[CR] [#Review] Ad Astra ภารกิจตะลุยดาว - หนังอวกาศที่ไม่ Mass แต่ก็ไม่ติสท์ งานภาพสวยมาก แต่เนื้อเรื่องประเด็นเยอะจนหลงๆ งงๆ

ด้วยตัวอย่างหนังและชื่อดารานำและดาราประกอบ เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะนึกถึงหนังแนว action sci-fi ที่ระเบิดดาวตูมตามกันมากกว่าหนังแนวอึนๆ แฝงปรัชญา และเต็มไปด้วยคำถามเยอะแยะมากมายขนาดนี้ นับว่าเป็นหนังของ แบรด พิทท์ อีกเรื่องที่ผมดูแล้วมึนๆ งงๆ (เรื่องแรกที่รู้สึกแบบนี้คือ Tree of Life) แถมหนังยังสร้างประเด็นอะไรขึ้นมาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่กลับไม่ทำอะไรกับประเด็นเหล่านั้นเลย

เรื่องราวของนักบินอวกาศ รอย แม็คไบรด์ (แบรด พิตต์) ต้องรับหน้าที่ทำภารกิจสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการเดินทางข้ามระบบสุริยจักรวาล เพื่อตามหาพ่อผู้เป็นที่รักที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งสาเหตุนั้นอาจข้องเกี่ยวกับปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ และเป็นความลับที่คุกคามการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษยชาติบนโลกของเรา

การเล่าเรื่องแบบมีเสียงพูดนำเรื่อง ถ้าตัวหนังเองไม่ได้น่าสนใจหรือน่าติดตาม คนดูมีสิทธิ์หลับได้เลย เรื่องนี้ก็เกือบพาผมหลับไปเหมือนกัน เพียงแต่ว่าผมดื่มกาแฟแก้วใหญ่เข้าไปก่อนไปดูเรื่องนี้ หนังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่อยู่ในช่วงเวลาของการค้นหาดาวดวงอื่นและทฤษฎีสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยการเอาปรัชญาของจุดเริ่มต้นชีวิตและจุดจบมาผนวกบวกกับประเด็นหลายๆ อย่างที่ปูเรื่องช่วงแรกๆ ให้เหมือนจะน่าสนใจ

หนังเหมือนพยายามสร้างประเด็นเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่เรื่องราวของพ่อกับลูกชาย เรื่องราวของภารกิจที่มีคนดีและคนร้าย เรื่องราวของสลัดอวกาศที่อยู่ๆ ก็โผล่มา เรื่องราวของสัตว์ทดลอง เรื่องราวสยองขวัญบนยานอีกลำ โอ๊ยยย เยอะแยะเต็มไปหมด แต่หนังเหมือนจุดประเด็นขึ้นมาให้คนสงสัยเหมือนจุดไม้ขีดแล้วก็ดับไปเฉยๆ โดยไม่พูดถึงมันอีกแบบงงๆ แล้วไปจบที่อุดมการณ์ของคนคนหนึ่ง

นอกจากเรื่องราวจะมึนๆ งงๆ แล้ว เสียงเพลงประกอบในหนังก็สามารถกล่อมให้หลับได้เช่นกัน แต่ถ้าตั้งใจดูจริงๆ เสียงเพลงและซาวนด์ประกอบเป็นสิ่งที่บีบคั้นอารมณ์ให้คนดูเครียดตามไปกับหนังได้อย่างน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันจะมีทั้งความอึดอัดจากตัวหนังเอง และจากองค์ประกอบของเสียงและบรรยากาศภาพ ซึ่งผมดูแล้วก็เครียดปนง่วงอย่างบอกไม่ถูก

สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของหนัง ผมยกให้งานภาพที่ทำออกมาได้สวยเหลือเกิน มันอาจจะเป็นงานภาพที่เราเคยเห็นมาแล้วจาก Interstella, Gravity หรือฉากสยองเหมือน Event Horizon ผสมปนเปกันไป แต่ต้องบอกว่าถ้าดูโรงหนังที่จอภาพคมๆ หรือ IMAX น่าจะดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

ส่วนตัวผมไม่ถึงกับ fail กับหนัง แต่ก็ไม่ได้ชอบและไม่ได้มีความประทับใจอะไรเลยจากหนังเรื่องนี้ เพราะประเด็นที่หนังสร้างขึ้นมาแล้วน่าจะบอกเล่าให้มันจบ หนังก็ตัดทิ้งไปเฉยๆ มาเล่นประเด็นตอนท้ายที่ดูไม่มีน้ำหนักกับเรื่องสักเท่าไหร่ แถมการเอาคำพูดปรัชญาสวยๆ มาใส่เข้าไปแต่หนังสื่อไปไม่ถึง มันช่างน่าเสียดายความเป็นหนังฟอร์มยักษ์เหลือเกิน

ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai