แก้นิสัยเป็นหนี้บัตรเครดิตซ้ำซ้อน ใน 1 ปี

สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้เพิ่งสมัครเข้ามาใหม่เพราะต้องการแชร์ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาการเป็นหนี้บัตรเครดิตซ้ำซ้อน โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ด้วยจำนวนเงินเป็นหนี้แตะๆ 100,000 บาทค่ะ 

ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราไม่ใช่กูรู ผู้รู้จริง หรืออะไรทั้งสิ้น กระทู้นี้ตั้งเพื่อแชร์ประสบการณ์และแนวคิดที่ได้มาจากครูบาอาจารย์ท่านอื่น และนำมาสังเคราะห์เป็นวิธีการของเราล้วนๆค่ะ ยิ้ม

**คนอื่นอาจใช้เวลาน้อยกว่านี้ ด้วยจำนวนเงินที่เราเป็นหนี้ แต่ถ้าใครที่กำลังประสบปัญหากับการเป็นหนี้ซ้ำซ้อน วนไปอยู่อย่างนั้น แก้หมดแล้วก่อหนี้ใหม่เรื่อยๆ ลองนำวิธีของเราไปใช้ดูนะคะ

ก่อนอื่น ขอขอบคุณครูอาจารย์ โค้ช ผู้รู้ และบุคคลต่างๆ ที่เราได้ไปศึกษาแนวคิด วิธีการ และนำมารับมือกับปัญหาที่เราเจออยู่ได้ จนวันนี้กล้าพูดเต็มปากว่า "จะไม่ยอมกลับไปเป็นหนี้ซ้ำซ้อนอีก" แนวคิดและวิธีการต่างๆที่เรานำมาปรับใช้และได้นำเสนอในกระทู้นี้ขอยกความดีความชอบให้กับ

1. โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์
2. คุณโจ มณฑานี ตันติสุข
3. แขกรับเชิญและ Case study ทุกเคส ในรายการ The money case by the money coach
4. กรณีศึกษาจากชมรมหนี้บัตรเครดิตทุกกรณีศึกษา ที่มาแบ่งปัน
5. ครูบาอาจารย์ทุกท่านไม่ได้เอ่ยนามในที่นี้ แต่อาจมีแทรกชื่อไปในบางตอนของการเล่านะคะ

ก่อนที่จะเริ่ม เราขอแบ่งเนื้อหาที่จะมาแบ่งปันออกเป็น 6 ส่วนสั้นๆ โดยจะพยายามเขียนแต่ละส่วนให้กระชับเนื้อๆ เน้นๆ น้ำน้อยๆ เพื่อให้เราเล่าแล้วไม่หลงประเด็นไปก่อน ยังไงก็เอาใจช่วยให้เราเล่าจบด้วยนะคะ เพราะเราตั้งใจไว้ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจจะเลิกเป็นหนี้ซ้ำซ้อนว่าถ้าหากเราแก้ปัญหาของตนเองได้แล้ว จะนำวิธีการที่เราใช้มาช่วยคนอื่น ยิ้ม 

ตอนที่ 1 ก่อนจะมาเป็นหนี้ซ้ำซ้อน
ตอนที่ 2 หนี้ซ้ำซ้อนที่เราพูดถึงคืออะไร
ตอนที่ 3 หนทางสู่การเป็นหนี้ซ้ำซ้อน
ตอนที่ 4 Turning point ที่ทำให้เราอยากเลิกเป็นหนี้
ตอนที่ 5 กระบวนการที่เราทำเพื่อเลิกเป็นหนี้ (วินัย)
ตอนที่ 6 สรุปสิ่งที่ได้จากการทำตามวินัยตลอด 1 ปี
ตอนพิเศษ แนะนำแหล่งความรู้ดีและฟรี รวมไปถึงหนังสือน่าอ่าน

ก่อนที่เราจะเริ่มกันที่ตอนแรก เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะที่เป็นหนี้อยู่ (หรือยังไม่เป็นหนี้อยู่ก็ตาม) ทุกปัญหามีทางออกค่ะ หากกระทู้เรามีประโยชน์และสามารถช่วยคุณให้หลุดพ้นจากปัญหาได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อานิสงส์ผลบุญเหล่านี้ เราขอยกให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพื่อนๆของเราทุกคน รวมถึงพวกคุณด้วยนะคะ 

และหากใครมีคำแนะนำอยากมาเสริมเพิ่มเติม เราจะยินดีมากๆเลยค่ะ

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตที่ไม่มีหนี้ในเร็ววันนะคะ เริ่มต้นทีละนิด คุณทำได้ค่ะ ยิ้ม 


ตอนที่ 1 ก่อนจะมาเป็นหนี้ซ้ำซ้อน

เราเป็นนักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรี เข้าทำงานในระบบ ระหว่างทำงานก็เรียนต่อโทไปด้วย มีความฝันอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง และมีเงินล้านก่อนอายุ 30 ปี ครอบครัวมีฐานะปานกลาง ไม่มีหนี้สิน ให้เงินเราใช้ให้อยู่สบายๆทุกเดือนในสมัยเรียน พอเริ่มทำงานก็ใช้เงินตัวเองแต่ไม่ต้องส่งให้ที่บ้าน มีเงินเก็บ มีคอนโด มีรถ ที่ไม่มีภาระต้องผ่อน ทุกอย่างทำให้เราชะล่าใจ คิดว่าตัวเองมีพอ มีต้นทุนสูงกว่าคนอื่น ไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่น ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเป็นหนี้ และรังเกียจคนที่เป็นหนี้ด้วยซ้ำ

จนเมื่อได้มีบัตรเครดิตเป็นของตัวเอง (สมัครโดยไม่บอกที่บ้าน เพราะที่บ้านไม่สนับสนุนให้มีบัตรเครดิต ยังเป็นแนวโบราณอยู่) เราได้เรียนรู้การใช้บัตรเครดิต มันว้าว มันพิเศษ มีส่วนลด มีแต้ม ล่อตาล่อใจให้รูดมาก

ช่วงแรกๆที่สมัครบัตร ด้วยความกลัวไม่ผ่าน เรายื่นขอไปถึง 3 ใบ ตามคำแนะนำของพนักงานขาย และใช่ค่ะ สุดท้ายเราได้รับการอนุมัติทั้ง 3 ใบ และด้วยความสนุก เราก็เปิดใช้ทั้ง 3 ใบเช่นเดียวกัน รวมๆแล้ววงเงินในตอนแรกของทั้ง 3 ใบอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท

ตอนนั้นเราตั้งกฎให้กับตัวเองว่าในแต่ละเดือนห้ามใช้บัตรเครดิตทุกใบรวมกันเกิน 5,000 บาท และทุกเดือนเราก็จะมีเงินเก็บไว้ในธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ในตอนแรกแบ่งเป็นเงินฝากออมทรัพย์ สหกรณ์ กองทุน พอร์ตหุ้น สลากออมสิน สลากธกส. Unit linked และอื่นๆ

***สังเกตตรงนี้นะคะว่าเราไม่มีเงินเก็บส่วนที่เป็นเงินเก็บฉุกเฉินเลย เพราะเราชะล่าใจมาก ว่าเงินฉุกเฉินของเราก็คือเงินของที่บ้าน ที่ไปขอเมื่อไหร่ก็ได้


ตอนที่ 2 หนี้ซ้ำซ้อนที่เราพูดถึงคืออะไร

หนี้ซ้ำซ้อนในความหมายของเรา คือ "เป็นหนี้แล้ว..เป็นหนี้อีก" ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ เราเคยเป็นหนี้บัตรเครดิตมารอบนึงแล้ว รอบนั้นเรามีหนี้ของบัตรทั้ง 3 ใบรวมกันประมาณเกือบๆ 100,000 บาทเหมือนรอบนี้แหละ ถ้าถามว่าหนี้นี้เกิดจากอะไร ส่วนใหญ่เกิดจากตั๋วเครื่องบินไปเที่ยว ค่าที่พัก ค่ากิน lifestyle ที่ทุกคนต้องการ รวมไปถึงคอร์สเรียนต่างๆด้วยค่ะ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหลังจากอกหักพอดี เราทำทุกอย่างเพื่อที่จะดูแลและดึงตัวเองกลับมาเป็นปกติ แน่นอนเรากลับมาหายดี ใช้ชีวิตได้แฮปปี้ มีความสุข แต่ก็ต้องมาหดหู่อีกครั้งเมื่อพบว่ายอดบัตรเครดิตเราพุ่งไปแตะ 100,000 บาท ที่เราไม่มีเงินจ่ายเต็มจำนวน ได้แต่จ่ายขั้นต่ำมาทุกเดือน "โดยไม่เตือนตัวเองเลยว่าจะไม่ไหวแล้วนะ" ซึ่งต้องบอกว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงที่เราต้องไปเรียนต่อต่างประเทศพอดี และเราไม่อยากให้ที่บ้านรู้ว่าเราเป็นหนี้บัตรเครดิต เราจึงหาวิธีการทุกอย่าง (เท่าที่เราคิดได้ในตอนนั้น) หาเงินมาเพื่อเคลียร์หนี้บัตรให้หมดก่อนเดินทาง แน่นอนว่าเราไม่อยากยุ่งกับเงินเก็บทั้งหมด เพราะเรากลัวใจตัวเองว่าดึงออกมาหมดแล้วจะไม่สามารถหาคืนกลับเข้าไปได้ พอร์ตหุ้น พอร์ตลงทุนก็เขียวขจีจนเราไม่กล้าไปแตะ

ตอนนั้นเราชอบฟังคลิปวิดีโอของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง มีประโยคหนึ่งที่ครูอ้อยสอนแล้วเราจำได้คือการ "ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" เราจึงตัดสินใจขายของแบรนด์เนมที่เรามี ไม่ว่าจะกระเป๋า รองเท้า เกือบทั้งหมด เพื่อให้มีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเพื่อให้มีเงินใช้หนี้ ส่วนเงินอีกบางส่วน เราเริ่มขายสลากธกส. ออกไป ซึ่งเป็นเงินก้อนที่เราสะสมมาได้จากตอนทำงานที่แรก (เงินก้อนนี้เราภูมิใจมากเพราะเก็บด้วยน้ำพักน้ำแรงและมีวินัยในการเก็บทุกเดือนมาก เป็นเงินก้อนที่เรายังนึกเสียดายอยู่ที่สุด) และด้วยความที่กำลังจะไปเรียนต่างประเทศ ทำให้เราได้เงินบางส่วนมาจากเงินขวัญถุงจากเจ้านาย ญาติพี่น้อง เราก็นำเงินส่วนนี้มาบริหารและจัดการใช้หนี้ในตอนนั้น สุดท้ายเราเคลียร์หนี้สำเร็จ เงินที่เหลือเราก็เอาไปซื้อของที่อยากได้ เรียนภาษา เตรียมตัวไปต่างประเทศ และเก็บเงินไว้ลงทุนทำธุรกิจ

แน่นอนว่าเราชะล่าใจอีกเช่นเคย ไปต่างประเทศเราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่บ้านเราซัพพอร์ตค่ากินอยู่ทุกเดือน เงินที่เหลือจากการใช้หนี้รอบนี้เราเลยใช้อย่างเต็มที่ ถึงตอนนี้เราไม่กล้าซื้อแบรนด์เนมหรืออะไรแพงมากๆ มีท่องเที่ยว กินอาหารดีๆ และเรานำเงินไปลงทุนในความรู้ (เรียนแต่ไม่นำมาใช้ ฟุ้งไปเรื่อย) ลงทุนธุรกิจที่เราคิดว่าตัวเองรู้จักดีแล้ว ไม่ได้ศึกษาให้ดีก่อนลงเงิน เชื่อคนที่เราเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิท (ไม่ได้ตำหนิเพื่อนนะคะ เพื่อนแค่สนับสนุนว่าเราทำได้ เพราะเห็นความสามารถในตัวเรา แต่เราเองที่เหลาะแหละ ชะล่าใจ ไม่เอาจริงจนทำเจ๊งเอง) สุดท้ายเราเสียเงินกับธุรกิจนี้ไปอีกประมาณ 50,000 บาท ขายของได้ไม่กี่ชิ้น ทุกวันนี้ยังนั่งใช้ของที่ตัวเองผลิตมาอยู่เลยค่ะ 

เราจินตนาการ เราวาดฝัน ธุรกิจเราจะทำเงินได้หลักล้านภายในกี่เดือน มีการตั้งเป้าหมาย "แต่ไม่ลงมือทำ" เงินเก็บเราค่อยๆหมดลงไป แต่ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว กินอาหารดีๆ ถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลของเรายังมีอยู่ มีบัตรเครดิตก็รูดไป และแน่นอน เราไม่เคยบันทึกรายจ่ายอีกเช่นเคย นึกคร่าวๆในหัว และสะกดจิตตัวเองว่า เดี๋ยวก็หาเงินมาใช้ได้เหมือนรอบที่แล้วนั่นแหละ

และสุดท้ายมันก็กลับมาเป็นเหมือนรอบที่แล้วจริงๆ ถึงตอนนั้น บัตรทั้ง 3 ใบ มีบางใบที่วงเงินเต็ม จ่ายขั้นต่ำทุกเดือน จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หลุด กลับมาเป็นสภาพเดิม เราได้หนี้กลับมาอีก 100,000 บาทอีกรอบ และนี่คือที่มาของคำว่า "หนี้ซ้ำซ้อน" ในความหมายที่เราพูดถึงนั่นเองค่ะ

***ข้อสังเกต จะเห็นว่าเรามีความชะล่าใจอีกแล้ว อีกจุดหนึ่งคือการตั้งเป้าหมายของเราในตอนนั้นเป็นวิธีการตั้งเป้าหมายที่หละลอย จับต้องไม่ได้มากๆ เพราะเราลงมือทำ โดยไม่รู้จริง ที่สำคัญที่สุดคือเรา "ยังรู้จักนิสัยทางการเงิน" ของตัวเองไม่ดีพอ

ตอนที่ 3 หนทางสู่การเป็นหนี้ซ้ำซ้อน

มาถึงตอนที่ 3 นี้ เราขอสรุปหนทางสู่การเป็นหนี้ซ้ำซ้อนของตัวเราเองไว้ 4 ข้อ ตามนี้นะคะ

1. เราไม่รู้จักนิสัยทางการเงิน การใช้เงินของตัวเอง 

เราไม่เคยประเมินเลยว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายประจำเท่าไหร่ เราต้องเก็บเงินเท่าไหร่ถึงจะพอดี (คิดแต่ว่าเก็บให้มากที่สุด สุดท้ายก็เก็บมากเกินไปจนไม่มีเงินกิน) ที่สำคัญคือเราไปเที่ยวบ่อย แต่เราไม่เคยคำนวณเลยว่าแต่ละทริปเราใช้เงินไปเท่าไหร่ ไปเที่ยวสนุก กลับมาโพสต์รูป จบทริปนี้ไปทริปต่อไป เป็นอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ 
**สรุปคือ เราไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเองอย่างจริงจังนั่นเอง

2. เรากลัวไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อนฝูง

เพื่อนชวนไปไหน เราไปหมด ไปกินอะไรเราไปหมด ไม่ใช้ของแพง เสื้อผ้าดีๆ จะไม่เป็นที่ยอมรับ ไปงานแล้วใส่เสื้อซ้ำไม่ได้ ดูแย่ เสื้อผ้า หน้าผม ต้องเป๊ะ ตลอดเวลา อันนี้สรุปง่ายๆตรงนี้เลย เพราะเรากลัวไม่มีเพื่อน กลัวเพื่อนมองว่าไม่มีเงิน แต่จริงๆแล้ว คนที่เป็นเพื่อนเราจริงๆ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง เค้าก็จะยังอยู่เป็นเพื่อนเราไปแบบนั้นค่ะ ส่วนคนประเภทที่เรากลัวเค้าไม่คบเพราะเราไม่มีเงินไปเที่ยวไปกินกับเค้า เลิกคบไปก็ดีนะคะ

3. กลัวตัวเองไม่ฉลาด ไม่ทันโลก

จริงๆแล้วเราว่าข้อนี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่จะขวนขวายหาความรู้ดีๆใส่ตัวตลอดเวลา แต่ด้วยกรอบคิดแบบเดิมๆ ทำให้เราเชื่อว่าความรู้ที่ดีและฟรีไม่มีอยู่จริง ถึงมีเราก็ไม่อยากเรียน เพราะรู้สึกว่ามันฟรี มันไม่มีคุณค่า ไม่เสียเงินแล้วไม่อยากเรียน (แต่ด้วยความดื้อรั้นมากๆตอนนั้น ถึงเสียเงินไป บางครั้งไม่ถูกใจอะไรเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่เรียนต่อแล้วค่ะ)

4. ดื้อ รั้น หัวชนฝา อีโก้คับโลก

จากตอนที่ 1 หลายคนอาจสัมผัสได้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ถูกเลี้ยงมาให้เอาตัวเองเป็นใหญ่แบบใช้ได้เลย อยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ และไม่ค่อยอยากขอความช่วยเหลือจากใคร ชอบคิดเองเออเองว่า ชั้นทำได้ ชั้นเก่ง ที่สำคัญยอมใครไม่ได้ คำพูดติดปากคือ "ใช้เงินแก้ปัญหา" แต่บังเอิญว่านั่นมันไม่ใช่เงินเราจริงๆ มันเลยเป็นหนี้วนไปอยู่อย่างนั้นแหละค่ะ

***4 ข้อนี้เป็นข้อหลักๆ ที่ทำให้เราเข้าสู่กระบวนการเป็นหนี้ซ้ำซ้อนของตัวเอง ลองดูนะคะว่าใครมีข้อไหนตรงกันบ้าง 


ตอนที่ 4-6 ต่อในคอมเมนต์นะคะ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่