"โรคซึมเศร้า"...เมื่อสัก 40 ย้อนหลังมันมีไหม?

ก็เข้าใจน่ะว่าสังคมมันเปลี่ยนไปมากจากอดีตมาก จากสังคมพออยู่พอกินตามอัตภาพใช้ชีวิตตามวิถีความเป็นไทย(สมัยเดิมๆ) แต่ด้วยกระแสของโลกานุวัฒน์สังคมเลยขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยม ความอยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดังก็ตามมา สิ่งที่สำคัญในระบบการขับเคลื่อนของสังคมของผู้คนก็คือการแข่งขัน ใครชนะก็ได้รับการยกย่องจากสังคมคนรอบข้าง(ไม่ว่าจะชนะแบบดำหรือขาว) คนที่แพ้ที่ด้อยก็ต้องหลบพกความชอกช้ำเครียด ที่ไม่ประสบผลสำเร็จหรือไม่เท่าเทียมอย่างคนที่ถูกเปรียบเทียบ จึงนำมาซึ่งความเครียดสะสมในที่สุดก็เป็นโรคที่ว่านี่! ผมอายุ 62 ปีก็เฝ้าดูสังคมมาตลอดรู้สึกว่าเจ้าโรคที่ว่าเมื่อย้อยหลังไปหลายสิบปี ไม่ค่อยมีข่าวเพิ่งมีเห็นมีข่าวมาช่วงหลังๆและหนักขึ้น ก็เข้าใจบริบทของสังคมล่ะน่ะ! เพราะคนทุกวันต้องเริ่มแข่งขันกันตั้งเข้าอนุบาลเข้า!
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
■ ตอนนี้จิตแพทย์งานหนักมาก เจอเคสพ่อแม่พาลูกมาปรึกษาเต็มไปหมด เพราะคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเป็นพลังพัฒนาประเทศ กลายเป็นคนที่เปราะบาง รักสบาย ใครขัดใจไม่ได้ พร้อมจะระเบิดอารมณ์ ถ้าระเบิดอารมณ์ไม่ได้ ก็ระเบิดใส่ตัวเอง กลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด แล้วประเทศชาติจะเอาใครไปช่วยพัฒนา...

■ เหตุการณ์แบบนี้ในไทยและไต้หวัน เรียก "สตรอเบอรี่เจนเนอเรชั่น" ดูสวยงามแต่เปราะบาง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเด็กในประเทศจีน ที่ลูกชายคนเดียวของครอบครัว ถูกเลี้ยงตามอกตามใจราวกับเทวดา ไร้มารยาท ไร้ความเกรงใจผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด เวลาเจอเรื่องที่ผิดหวัง...เรียก "ฮ่องเต้ซินโดรม" หรือกลุ่มอาการฮ่องเต้

■ self esteem หรือความภาคภูมิใจในตนเองไม่มี มีแต่หายอดไลค์ไปวันๆ ตามโซเชี่ยลมีเดีย เสียเวลาไปมากมาย เพื่อรอการยอมรับ (approve)​ จากคนอื่น เพราะสร้างด้วยตนเองไม่เป็น มีแต่เปลือกที่เปราะบาง ไม่ต่างจากบ้านสวย ราคาแพงและหรูหรา... แต่ไม่มีเสาเข็ม แค่ลมพัดกรรโชกมา ไม่ช้าก็พัง

"วิธีฝึกความอดทน
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ

■ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งรู้ว่า ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตมาก ถ้าขาดความอดทน ชีวิตจะล้มเหลวแทบทุกอย่าง

■ คนรุ่นใหม่ไม่อดทนกันเลย พ่อ-แม่ลืมฝึกให้ลูกอดทน เพราะพ่อ-แม่ช่วยลูกมากไป ทำให้แทบทุกอย่าง ลูกๆ เลยทำอะไรไม่เป็น ไม่อดทน รอคอยไม่เป็น เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็กลายเป็นคนโกรธง่าย ท้อถอย ทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ มักโทษตัวเองหรือคนอื่น หรือโทษโชคชะตา

■ ความอดทนเป็นวุฒิภาวะอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรมี คนที่ขาดความอดทน มักจะมีสภาวะทางจิตใจและท่าทางเป็นเด็ก จิตที่มีความอดทน จะทำให้เราอดทนทางกายและทางวาจาได้มากขึ้น

■ บางคนชินต่อการบ่น ทำอะไรเหนื่อยหน่อยก็บ่น ยิ่งบ่นมากเท่าไรยิ่งไม่อดทนมากเท่านั้น พาลจะเลิกทำกิจกรรมนั้นอยู่เรื่อยๆ การบ่นถึงความเหนื่อยยาก เหมือนเป็นการเปิดประตูจิตใจรับฟังความอ่อนแอของตนเอง ทำให้เชื่อว่าตัวเองอ่อนแอ ไม่สู้พร้อมจะแพ้และไม่อดทน

■ นอกจากไม่บ่นเวลาฝึกหรือทำงานหนักแล้ว ผมยังอยากแนะนำให้ชมตัวเองด้วยว่าเราเก่งขึ้น ทุกวันทุกนาทีที่กำลังทำงานหนัก จะเกิดกำลังใจและฮึกเหิมที่จะอดทนมากขึ้น

■ ในแนวคิดทางพุทธศาสนาสอนให้คิดว่า เรากำลังชดใช้ “เวร” และ “กรรม” กันอยู่ โดยเราเป็นฝ่ายที่เคยทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก่อน ขณะนี้เรากำลังชดใช้เวรกรรมคืนเขาไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที แล้วเราจะสบายมากขึ้น นี่เป็นแนวคิดในทางพุทธศาสนา

■ แต่ถ้าเป็นแนวคิดทางคริสเตียนเขาเชื่อว่า การที่เรากำลังลำบากและต้องอดทนให้ได้นั้น เป็นเพราะพระเจ้าต้องการจะทดสอบความอดทนของเรา โดยประสงค์ให้เราต้องเจ็บปวด และต้องอดทนให้ได้ หลังจากนั้นเราจะสบาย และมีความสุขมากขึ้น

■ อีกวิธีหนึ่งที่ผมเคยใช้แนะนำหลายๆ คนในการฝึกความอดทน โดยให้คิดว่า “ความอดทนคือความกล้าหาญ” เราจะทนได้มากขึ้น เพราะคำว่า “กล้าหาญ” เป็นเสมือนเหรียญตราที่มีเกียรติประดับอยู่ที่หน้าอกเรา ฉะนั้น แม้เราจะเหนื่อยหรือเจ็บปวดบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก จงอดทนต่อไปเถิด เพราะเราคือคนกล้าหาญไงเล่า

■ ใครที่มีความอดทนจะได้เปรียบในทุกๆ ด้านของชีวิต จากความอดทนจะทำให้เราอดกลั้นได้มากขึ้นทั้งทางกาย วาจา และทางความคิด

■ ทั้งอดทนและอดกลั้น จะทำให้เราเป็นคนกล้าหาญ ยืนหยัดในโลกได้อย่างมั่นคง ไม่เปราะง่ายเหมือนคนอื่นๆ ใครได้พบเห็นก็ชื่นชม และเราก็จะภูมิใจตัวเองว่ามี “เหรียญตราของความกล้าหาญ” ประดับอกเสื้ออยู่ตลอดไป

■ บทความโดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
คอลัมน์ #โลกและชีวิต @แนวหน้าออนไลน์
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
หลักๆ น่าจะเป็นเรื่อง สภาพจิตใจ แต่ส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อาจจะเป็นเรื่องของ การเปิดกว้างของสังคม (โลกโซเชียล ทำให้กว้างมากขึ้น) รวมไปถึง สังคมแบบวัตถุนิยม และการเปรียบเทียบ (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ ฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ฯลฯ) ที่มีมากขึ้น ทำให้โรคนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ผมขอเรียกว่า สภาวะเร่งให้เกิดโรคดีกว่า เพราะคิดว่าเรื่องโรคน่าจะมีมานานแล้ว

ผมเคยอ่านบทความเกี่ยวกับโรคนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมันคงหาสาเหตุหลักๆ ของการทำงานผิดปกติของสารในร่างกายไม่ได้ แต่คิดว่า ถ้าคนๆ นั้นรู้จักปลง ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้ โรคนี้ก็น่าจะไม่สามารถทำร้ายเราถึงขนาดที่จะต้องฆ่าตัวตายได้

จริงๆ ผมมองว่า มันไม่ใช่แค่ โรคซึมเศร้า ที่มีให้เราเห็น ผมว่าสังคมทุกวันนี้ หลายๆ เรื่องสามารถทำร้ายจิตใจของเราได้มาก ยกตัวอย่างเช่น เด็กรุ่นใหม่ จะขาดความอดทน ความทุ่มเท ซึ่งต่างจากคนสมัยก่อน เพราะปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไร อยากรู้อะไร มันรวดเร็ว ทันใจไปหมด ทำให้เด็กยุคใหม่ ขาดความอดทน หรือการรอคอยมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่