Part1:
https://pantip.com/topic/39228432
ในช่วง 1990 SEGA ต้องการสร้างตัวละครมาสคอตและเกมที่มีตัวละครนั้นขึ้นมาเพื่อสู้กับมาริโอที่เป็นมาสคอตของ Ninetndo
หนึ่งในร่างแบบตัวละครที่ SEGA พิจารณานั้นมี "Mr. Needlemouse" ที่ Naoto Ohshima เป็นผู้สร้างรวมอยู่ด้วย
แบบร่างนี้ถูกเลือกและนำไปพัฒนาต่อยอดรวมถึงเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่ว่า “Sonic the Hedgehog” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “Sonic”
โดยมีการออกแบบให้ Sonic มีเขี้ยว, อยู่ในวงดนตรีและมีแฟนสาวที่เป็นมนุษย์ชื่อ Madonna
ต่อมา CEO ของ SoA ทอม คาลินสกี ได้ระดมทีมเฉพาะกิจขึ้นเพื่อปรับปรุง Sonic ให้ Soft ลง เหมาะสมกับตลาดในอเมริกา
โดยแนวคิดที่ให้ Sonic มีเขี้ยว, อยู่ในวงดนตรีและมีแฟนสาวนั้นถูกตัดออกไป ทำให้ทีมออกแบบ Sonic ที่ญี่ปุ่นหัวเสียมาก
แต่ นาโอโตะ ผู้สร้างก็ยอมรับการแก้ไขนี้
ผลลัพธ์คือ “Sonic” กลายเป็นตัวละครตัวแทนของ SEGA ที่อยู่ยืนยงมาตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบัน

จากกรณีของ Sonic นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความขัดแข้งระหว่าง ทอม และทางทีมงานจากฝั่งญี่ปุ่น
แนวความคิดในการทำตลาด Sega Genesis ของทอมนั้นบอร์ดบริหารของ SoJ นั้นไม่เห็นด้วยและคัดค้านอย่างจริงจัง
ความขัดแย้งนั้นรุนแรงมากจน ทอม ที่ตอนนั้นเข้ามาทำงานให้ SEGA ได้ประมาณ 3 เดือนคิดว่าคงจะโดนไล่ออกเร็ว ๆ นี้
แนวความคิดของทอมสามารถรวบรวมให้อยู่ในหัวข้อได้ 4 ข้อ
1. ตั้งทีมพัฒนาเกมของ SoA ที่ USA สร้างเกมที่มุ่งเน้นการเจาะตลาดในอเมริกาโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น
ไม่ไปแย่งฐานลูกค้าในกลุ่มเด็กที่ Nintendo ครองตลาดไปแล้ว
2. ทิศทางการทำโฆษณาของ SEGA จะต้องจิกกัดคู่แข่งอย่าง Nintendo ต่อไปพร้อมเพิ่มดีกรีความแรง
ให้การมีเครื่องของ Nintendo ดูไม่เท่และสร้างภาพลักษณ์ของ SEGA ให้ดูเท่ ให้คนที่มี Sega Genesis คือ Cool Kid
3. ลดราคาขายของ Sega Genesis โดยราคาขายในตอนนั้นคือ 189.99 USD
ทอมต้องการลดลงมาเหลือ149.99 USD ซึ่งข้อนี้นั้นทำให้บอร์ดบริหารของ SoJ หัวร้อนกันเป็นแถว
เพราะกำไรจากการขายเครื่องจะแทบไม่มีเหลือเลย
4. เปลี่ยนเกมที่แถมมากับเครื่องจาก “Altered beast” เป็น “Sonic the Hedgehog” ข้อนี้ก็ทำให้บอร์ดบริหารเดือดพอ ๆ กัน
เพราะ “Altered beast” คือเกมที่ดังและดีที่สุดของ SEGA ในตอนนั้น การเอาเกมดังกล่าวออกแล้วแทนด้วย “Sonic the Hedgehog”
ที่พึ่งเกิดนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะพลอยทำให้เครื่องขายไม่ออกไปด้วย

แนวความคิดในการทำตลาด Sega Genesis ของทอมนั้นสามารถทำความเข้าใจได้จากการให้สัมภาษณ์ของทอมที่เค้ามองเจ้าตลาดในตอนนั้น
Nintendo ว่าที่ครองตลาดได้ก็เพราะพวกเค้ากลัวที่จะมีคู่แข่งจึงใช้นโยบายเพื่อบีบบริษัทเกมต่าง ๆ ไม่ให้สร้างเกมให้กับเครื่องเกมของบริษัทอื่น
ตัดตอนคู่แข่งทางอ้อม
หากตีจุดนี้แตกก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และจะทำได้ก็ต่อเมื่อจำนวนผู้ที่เป็นเจ้าของ Genesis เพิ่มสูงขึ้น
พอที่จะทำให้บริษัทผู้ผลิตเกมกล้าเสี่ยงมาทำเกมให้ นี่นำมาซึ่งแนวทางการทำตลาดทั้ง 4 ข้อในข้างต้น
แนวคิดและแนวทางดังกล่าวนั้นทางบอร์ดบริหารของ SoJ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก็มีคน ๆ หนึ่งที่สนับสนุนทอม
นากายาม่า นั้นเอง
ทอมเล่าว่าตอนที่ออกจากห้องประชุมนั้น นากายาม่าที่เดินอยู่ข้างหน้าเค้าหันมาแล้วบอกว่า
“ผมจ้างคุณให้ตัดสินใจในตลาดอเมริกา, ยุโรปและอื่น ๆ และนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการให้คุณทำ
ถึงแม้เราจะคิดว่าคุณมันบ้าและไม่เห็นด้วยกับคุณเลยก็ตาม ไม่ต้องสน ทำมันซะ”
ทอมเล่าว่าในช่วง 4 ปีหลังจากวันนั้น บอร์ดของ SoJ ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของเค้าอีกเลย

ด้วยแนวทางการตลาดของทอมทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Sega Genesis ในอเมริกาจากเดิม 1% เพิ่มสูงถึง
50% ในปี 1994 จำนวนเครื่องที่ขายได้นั้นสูงถึง 3.5 ล้านเครื่อง
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ Genesis ประสบความสำเร็จคือการลดราคาเครื่องพร้อมแถมเกม
“Sonic the Hedgehog” ซึ่งทำให้จำนวนผู้ถือครองเครื่อง Genesis เพิ่มสูงขึ้น
เกมเพลย์ที่นำแนวคิดของเกมมาริโอมาต่อยอดและตัวละคร Sonic ที่ทอมเกลามาอย่างดีก็ได้รับความนิยม
จนมีคนที่ซื้อเครื่องเพื่อเล่นเกม Sonic จำนวนมาก ปัจจัยรองลงมาก็เช่นจำนวนเกมส์ที่มีมากกว่าคู่แข่ง

โฆษณาของ SEGA ในยุคของทอมนั้นสร้างภาพลักษณ์ของ SEGA ให้ดูเท่เป็น Cool Kid ได้อย่างดี
เมื่อ Nintendo ออกวางจำหน่าย Super Nintendo ในอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคม 1991 โฆษณาของ SEGA
ในช่วงนั้นก็สามารถจิกกัดเครื่องเกมของคู่แข่งได้อย่างเจ็บแสบ ให้การมีเครื่องของ Nintendo ดูไม่เท่ได้สำเร็จ
โดยโฆษณาจิกกัด Nintendo ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ “Blast Processing”
ที่โจมตีเครื่อง Super Nintendo ว่าใช้ Processor ที่ช้ากว่าของ Genesis
สามารถดูโฆษณาได้ที่ Link ข้างล่าง
https://www.youtube.com/watch?v=bun8tA_ksZw
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือโฆษณาในยุคของทอมจะปิดท้ายด้วยการตะโกนชื่อ SEGA เสมอ
เป็นกลยุทธเดียวกับที่เคยใช้ในฮีแมนเพื่อสร้างประโยคติดหูและคำติดปากที่สื่อถึงแบรนด์ได้

การตั้งทีมพัฒนาเกมของ SEGA เองใน USA ที่ชื่อ “Sega Technical Institute” เองก็ช่วยสร้างเกมที่ตรงตามความต้องการของตลาด
ป้อนให้กับ Genesis ทำให้เครื่องขายดียิ่งขึ้น โดยทอมเล่าว่าเกมที่พัฒนาส่วนใหญ่คือเกมแนวกีฬา แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเกมที่
Sega Technical Institute พัฒนาเองมีเพียง 11 เกม
4 ใน 11 เกมเป็นการร่วมพัฒนากับทีมอื่น ๆ และไม่พบเกมแนวกีฬาในรายชื่อเกม
จึงไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บางทีอาจจะมีทีมอื่น ๆ ด้วยก็ได้

ในยุคที่สื่อบันทึกข้อมูลกำลังเปลี่ยนผ่านจากตลับสู่ CD นั้น Sega Genesis เองก็ได้ออก
Add-on เพื่อให้เครื่องเกมสามารถเล่นเกมจาก CD ได้โดยใช้ชื่อว่า SEGA-CD
ในส่วนของตัวเกมเองด้วยทักษะความชำนาญของผู้พัฒนาและประสิทธิภาพของเครื่องเกมในขณะนั้นทำให้
ไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบด้านพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากกว่าหลายสิบเท่าของ CD ได้อย่างเต็มที่
แต่ก็ทำให้เกมประเภทหนึ่งที่จำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่สามารถเล่นบน Genesis CD ได้
เกมประเภทนั้นก็คือเกมที่ใช้วิดีโอแทรกลงไปเพื่อเล่าเรื่องราว (คัดซีน) หรือ Interactive Movie
เกมที่เล่นภาพ VDO แล้วผู้เล่นสามารถเลือกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้จากการโต้ตอบของผู้เล่นเอง
ตัวอย่างของเกมประเภทนี้ก็เช่น Time Gal หรือ Night Trap
แต่ด้วยข้อจำกัดของเครื่องจึงทำให้คุณภาพของ VDO ที่ออกมานั้นดูไม่ดีนัก

ยอดขายของ Sega genesis ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 35.25 ล้านเครื่อง หากเทียบกับ Super Nintendo ที่ขายได้ 49.1 ล้านเครื่อง
และเป็นเครื่องเกมที่มียอดขายสูงสุดในยุคนั้นแล้วนับว่ายังมีระยะห่างอยู่พอสมควรแต่หากเทียบกับยอดขายของเครื่องเกมจากบริษัทอื่น ๆ
แล้วจะพบว่าลำดับที่สาม PC-Engine หรือชื่อในตลาดอเมริกาว่า TurboGrafx-16 นั้นทำยอดขายได้เพียง 10 ล้านเครื่องเท่านั้น
ยังห่างจาก Sega ถึง 25 ล้านเครื่อง
การต่อสู้ในตลาดเครื่องเล่นเกมนั้น แม้จะไม่ใช่ผู้ชนะแต่ก็ต้องยอมรับว่า SEGA ในขณะนั้นคือคู่แข่งทางธุรกิจที่น่ากลัวของ Nintendo อย่างไม่ต้องสงสัย

แล้ว SEGA ในปัจจุบันนี้ทำไหมถึงเป็นเพียงบริษัทผู้พัฒนาเกมเพียงอย่างเดียวไปเสียแล้ว
เรื่องนี้นั้นจะได้เล่าถึงในโอกาสต่อไป
ซึ่งความเห็นจากทอมเองนั้นก็คิดว่าเค้านั้นมีส่วนในการทำให้ SEGA เป็นอย่างในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/

Genesis of success: 20 years of Sega’s dark horse console
https://arstechnica.com/gaming/2008/11/sega-genesis-turns-20/
ทอม คาลินส์กี ผู้เปลี่ยน Sega ให้เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเกมยุค 90
https://thepeople.co/tom-kalinske-sega-america-ceo-number-one-console-market-90s-north-america/
Sega Genesis
https://en.wikipedia.org/wiki/Sega_Genesis
Interview With Tom Kalinske, Former CEO of Sega of America
https://medium.com/@romanojay/interview-with-tom-kalinske-former-ceo-of-sega-of-america-781d3d680b6f
Console Wars: The Kotaku Book Review
https://kotaku.com/console-wars-the-kotaku-book-review-1576289967
Interview: Tom Kalinske (Former CEO of Sega of America)
https://www.sega-16.com/2006/07/interview-tom-kalinske/
Tom Kalinske: American Samurai
http://www.sega-16.com/2005/02/tom-kalinske-american-samurai/
Sega Corporation
https://www.britannica.com/topic/Sega-Corporation
History of Sega
https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Sega
Tom Kalinske: Building Gaming and Entertainment Companies
https://www.youtube.com/watch?v=Kr7_lJ7J6T8
Retroinspection: Mega Drive
http://www.sega-16.com/2006/09/retroinspection-mega-drive/
Sonic_the_Hedgehog
https://sonic.fandom.com/wiki/Sonic_the_Hedgehog
บทความตามใจฉัน “Genesis, The Rising of SEGA” Part 2 End
ในช่วง 1990 SEGA ต้องการสร้างตัวละครมาสคอตและเกมที่มีตัวละครนั้นขึ้นมาเพื่อสู้กับมาริโอที่เป็นมาสคอตของ Ninetndo
หนึ่งในร่างแบบตัวละครที่ SEGA พิจารณานั้นมี "Mr. Needlemouse" ที่ Naoto Ohshima เป็นผู้สร้างรวมอยู่ด้วย
แบบร่างนี้ถูกเลือกและนำไปพัฒนาต่อยอดรวมถึงเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่ว่า “Sonic the Hedgehog” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “Sonic”
โดยมีการออกแบบให้ Sonic มีเขี้ยว, อยู่ในวงดนตรีและมีแฟนสาวที่เป็นมนุษย์ชื่อ Madonna
ต่อมา CEO ของ SoA ทอม คาลินสกี ได้ระดมทีมเฉพาะกิจขึ้นเพื่อปรับปรุง Sonic ให้ Soft ลง เหมาะสมกับตลาดในอเมริกา
โดยแนวคิดที่ให้ Sonic มีเขี้ยว, อยู่ในวงดนตรีและมีแฟนสาวนั้นถูกตัดออกไป ทำให้ทีมออกแบบ Sonic ที่ญี่ปุ่นหัวเสียมาก
แต่ นาโอโตะ ผู้สร้างก็ยอมรับการแก้ไขนี้
ผลลัพธ์คือ “Sonic” กลายเป็นตัวละครตัวแทนของ SEGA ที่อยู่ยืนยงมาตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบัน
จากกรณีของ Sonic นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความขัดแข้งระหว่าง ทอม และทางทีมงานจากฝั่งญี่ปุ่น
แนวความคิดในการทำตลาด Sega Genesis ของทอมนั้นบอร์ดบริหารของ SoJ นั้นไม่เห็นด้วยและคัดค้านอย่างจริงจัง
ความขัดแย้งนั้นรุนแรงมากจน ทอม ที่ตอนนั้นเข้ามาทำงานให้ SEGA ได้ประมาณ 3 เดือนคิดว่าคงจะโดนไล่ออกเร็ว ๆ นี้
แนวความคิดของทอมสามารถรวบรวมให้อยู่ในหัวข้อได้ 4 ข้อ
1. ตั้งทีมพัฒนาเกมของ SoA ที่ USA สร้างเกมที่มุ่งเน้นการเจาะตลาดในอเมริกาโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น
ไม่ไปแย่งฐานลูกค้าในกลุ่มเด็กที่ Nintendo ครองตลาดไปแล้ว
2. ทิศทางการทำโฆษณาของ SEGA จะต้องจิกกัดคู่แข่งอย่าง Nintendo ต่อไปพร้อมเพิ่มดีกรีความแรง
ให้การมีเครื่องของ Nintendo ดูไม่เท่และสร้างภาพลักษณ์ของ SEGA ให้ดูเท่ ให้คนที่มี Sega Genesis คือ Cool Kid
3. ลดราคาขายของ Sega Genesis โดยราคาขายในตอนนั้นคือ 189.99 USD
ทอมต้องการลดลงมาเหลือ149.99 USD ซึ่งข้อนี้นั้นทำให้บอร์ดบริหารของ SoJ หัวร้อนกันเป็นแถว
เพราะกำไรจากการขายเครื่องจะแทบไม่มีเหลือเลย
4. เปลี่ยนเกมที่แถมมากับเครื่องจาก “Altered beast” เป็น “Sonic the Hedgehog” ข้อนี้ก็ทำให้บอร์ดบริหารเดือดพอ ๆ กัน
เพราะ “Altered beast” คือเกมที่ดังและดีที่สุดของ SEGA ในตอนนั้น การเอาเกมดังกล่าวออกแล้วแทนด้วย “Sonic the Hedgehog”
ที่พึ่งเกิดนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะพลอยทำให้เครื่องขายไม่ออกไปด้วย
แนวความคิดในการทำตลาด Sega Genesis ของทอมนั้นสามารถทำความเข้าใจได้จากการให้สัมภาษณ์ของทอมที่เค้ามองเจ้าตลาดในตอนนั้น
Nintendo ว่าที่ครองตลาดได้ก็เพราะพวกเค้ากลัวที่จะมีคู่แข่งจึงใช้นโยบายเพื่อบีบบริษัทเกมต่าง ๆ ไม่ให้สร้างเกมให้กับเครื่องเกมของบริษัทอื่น
ตัดตอนคู่แข่งทางอ้อม
หากตีจุดนี้แตกก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และจะทำได้ก็ต่อเมื่อจำนวนผู้ที่เป็นเจ้าของ Genesis เพิ่มสูงขึ้น
พอที่จะทำให้บริษัทผู้ผลิตเกมกล้าเสี่ยงมาทำเกมให้ นี่นำมาซึ่งแนวทางการทำตลาดทั้ง 4 ข้อในข้างต้น
แนวคิดและแนวทางดังกล่าวนั้นทางบอร์ดบริหารของ SoJ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก็มีคน ๆ หนึ่งที่สนับสนุนทอม
นากายาม่า นั้นเอง
ทอมเล่าว่าตอนที่ออกจากห้องประชุมนั้น นากายาม่าที่เดินอยู่ข้างหน้าเค้าหันมาแล้วบอกว่า
“ผมจ้างคุณให้ตัดสินใจในตลาดอเมริกา, ยุโรปและอื่น ๆ และนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการให้คุณทำ
ถึงแม้เราจะคิดว่าคุณมันบ้าและไม่เห็นด้วยกับคุณเลยก็ตาม ไม่ต้องสน ทำมันซะ”
ทอมเล่าว่าในช่วง 4 ปีหลังจากวันนั้น บอร์ดของ SoJ ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของเค้าอีกเลย
ด้วยแนวทางการตลาดของทอมทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Sega Genesis ในอเมริกาจากเดิม 1% เพิ่มสูงถึง
50% ในปี 1994 จำนวนเครื่องที่ขายได้นั้นสูงถึง 3.5 ล้านเครื่อง
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ Genesis ประสบความสำเร็จคือการลดราคาเครื่องพร้อมแถมเกม
“Sonic the Hedgehog” ซึ่งทำให้จำนวนผู้ถือครองเครื่อง Genesis เพิ่มสูงขึ้น
เกมเพลย์ที่นำแนวคิดของเกมมาริโอมาต่อยอดและตัวละคร Sonic ที่ทอมเกลามาอย่างดีก็ได้รับความนิยม
จนมีคนที่ซื้อเครื่องเพื่อเล่นเกม Sonic จำนวนมาก ปัจจัยรองลงมาก็เช่นจำนวนเกมส์ที่มีมากกว่าคู่แข่ง
โฆษณาของ SEGA ในยุคของทอมนั้นสร้างภาพลักษณ์ของ SEGA ให้ดูเท่เป็น Cool Kid ได้อย่างดี
เมื่อ Nintendo ออกวางจำหน่าย Super Nintendo ในอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคม 1991 โฆษณาของ SEGA
ในช่วงนั้นก็สามารถจิกกัดเครื่องเกมของคู่แข่งได้อย่างเจ็บแสบ ให้การมีเครื่องของ Nintendo ดูไม่เท่ได้สำเร็จ
โดยโฆษณาจิกกัด Nintendo ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ “Blast Processing”
ที่โจมตีเครื่อง Super Nintendo ว่าใช้ Processor ที่ช้ากว่าของ Genesis
สามารถดูโฆษณาได้ที่ Link ข้างล่าง
https://www.youtube.com/watch?v=bun8tA_ksZw
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือโฆษณาในยุคของทอมจะปิดท้ายด้วยการตะโกนชื่อ SEGA เสมอ
เป็นกลยุทธเดียวกับที่เคยใช้ในฮีแมนเพื่อสร้างประโยคติดหูและคำติดปากที่สื่อถึงแบรนด์ได้
การตั้งทีมพัฒนาเกมของ SEGA เองใน USA ที่ชื่อ “Sega Technical Institute” เองก็ช่วยสร้างเกมที่ตรงตามความต้องการของตลาด
ป้อนให้กับ Genesis ทำให้เครื่องขายดียิ่งขึ้น โดยทอมเล่าว่าเกมที่พัฒนาส่วนใหญ่คือเกมแนวกีฬา แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเกมที่
Sega Technical Institute พัฒนาเองมีเพียง 11 เกม
4 ใน 11 เกมเป็นการร่วมพัฒนากับทีมอื่น ๆ และไม่พบเกมแนวกีฬาในรายชื่อเกม
จึงไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บางทีอาจจะมีทีมอื่น ๆ ด้วยก็ได้
ในยุคที่สื่อบันทึกข้อมูลกำลังเปลี่ยนผ่านจากตลับสู่ CD นั้น Sega Genesis เองก็ได้ออก
Add-on เพื่อให้เครื่องเกมสามารถเล่นเกมจาก CD ได้โดยใช้ชื่อว่า SEGA-CD
ในส่วนของตัวเกมเองด้วยทักษะความชำนาญของผู้พัฒนาและประสิทธิภาพของเครื่องเกมในขณะนั้นทำให้
ไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบด้านพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากกว่าหลายสิบเท่าของ CD ได้อย่างเต็มที่
แต่ก็ทำให้เกมประเภทหนึ่งที่จำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่สามารถเล่นบน Genesis CD ได้
เกมประเภทนั้นก็คือเกมที่ใช้วิดีโอแทรกลงไปเพื่อเล่าเรื่องราว (คัดซีน) หรือ Interactive Movie
เกมที่เล่นภาพ VDO แล้วผู้เล่นสามารถเลือกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้จากการโต้ตอบของผู้เล่นเอง
ตัวอย่างของเกมประเภทนี้ก็เช่น Time Gal หรือ Night Trap
แต่ด้วยข้อจำกัดของเครื่องจึงทำให้คุณภาพของ VDO ที่ออกมานั้นดูไม่ดีนัก
ยอดขายของ Sega genesis ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 35.25 ล้านเครื่อง หากเทียบกับ Super Nintendo ที่ขายได้ 49.1 ล้านเครื่อง
และเป็นเครื่องเกมที่มียอดขายสูงสุดในยุคนั้นแล้วนับว่ายังมีระยะห่างอยู่พอสมควรแต่หากเทียบกับยอดขายของเครื่องเกมจากบริษัทอื่น ๆ
แล้วจะพบว่าลำดับที่สาม PC-Engine หรือชื่อในตลาดอเมริกาว่า TurboGrafx-16 นั้นทำยอดขายได้เพียง 10 ล้านเครื่องเท่านั้น
ยังห่างจาก Sega ถึง 25 ล้านเครื่อง
การต่อสู้ในตลาดเครื่องเล่นเกมนั้น แม้จะไม่ใช่ผู้ชนะแต่ก็ต้องยอมรับว่า SEGA ในขณะนั้นคือคู่แข่งทางธุรกิจที่น่ากลัวของ Nintendo อย่างไม่ต้องสงสัย
แล้ว SEGA ในปัจจุบันนี้ทำไหมถึงเป็นเพียงบริษัทผู้พัฒนาเกมเพียงอย่างเดียวไปเสียแล้ว
เรื่องนี้นั้นจะได้เล่าถึงในโอกาสต่อไป
ซึ่งความเห็นจากทอมเองนั้นก็คิดว่าเค้านั้นมีส่วนในการทำให้ SEGA เป็นอย่างในปัจจุบันด้วยเช่นกัน
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
Genesis of success: 20 years of Sega’s dark horse console
https://arstechnica.com/gaming/2008/11/sega-genesis-turns-20/
ทอม คาลินส์กี ผู้เปลี่ยน Sega ให้เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเกมยุค 90
https://thepeople.co/tom-kalinske-sega-america-ceo-number-one-console-market-90s-north-america/
Sega Genesis
https://en.wikipedia.org/wiki/Sega_Genesis
Interview With Tom Kalinske, Former CEO of Sega of America
https://medium.com/@romanojay/interview-with-tom-kalinske-former-ceo-of-sega-of-america-781d3d680b6f
Console Wars: The Kotaku Book Review
https://kotaku.com/console-wars-the-kotaku-book-review-1576289967
Interview: Tom Kalinske (Former CEO of Sega of America)
https://www.sega-16.com/2006/07/interview-tom-kalinske/
Tom Kalinske: American Samurai
http://www.sega-16.com/2005/02/tom-kalinske-american-samurai/
Sega Corporation
https://www.britannica.com/topic/Sega-Corporation
History of Sega
https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Sega
Tom Kalinske: Building Gaming and Entertainment Companies
https://www.youtube.com/watch?v=Kr7_lJ7J6T8
Retroinspection: Mega Drive
http://www.sega-16.com/2006/09/retroinspection-mega-drive/
Sonic_the_Hedgehog
https://sonic.fandom.com/wiki/Sonic_the_Hedgehog