[CR] เมื่อมนุษย์เงินเดือนออกตามหา "นาขั้นบันได ณ บ้านป่าปงเปียง" เที่ยวครบๆ จบในวันเดียว [[#เจอกันวันจันทร์]]

เจอกันวันจันทร์ EP:1 CNX DAY 1

สามารถติดตามพวกเราได้ที่ Facebook Fanpage : เจอกันวันจันทร์

https://www.facebook.com/seeyounextmondayy/

ทริปนี้ เราจะไปตามหานาขั้นบันไดกันครับ

ก็อย่างว่า มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ เวลาไม่ค่อยมี วันลาก็เกือบจะเกลี้ยง คงมีแค่เสาร์อาทิตย์นี่แหล่ะ ที่พอจะเที่ยวได้ แต่จะให้ออกไปเที่ยวแถวบ้านมันก็ไม่ใช่ป้ะ มันก็อยากไปไกลๆหน่อย อยากเที่ยวให้ครบๆ แต่เวลามีอยู่แค่เนี้ยยยย ปกติเสาร์อาทิตย์นอนหายใจทิ้งก็หมดวันละ ตื่นมาอีกทีวันจันทร์เฉย ลาก่อยวันหยุด

ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวแบบ เสาร์-อาทิตย์ เอาอยู่ เก็บครบๆแบบไม่ต้องรีบ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ

เอาเป็นว่า อยากเที่ยวแต่คิดไม่ออก ลอกเราเลย

จุดหมายของเราในทริปนี้คือ “นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง” อยู่ที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

โดยปกติแล้วนาขั้นบันไดที่แม่แจ่มนั้น จะเที่ยวได้ช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค. ของทุกปีครับ โดยเราเลือกที่จะมาในช่วงต้นเดือนกันยาเพราะว่าจะเป็นช่วงที่ต้นข้าวโตกำลังดี เพื่อนๆจะเห็นทุ่งนาขั้นบันไดเป็นสีเขียวอ่อนแน่นๆสุดลูกหูลูกตากันไปเล้ยยย

เรารีบบินมาเชียงใหม่หลังเลิกงานวันศุกร์ เราเช่ารถไว้ล่วงหน้าครับ ให้เค้ามาส่งตอนเครื่องเราลงที่เชียงใหม่เลย แล้วก็รีบเข้าโรงแรม เตรียมตัวออกเดินทางตอนเช้าวันเสาร์กันครับ

เส้นทางที่เราจะไปบ้านป่าบงเปียงนั้น เราจะเดินทางขึ้นดอยอินทนนท์ เพื่อไปลงอำเภอแม่แจ่ม และเหมารถกระบะที่แม่แจ่มเพื่อไปบ้านป่าปงเปียง ทำให้เราได้เส้นทางเที่ยวตามนี้ครับ

- บ้านแม่กลางหลวง
- จุดชมวิว กม.41
- อ่างกา
- บ้านป่าบงเปียง

ก่อนจะไปดูว่าแต่ละที่เป็นยังไง เดี๋ยวเราจะสรุปค่าใช้จ่ายให้แบบสั้นๆนะครับ

- ค่าตัวเครื่องบิน ไป-กลับ 1,500 บาท (อันนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา)
- ค่าเช่ารถ 700 บาทต่อวัน (เราเช่าวีออสครับ)
- ค่าน้ำมันสำหรับเส้นทางนี้ 900 บาท
- ค่ารถขึ้นบ้านป่าบงเปียง 1,500 บาท
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 50 บาท รถคันละ 30 บาท

สรุปค่าใช้จ่ายในวันแรกของเรา เราไปกัน 4 คน ตกคนละประมาณ 850 บาทครับ
ส่วนค่าโรงแรม ค่ากิน อันนี้ก็ตามความสะดวกของเพื่อนๆเลยครับ

มาครับ ตามไปดูที่เที่ยวกัน
จากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ

เราขับมาถึงถึงร้านกาแฟสมศักดิ์โถ่บิเบ ตอน 8:00 น.

ร้านกาแฟของพี่สมศักดิ์นั้นอยู่ในชุมชนบ้านแม่กลางหลวง ดอยอินทนนท์ กม.26

เป็นหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงปากัญยอครับ
คนที่นั่งอยู่ในรูปนั่นคือ พี่สมศักดิ์ ครับ

เรามาถึงกันช่วงเช้า อากาศเย็นๆ พี่สมศักดิ์แกจุดฟืนต้มน้ำ กาแฟก็บดแล้วก็ชงกันตรงนั้นเลยครับ โดนกันไปคนละแก้ว

ระหว่างนั่งกินกาแฟก็ได้คุยกับพี่สมศักดิ์ยาวๆ พี่เค้าอัธยาศัยดีม๊ากกก คุยสนุกครับ

ส่วนนี้เป็นเด็กเชียร์แขกประจำร้าน

ขี้อ้อน ฟีลแฟน
ทิปไม่ต้อง ดริ้งไม่ต้อง
น้องโดดขึ้นมานั่งตักเองเลยครับ

อ้อ... ก่อนออกจากร้านกำลังจะควักเงินจ่าย เพิ่งรู้ว่ากาแฟพี่สมศักดิ์เค้าให้ชิมฟรีครับ
ถ้าใครถูกใจก็อุดหนุนเมล็ดกาแฟของชาวบ้านกันได้เลย

เราเดินตามพี่สมศักดิ์มาที่จุดชมวิวครับ

แกกำลังบรรยายให้ความรู้กับนักศึกษาเรื่องเกี่ยวกับวิถีชุมชนอยู่

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับเรา ที่ได้อยู่ตอนที่มีบรรยายพอดี

เพราะการที่เรา ได้ไปเที่ยว ได้ไปเห็น ก็ว่าดีแล้ว แต่พอได้เข้าใจ ได้รู้สึก มันก็ยิ่งดีเข้าไปอีกครับ

และที่สำคัญ บ้านแม่กลางหลวงเค้าก็มีนาขั้นบันไดเหมือนกัน!!!

ถึงจะไม่ใช่นาขั้นบันไดที่ชันมาก
แต่บอกเลยว่าสวยจริงๆครับ

ตามแผนของเรา เราจะมาถึงบ้านแม่กลางหลวงในช่วงเช้า

ซึ่งแสงแรกของวันเพิ่งจะตกมาเจอกับทุ่งนาขั้นบันไดได้ไม่นาน

หยิบกล้องเตรียมตัวหามุมถ่ายรูปกันได้เลยครับ แสงกำลังสวย ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ


ออกจากบ้านแม่กลางหลวง เราขับรถมุ่งหน้ายอดดอยอินทนนท์กันต่อครับ

ผ่านด่านอุทยานด่านที่ 2 มาได้สักพัก จะเจอกับโค้ง กม.41

เพิ่งออกมาจากบ้านแม่กลางหลวงแบบแดดใสๆ ขับรถขึ้นมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง อย่างกะอยู่คนละประเทศเลยครับ

ยิ่งขึ้นมาสูง อากาศยิ่งหนาว เริ่มมีหมอกระหว่างทาง
ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ

เราจอดรถกันข้างทาง ลงมาเดินเล่นถ่ายรูปกัน
แต่ต้องบอกก่อนว่าจุดนี้ค่อนข้างอันตรายนะครับ ด้วยความที่หมอกลงหนามาก และเป็นโค้งที่ชันมากๆ ต้องระวังกันมากๆครับ แต่โชคดีที่ช่วงที่เราไปนั้นรถน้อยหน่อย ออกไปเดินหามุมถ่ายรูปกันแบบคูลๆได้อยู่ครับ
ตรงโค้ง กม.41 จะเป็นผนังปูนสูงๆกันดินถล่ม อยู่ก่อนถึงพระธาตุครับ

ถ้ามาช่วงปลายปีแถวนี้จะอากาศใสๆ พอดูทะเลหมอกได้เหมือนกัน

แต่ถ้ามาช่วงเดียวกับเราก็คืออยู่ในหมอกไปเล้ย มองไม่เห็นอะไรเล้ย 5555


ขับต่อมาจากโค้ง กม.41 อีกนิดเดียวเราก็จะถึงยอดดอยกันแล้วครับ

เรามาถึงจุดนี้ช่วงประมาณ 10:30 น. อุณภูมิอยู่ที่ 14 องศา
นี่ขนาดไม่ใช่หน้าหนาวนะเนี่ย

เราจอดรถไว้ และเดินตามทางไปที่ป้ายจุดสูงสุดแดนสยาม และเดินตามทางต่อ เพื่อไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกากันครับ
ด้วยหมอกหนาๆ อุณภูมิ 14 องศา ชิวๆป็อปๆ

เราเจอกับทางเดินยาวประมาณ 8 เมตร
ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปหน้าเริ่มชาครับผม

ด้วยความที่เป็นป่าที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ทำให้ต้นไม้ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ไหนในประเทศเลย ทำให้อ่างกาเป็นจุดที่มีสาระให้เรียนรู้เยอะมากจริงๆครับหากใครสนใจ

แต่บอกตรงๆว่าเรามาเดินเอาบรรยากาศเฉยๆ 555

ซึ่งก็แฮปปี้ครับ เป็นเส้นทางเดินสั้นๆ อากาศเย็น บรรยากาศแปลกหูแปลกตา

โดยส่วนตัวผมตั้งชื่อเล่นที่นี่ว่า “ป่าเมฆ”
เราออกจากอ่างกาตอน 11:30 น.

ย้อนลงมาจากยอดดอย ก่อนถึงด่านสองเราจะเลี้ยวขวาเพื่อลงไปทางอำเภอแม่แจ่ม

จากด่านสองลงไปถึงตัวอำเภอแม่แจ่มมีระยะทาง 23 กิโล แต่เป็น 23 กิโลที่ชัน และมีโค้งหักศอกเยอะมากกกกก
ก็ต้องขับกันระวังๆ คอยบีบแตรก่อนเข้าโค้งกันไปครับ
เรามาที่อำเภอแม่แจ่มเพื่อมาขึ้นรถกระบะครับ
ซึ่งเพื่อนๆสามารถมาเหมารถจากตัวอำเภอเพื่อขึ้นบ้านป่าปงเปียงได้ ราคาอยู่ประมาณ 1,500 บาท เป็นรถสองแถวสีเหลือง

จากที่เราเห็น เราไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นไปเอง ยกเว้นจะซิ่งกระบะ4WDกันมา

เพราะทางขึ้นบ้านป่าปงเปียงนั้นเป็นทางลูกรัง รถเก๋งชิคๆอย่างเราไม่ไหวแน่นอน ยิ่งถ้าเจอฝน ได้จอดร้องไห้อยู่กลางทางแน่ๆ

นั่งรถกันมาเรื่อยๆ ระหว่างทางเราจะได้เห็นวิวอีกมุมนึงของดอยอินทนนท์ที่เราจะไม่ค่อยได้เห็นกัน ซึ่งก็คือวิวจากข้างหลังดอยครับ
นั่งรถจากตัวอำเภอมาเกือบๆ45 นาที

เราก็เห็นภูเขาทั้งลูกเป็นชั้นๆ มีสีเขียวอ่อนๆ

นั่นล่ะครับ “บ้านป่าบงเปียง” จุดหมายของเราในวันนี้
ที่จริงระหว่างทาง เราจะผ่าน บ้านทุ่งยาว บ้านแม่มิ้งค์ บ้านตีนผา ที่มีนาขั้นบันไดสวยๆเหมือนกันครับ

แต่รอบนี้เรามุ่งหน้ามาที่บ้านป่าปงเปียงซึ่งอยู่สุดทาง ชันสุดใจกันก่อน เพราะว่าอากาศไม่ค่อยดีครับ กลัวจะติดฝนระหว่างทาง

พูดถึงนาขั้นบันไดของแต่ละหมู่บ้านนั้น ก็จะสวยกันคนละแบบครับ

แต่ที่ป่าบงเปียงคือจะใหญ่สุด ชันสุด อลังการสุด แล้วก็ไกลสุด นั่งรถระบมตูดกันสุดๆไปเล้ย 55
เรามาถึงบ้านป่าปงเปียงช่วงก่อน 14:00 น.

พอมาถึงยังไม่ทันทำอะไรเลย สิ่งที่กลัวที่สุดในทริปก็เกิดขึ้นครับ

ฝนตก.. T.T

กลายเป็นว่าเราเดินไปไหนไม่ได้เลย
ต้องติดฝนอยู่ในกระต๊อบกลางทุ่งนา...
แต่ใครจะรู้...

กลายเป็นว่า สิ่งที่เรากลัวที่สุดในทริป
กลับกลายเป็นโมเม้นที่ดีที่สุดในทริปเลยอ่ะ

เราเดินไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ในกระต๊อปกลางทุ่งนา
ต้องนั่งเฉยๆกันเป็นชั่วโมงเลยครับ

แต่กลายเป็นว่าพอได้นั่งนิ่งๆ กับวิวที่อยู่ตรงหน้า ได้ซึมซับบรรยากาศที่สงบๆ

เห้ย.. นี่แหล่ะใช่เลย

คือมันยิ่งมองยิ่งสวยอ่ะคุณ
เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของทริปนี้จริงๆ
เราติดฝนกันอยู่สักพัก ฝนกก็หยุดตกครับ

ท้องฟ้าเริ่มใส

เราเลยได้ออกไปหามุมสวยๆถ่ายรูปกันต่อครับ
นาขั้นบันนั้น จะสามารถเที่ยวได้แค่ช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค. ครับ

ซึ่งแต่ละเดือน ก็จะได้ภาพที่ไม่ซ้ำกันเลย

ระหว่าง ก.ค.-ส.ค. จะเป็นช่วงที่ชาวนาเพิ่งลงกล้า

ถ้าจะให้สวยต้องมาดูตอนพระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตกสะท้อนกับน้ำในทุ่งนา

ส่วนกันยาเป็นช่วงที่ต้นข้าวโตเขียวสวยกำลังพอดี ซึ่งเป็นช่วงที่เราเลือกมาครับ

แต่ถ้าเป็นเดือนตุลา ก็จะเห็นเป็นทุ่งนาสีเหลืองทอง เพราะข้าวออกรวงแล้ว

เพื่อนๆอยากได้บรรยากาศแบบไหน วางแผนและเตรียมตัวกันมาดีๆนะครับ

ถึงจะต้องรอ ถึงจะต้องลุ้นอากาศ ถึงจะต้องนั้งรถจนระบมก้น
แต่พอได้มาเห็นจริงๆแล้ว บอกเลยว่าคุ้มค่ามากครับ
จุดที่เราลงไปถ่ายรูปที่เพื่อนๆได้เห็นกัน
เป็นเพียงแค่เสี้ยวนึงของนาขั้นบันไดบ้านป่าปงเปียงเองครับ

อยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตาตัวเองครับ

เราจะเห็นภูเขาทั้งลูกกลายเป็นชั้นของนาขั้นบันได
มันอลังการม๊ากกกก
ระหว่างทางมาบ้านป่าปงเปียง
เราผ่านหลายหมู่บ้านที่ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก
ทำให้เราได้เห็นชุมชนที่หลากหลายครับ

ที่ปัจจุบันนี้ยังมีภาพสวยๆแบบนี้ให้พวกเราได้เห็น
เบื้องลึกเบื้องหลังคือความเข้มแข็งของชุมชนครับ

ต้องมีการอนุรักษ์ ไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างถาวรบดบังทรรศนียภาพ
ต้องมีการสร้างความเข้าใจ สร้างความรู้ สร้างความร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่น
เพื่ออนุรักษ์วิถีแบบนี้ โดยที่เกษตรยังอยู่ได้ครับ
16:30 เราออกจากบ้านป่าบงเปียง ขับรถยาวๆเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ครับ

ใจนึงก็อยากนอนที่บ้านป่าบงเปียง แต่อีกใจก็อยากไป ชิค ชิม ชิว อยู่ในเมืองเชียงใหม่พรุ่งนี้ครับ

ยังไงฝากเพื่อนๆติดตามตอนต่อไปของพวกเรากันด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ
#เจอกันวันจันทร์
ชื่อสินค้า:   นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่