดวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. แนะนำให้ไปก่อนเวลาเปิดประมาณ 15 นาที ไม่ต้องนั่งรอนานเพราะเราต้องไปหยิบคิวเองเมื่อตอนที่พนักงานมาเปิดสำนักงานตอนเก้าโมงพอดี บัตรคิวจะมีอยู่ 2 สี (สีชมพูกับสีขาว) ขอวีซ่าท่องเที่ยวให้หยิบบัตรสีขาวนะคะ ที่นี่พนักงานทุกคนอัธยาศัยดี ให้ความช่วยเหลือกับทุกๆ ท่านที่ไปใช้บริการ
ในขณะที่นั่งรอคิวอยู่ เราใช้เวลาที่มีอยู่นี้ตรวจสอบเอกสารที่เตรียมมาค่ะ เนื่องจากเราขอวีซ่าแบบมีสปอนเซอร์ เอกสารก็จะเยอะนิดนึง
เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่า
1. Videx Visa กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่สถานฑูตต้องการ ดูตัวอย่างได้โดยหาจาก Google ค่ะ
2. เอกสารตั๋วเครื่องบิน – ให้จองแบบยกเลิกได้นะคะ หรือไม่ก็จองแบบ Book now Pay later เช่น สายการบิน KLM (ดูตัวอย่างได้โดยหาจาก Google ค่ะ) แนะนำให้จองทั้งขาไปและขากลับนะคะ
3. ประกันการเดินทาง – ควรครอบคลุมตลอดระยะเวลาในการท่องเที่ยว ของเราแฟนซื้อให้เป็นของ โตเกียวมารีน(Tokio Marine) ทั้งหมด 30 วัน สามารถซื้อเกินวันก็ได้นะคะ เช่นไป 7 วัน ซื้อ 10 วัน รายละเอียดต่าง ๆ ถาม Google ค่ะ
4. การจองโรงแรม/ที่พัก – จองใน Booking.com แบบไม่ต้องจ่ายเงินและยกเลิกฟรี ของเรายื่นทั้งใบจองโรงแรมและที่อยู่บ้านของแฟนที่ฮังการี
5. หนังสือรับรองการทำงาน – ในส่วนนี้เราเขียนเป็นจดหมายแนะนำตัวค่ะ เพราะลาออกจากงานแล้ว เราอธิบายไปว่า เราเป็นใคร, จะไปที่ไหน, ไปทำอะไร, ความสัมพันธ์กับแฟน, จะกลับมาเมืองไทยแล้วทำอะไรต่อ เขียนเป็นภาษาอังกฤษโดยใช้คำศัพท์ง่ายๆ
6. Statement – ขั้นต่ำ 3 เดือน เรายื่นทั้งบัญชีของแฟนและบัญชีเงินเก็บอันน้อยนิดของเรา จะปริ้นเอาจากในอินเตอร์เน็ตหรือไปขอที่ธนาคารก็ได้
7. Bank Certificate – อันนี้ต้องไปขอที่ธนาคารค่ะ เรายื่นแต่ของเราไป
8. จดหมายเชิญและรับรองค่าใช้จ่าย – ให้แฟนเขียนแล้วเซ็นชื่อ ปริ้นจากอีเมล์ที่เขาส่งมาให้ แฟนเราเป็นคนอเมริกัน แต่เรียนภาษาอยู่ฮังการี มีการงานที่มั่นคง ซึ่งในกรณีของเราแฟนหรือผู้เชิญไม่จำเป็นต้องเป็นคนเยอรมัน
9. แผนการเดินทาง – อันต้องเขียนให้ละเอียดเพื่อให้ทางสถานฑูตเชื่อว่าเราไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมแฟนจริงๆ แนะนำให้ทำแบบตาราง เขียนโปรแกรมเที่ยวทุกวัน ตัวอย่างมีใน Google เช่นเดิมค่ะ
10. สำเนาหนังสือเดินทาง – ทั้งของเราและของแฟน
11. หนังสือเดินทางตัวจริงของตัวเราเอง
12. สำเนาทะเบียนบ้านของเรา – ไม่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษคะ
13. รูปถ่ายแสดงความสัมพันธ์กับแฟน – สัก 3-4 รูป อธิบายใต้ภาพสั้นๆ ว่าเหตุการณ์นี่คืออะไร
14. รูปถ่ายหรือเอกสารความผูกพันธ์กับประเทศไทย – เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น รถ บ้าน ที่ดิน หรือ หนี้สินที่เรายังชำระไม่หมด รูปถ่ายธุรกิจของครอบครัวจะเล็กจะใหญ่แนบไปได้หมดค่ะ
15. รูปถ่ายแบบไบโอเมตริก 2 ใบ- ถ่ายที่ร้านถ่ายรูปทั่วไปได้เลยค่ะ บอกเขาว่าถ่ายรูปวีซ่ายุโรป ประเทศเยอรมัน
16. ค่าธรรมเนียมวีซ่าจะอยู่ที่ 60 ยูโร แต่เราต้องจ่ายเป็นเงินไทย 2,300 บาท นอกจากนี้ทางกงสุลที่เชียงใหม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการอีก 1,450 บาท รวมแล้วต้องจ่าย 3,750 บาท
***เอกสารทุกฉบับให้เซ็นชื่อรับรองด้วยค่ะ***
เมื่อถึงคิวเราแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะตรวจเอกสารและสัมภาษณ์ไปในตัว สัมภาษณ์เป็นภาษาไทย คำถามทั่วไป เหมือนเป็นการพูดคุย สอบถาม ถ้าเอกสารของเราครบ ไม่มีปัญหาติดขัด เขาก็จะให้เราจ่ายค่าธรรมเนียมพร้อมกับให้ใบเสร็จมา ควรเก็บใบเสร็จไว้ เพราะต้องใช้ในวันที่มารับพาสปอร์ตคืน ขั้นตอนสุดท้ายก็ไปแสกนลายนิ้วมือและก็กลับบ้านได้ หลังจากนั้นรอ 2 อาทิตย์ ให้โทรไปสอบถามว่าสามารถไปรับพาสปอร์ตคืนได้รึยัง ของเราขอไป 30 วัน ก็ได้มาตามนั้น แต่พิเศษตรงที่ขอแบบ Single Entry ไปแต่ได้แบบ Multiple Entry มา ถือว่าโชคดีค่ะ เพราะก่อนวันที่จะเดินทางมีการเปลี่ยนแผนการเดินทางอีกมากมาย
เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง วันนี้เป็นวันที่เรากังวลมากที่สุด อย่างที่บอกข้างต้นว่าทริปนี้เป็นทริปเที่ยวยาว ได้วีซ่ามา 30วันก็จริง แต่หลังจากนั้นเรายังมีแพลนเที่ยวประเทศในแถบใกล้เคียงที่ฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย แฟนเราเลยยังไม่ได้จองตั๋วขากลับให้ เพราะจำได้ว่าเท่าที่เคยบินออกนอกประเทศไทย ตอนไปเช็คอิน พนักงานเขาจะให้แสดงตั๋วขากลับด้วย เรากลุ้มใจมากตอนนั้น แต่แฟนเราก็บอกว่าไม่เป็นไร อย่าคิดมาก ถ้าทางสายการบินไม่ให้เช็คอินก็ให้โทรหาเขา ด้วยความที่โชคดีอีกครั้ง พนักงานไม่ได้ถามตั๋วขากลับ รู้สึกโล่งอกไปครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งทางที่ยังคงกังวลใจ คือเราเป็นชอบอ่านรีวิว หลายคนที่ไปถึงแล้วโดนส่งตัวกลับมาบ้าง อีกทั้งยังบอกว่า ตม.ที่เยอรมันค่อนข้างโหด ถามเยอะ ให้แสดงเอกสารมากมาย เราเป็นผู้หญิง(ไทย) เดินทางคนเดียวด้วย จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงลำดับแรกเลยก็ว่าได้ กระเป๋าที่เราถือขึ้นเครื่องก็จะประกอบไปด้วยเอกสารครึ่งกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่พัก เอกสารของแฟน แผนการท่องเที่ยว(ปลอม) เพราะขี้เกียจแก้
และนาทีที่ตื่นเต้นก็มาถึง เครื่องบิน landing ที่สนามบิน Frankfurt เวลาสี่ทุ่มกว่าตามเวลาท้องถิ่น เดินเข้ามาในอาคารเจอเจ้าหน้าที่ 2 คน ยืนอยู่ เจ้าหน้าที่ผู้ชายขอดูพาสปอร์ตเราและถามว่าจะไปไหน เราก็บอกตามความจริงว่ามาเที่ยว แฟนมารอรับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เรารู้สึกว่าหน้ากับหูของเราเริ่มชา และเขาก็คืนพาสปอร์ตให้ ทีแรกนึกว่า 2 คนนั้นคือ ตม. แต่พอเดินเข้าไปข้างในอาคารอีกนิด เจอของจริงล่ะทีนี้ เพราะป้ายข้างหน้าเขียนว่า “Immigration” เราก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งทีแล้วก็เดินเข้าไปช่องที่ว่างอยู่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย เขาถามเราว่า พูดภาษาอังกฤษได้ไหม, จุดประสงค์ของการมาที่นี่คืออะไร, มาเที่ยวคนเดียวเหรอ เราตอบตามความจริงทั้งหมด ว่าเรามาเที่ยว แฟนของฉันมารอรับอยู่ที่สนามบิน แล้วเจ้าหน้าที่ก็ลงตราที่พาสปอร์ตและคืนให้เรา จากนั้นเราก็เดินออกไปแบบสวยๆ ไปหาคุณแฟนที่ยืนถือช่อดอกไม้รออยู่ เอกสารที่หอบมาอยากจะเผาทิ้งมาก เขาไม่ขอดูเลย ทีนี่ก็เที่ยวได้อย่างสบายใจ โล่งอกแบบ 100% ตม.ที่ว่าโหดก็ไม่ได้โหดเหมือนอย่างที่หาข้อมูลมา การเดินทางท่องเที่ยวเข้าออกในประเทศกลุ่มเชงเก้นก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรเลย เหมือนกับเที่ยวบินภายในประเทศ ยุโรปสวยจริงๆ ค่ะ ภายในตัวเมืองสะดวกสบายมากๆ ถ้ามีโอกาสขอเชงเก้นครั้งหน้า เราหวังว่าเขาจะพิจารณาให้วีซ่าเรายาวกว่านี้ จะได้เที่ยวอีกหลายๆ ประเทศที่ยังไม่ได้ไปเยือน
การขอวีซ่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย เพียงแค่เราทำตามขั้นตอนและมีจุดประสงค์ตามประเภทวีซ่าที่ขอ แค่นี้เราก็สามารถไปเที่ยวที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าวีซ่าจะผ่านไหม สุดท้ายนี้เราหวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์และแนวทางเพิ่มเติมในการขอวีซ่าสำหรับทุกๆ ท่านที่รักการท่องเที่ยวค่ะ
วีซ่า Schengen ประเทศเยอรมัน ฉบับไม่ง้อ Agency 2019 (กงสุลเชียงใหม่)
ทีแรกจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ประเทศฮังการี แต่คิวที่กงสุลฮังการีค่อนข้างยาวและอยู่ที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเราอยู่เชียงใหม่ แฟนเราก็เลยหาข้อมูลกงสุลประเทศต่างๆ ที่มีอยู่ในเชียงใหม่ และแล้วเราทั้งสองคนก็พบว่ามีกงสุลเยอรมันอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งคุณแฟนเขาจะไปเยี่ยมเพื่อนที่เยอรมันพอดี ก็เลยปรับเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย สรุปแล้ว เที่ยวเยอรมัน 21 วัน และฮังการี 9 วัน
กงสุลเยอรมันที่เชียงใหม่ไม่ต้องจองคิว สามารถ Walk-in เข้าไปได้เลย แต่ถ้าไม่แน่ใจแนะนำให้โทรไปสอบถามก่อนก็ได้ค่ะ กงสุลเปิดวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. แนะนำให้ไปก่อนเวลาเปิดประมาณ 15 นาที ไม่ต้องนั่งรอนานเพราะเราต้องไปหยิบคิวเองเมื่อตอนที่พนักงานมาเปิดสำนักงานตอนเก้าโมงพอดี บัตรคิวจะมีอยู่ 2 สี (สีชมพูกับสีขาว) ขอวีซ่าท่องเที่ยวให้หยิบบัตรสีขาวนะคะ ที่นี่พนักงานทุกคนอัธยาศัยดี ให้ความช่วยเหลือกับทุกๆ ท่านที่ไปใช้บริการ
ในขณะที่นั่งรอคิวอยู่ เราใช้เวลาที่มีอยู่นี้ตรวจสอบเอกสารที่เตรียมมาค่ะ เนื่องจากเราขอวีซ่าแบบมีสปอนเซอร์ เอกสารก็จะเยอะนิดนึง
เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่า
1. Videx Visa กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่สถานฑูตต้องการ ดูตัวอย่างได้โดยหาจาก Google ค่ะ
2. เอกสารตั๋วเครื่องบิน – ให้จองแบบยกเลิกได้นะคะ หรือไม่ก็จองแบบ Book now Pay later เช่น สายการบิน KLM (ดูตัวอย่างได้โดยหาจาก Google ค่ะ) แนะนำให้จองทั้งขาไปและขากลับนะคะ
3. ประกันการเดินทาง – ควรครอบคลุมตลอดระยะเวลาในการท่องเที่ยว ของเราแฟนซื้อให้เป็นของ โตเกียวมารีน(Tokio Marine) ทั้งหมด 30 วัน สามารถซื้อเกินวันก็ได้นะคะ เช่นไป 7 วัน ซื้อ 10 วัน รายละเอียดต่าง ๆ ถาม Google ค่ะ
4. การจองโรงแรม/ที่พัก – จองใน Booking.com แบบไม่ต้องจ่ายเงินและยกเลิกฟรี ของเรายื่นทั้งใบจองโรงแรมและที่อยู่บ้านของแฟนที่ฮังการี
5. หนังสือรับรองการทำงาน – ในส่วนนี้เราเขียนเป็นจดหมายแนะนำตัวค่ะ เพราะลาออกจากงานแล้ว เราอธิบายไปว่า เราเป็นใคร, จะไปที่ไหน, ไปทำอะไร, ความสัมพันธ์กับแฟน, จะกลับมาเมืองไทยแล้วทำอะไรต่อ เขียนเป็นภาษาอังกฤษโดยใช้คำศัพท์ง่ายๆ
6. Statement – ขั้นต่ำ 3 เดือน เรายื่นทั้งบัญชีของแฟนและบัญชีเงินเก็บอันน้อยนิดของเรา จะปริ้นเอาจากในอินเตอร์เน็ตหรือไปขอที่ธนาคารก็ได้
7. Bank Certificate – อันนี้ต้องไปขอที่ธนาคารค่ะ เรายื่นแต่ของเราไป
8. จดหมายเชิญและรับรองค่าใช้จ่าย – ให้แฟนเขียนแล้วเซ็นชื่อ ปริ้นจากอีเมล์ที่เขาส่งมาให้ แฟนเราเป็นคนอเมริกัน แต่เรียนภาษาอยู่ฮังการี มีการงานที่มั่นคง ซึ่งในกรณีของเราแฟนหรือผู้เชิญไม่จำเป็นต้องเป็นคนเยอรมัน
9. แผนการเดินทาง – อันต้องเขียนให้ละเอียดเพื่อให้ทางสถานฑูตเชื่อว่าเราไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมแฟนจริงๆ แนะนำให้ทำแบบตาราง เขียนโปรแกรมเที่ยวทุกวัน ตัวอย่างมีใน Google เช่นเดิมค่ะ
10. สำเนาหนังสือเดินทาง – ทั้งของเราและของแฟน
11. หนังสือเดินทางตัวจริงของตัวเราเอง
12. สำเนาทะเบียนบ้านของเรา – ไม่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษคะ
13. รูปถ่ายแสดงความสัมพันธ์กับแฟน – สัก 3-4 รูป อธิบายใต้ภาพสั้นๆ ว่าเหตุการณ์นี่คืออะไร
14. รูปถ่ายหรือเอกสารความผูกพันธ์กับประเทศไทย – เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น รถ บ้าน ที่ดิน หรือ หนี้สินที่เรายังชำระไม่หมด รูปถ่ายธุรกิจของครอบครัวจะเล็กจะใหญ่แนบไปได้หมดค่ะ
15. รูปถ่ายแบบไบโอเมตริก 2 ใบ- ถ่ายที่ร้านถ่ายรูปทั่วไปได้เลยค่ะ บอกเขาว่าถ่ายรูปวีซ่ายุโรป ประเทศเยอรมัน
16. ค่าธรรมเนียมวีซ่าจะอยู่ที่ 60 ยูโร แต่เราต้องจ่ายเป็นเงินไทย 2,300 บาท นอกจากนี้ทางกงสุลที่เชียงใหม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการอีก 1,450 บาท รวมแล้วต้องจ่าย 3,750 บาท
***เอกสารทุกฉบับให้เซ็นชื่อรับรองด้วยค่ะ***
เมื่อถึงคิวเราแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะตรวจเอกสารและสัมภาษณ์ไปในตัว สัมภาษณ์เป็นภาษาไทย คำถามทั่วไป เหมือนเป็นการพูดคุย สอบถาม ถ้าเอกสารของเราครบ ไม่มีปัญหาติดขัด เขาก็จะให้เราจ่ายค่าธรรมเนียมพร้อมกับให้ใบเสร็จมา ควรเก็บใบเสร็จไว้ เพราะต้องใช้ในวันที่มารับพาสปอร์ตคืน ขั้นตอนสุดท้ายก็ไปแสกนลายนิ้วมือและก็กลับบ้านได้ หลังจากนั้นรอ 2 อาทิตย์ ให้โทรไปสอบถามว่าสามารถไปรับพาสปอร์ตคืนได้รึยัง ของเราขอไป 30 วัน ก็ได้มาตามนั้น แต่พิเศษตรงที่ขอแบบ Single Entry ไปแต่ได้แบบ Multiple Entry มา ถือว่าโชคดีค่ะ เพราะก่อนวันที่จะเดินทางมีการเปลี่ยนแผนการเดินทางอีกมากมาย
เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง วันนี้เป็นวันที่เรากังวลมากที่สุด อย่างที่บอกข้างต้นว่าทริปนี้เป็นทริปเที่ยวยาว ได้วีซ่ามา 30วันก็จริง แต่หลังจากนั้นเรายังมีแพลนเที่ยวประเทศในแถบใกล้เคียงที่ฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย แฟนเราเลยยังไม่ได้จองตั๋วขากลับให้ เพราะจำได้ว่าเท่าที่เคยบินออกนอกประเทศไทย ตอนไปเช็คอิน พนักงานเขาจะให้แสดงตั๋วขากลับด้วย เรากลุ้มใจมากตอนนั้น แต่แฟนเราก็บอกว่าไม่เป็นไร อย่าคิดมาก ถ้าทางสายการบินไม่ให้เช็คอินก็ให้โทรหาเขา ด้วยความที่โชคดีอีกครั้ง พนักงานไม่ได้ถามตั๋วขากลับ รู้สึกโล่งอกไปครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งทางที่ยังคงกังวลใจ คือเราเป็นชอบอ่านรีวิว หลายคนที่ไปถึงแล้วโดนส่งตัวกลับมาบ้าง อีกทั้งยังบอกว่า ตม.ที่เยอรมันค่อนข้างโหด ถามเยอะ ให้แสดงเอกสารมากมาย เราเป็นผู้หญิง(ไทย) เดินทางคนเดียวด้วย จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงลำดับแรกเลยก็ว่าได้ กระเป๋าที่เราถือขึ้นเครื่องก็จะประกอบไปด้วยเอกสารครึ่งกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่พัก เอกสารของแฟน แผนการท่องเที่ยว(ปลอม) เพราะขี้เกียจแก้
และนาทีที่ตื่นเต้นก็มาถึง เครื่องบิน landing ที่สนามบิน Frankfurt เวลาสี่ทุ่มกว่าตามเวลาท้องถิ่น เดินเข้ามาในอาคารเจอเจ้าหน้าที่ 2 คน ยืนอยู่ เจ้าหน้าที่ผู้ชายขอดูพาสปอร์ตเราและถามว่าจะไปไหน เราก็บอกตามความจริงว่ามาเที่ยว แฟนมารอรับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เรารู้สึกว่าหน้ากับหูของเราเริ่มชา และเขาก็คืนพาสปอร์ตให้ ทีแรกนึกว่า 2 คนนั้นคือ ตม. แต่พอเดินเข้าไปข้างในอาคารอีกนิด เจอของจริงล่ะทีนี้ เพราะป้ายข้างหน้าเขียนว่า “Immigration” เราก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งทีแล้วก็เดินเข้าไปช่องที่ว่างอยู่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย เขาถามเราว่า พูดภาษาอังกฤษได้ไหม, จุดประสงค์ของการมาที่นี่คืออะไร, มาเที่ยวคนเดียวเหรอ เราตอบตามความจริงทั้งหมด ว่าเรามาเที่ยว แฟนของฉันมารอรับอยู่ที่สนามบิน แล้วเจ้าหน้าที่ก็ลงตราที่พาสปอร์ตและคืนให้เรา จากนั้นเราก็เดินออกไปแบบสวยๆ ไปหาคุณแฟนที่ยืนถือช่อดอกไม้รออยู่ เอกสารที่หอบมาอยากจะเผาทิ้งมาก เขาไม่ขอดูเลย ทีนี่ก็เที่ยวได้อย่างสบายใจ โล่งอกแบบ 100% ตม.ที่ว่าโหดก็ไม่ได้โหดเหมือนอย่างที่หาข้อมูลมา การเดินทางท่องเที่ยวเข้าออกในประเทศกลุ่มเชงเก้นก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรเลย เหมือนกับเที่ยวบินภายในประเทศ ยุโรปสวยจริงๆ ค่ะ ภายในตัวเมืองสะดวกสบายมากๆ ถ้ามีโอกาสขอเชงเก้นครั้งหน้า เราหวังว่าเขาจะพิจารณาให้วีซ่าเรายาวกว่านี้ จะได้เที่ยวอีกหลายๆ ประเทศที่ยังไม่ได้ไปเยือน
การขอวีซ่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย เพียงแค่เราทำตามขั้นตอนและมีจุดประสงค์ตามประเภทวีซ่าที่ขอ แค่นี้เราก็สามารถไปเที่ยวที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าวีซ่าจะผ่านไหม สุดท้ายนี้เราหวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์และแนวทางเพิ่มเติมในการขอวีซ่าสำหรับทุกๆ ท่านที่รักการท่องเที่ยวค่ะ