ช่วงนี้เริ่มเข้าที่เข้าทาง มีเวลากับหนังสือมากหน่อย วันนี้จะมาบันทึก ข้อสรุปเกี่ยวกับ "ความกระตือรือร้น" และ อาการ "หมดไฟ"
ถ้าเข้าใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะเข้าใจอีกอย่างนี้ไปในทันที
ความกระตือรือร้น ตามปรัชญาของ Napolean Hillนั้น คือเป็นสภาวะจิตใจที่มีชีวิตชีวา และเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดการปฏิบัติในสิ่งต่างจนเกิดงาน มีคำกล่าวว่า ความกระตือรือร้นเป็นเพื่อนสนิทกับความเพียรเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความเพียรมักจะเกิดขึ้นจนเห็นเป็นการปฏิบัติต่างๆตามมาด้วย
Napolean Hill มองว่า การกระตือรือร้นจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าขาด
"การเสนอแนะให้กับจิตใจ" หรือ ก็คือ การสร้างความจริงใหม่ที่เราอยากให้มีอยากให้เป็นขึ้นในจิตใจเสียก่อน จนเกิดเป้าหมายที่แน่นอน แล้วเมื่อเกิดแล้ว ความกระตือรือร้นก็จะเกิดขึ้นตามมา ไปในทางเดียวกับคำแนะนำของ สตีฟจ๊อบทีว่า . Stay hungry, Stay Foolish คือความกระหายความจริงใหม่ๆ และความรู้ใหม่ๆหรือสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อจิตใจเกิด "การเสนอแนะ" จนนำไปสู่ "เป้าหมายที่แน่นอนแล้ว" ความกระตือรือร้นก็จะเกิดขึ้นมาเอง ซึ่งสอดคล้องกับ หลักการของเซนในการสร้างที่ว่างในจิตใจ (โดโจ) เพื่อให้เกิดความจริงใหม่
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญนัก เพราะในทางกลับกัน คนเราทุกคนในวัยนี้ย่อมเคยผ่าน สภาวะจิตใจที่ผ่านความกระตือรือร้นกันมาแล้ว (แม้ไม่รุ้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร)แต่ปัญหาใหญ่กว่าคือ การตกลงไปในหลุมของ สภาวะใจที่
"หมดไฟ"เสียมากกว่า ซึ่งเราไขกุญแจความหมดไฟได้ ถ้าเราเข้าใจ สภาวะการเกิดความกระตือรือร้นตามปรัญชานี้ และเข้าใจหลักการทางพุทธศาสนาหรือ พละ 5 ควบคู่กันไปนั่นคือ
"การหมดไฟเป็นภาวะที่ เกิดจากการที่จิตใจยอมจำนนว่า ไม่สามารถสร้างความจริงใหม่ๆ ภายในจินตนาการได้แล้ว ไม่สามารถควบคุมความจริงใหม่ ทั้งปัจจุบันและ อนาคต เมื่อไม่สามารถควบคุมได้แล้วแรงจูงใจและความกระตือรือร้นต่อปัจจุบันและอนาคตก็ดับไปด้วย"
ซึ่งเกิดจากสองสาเหตุ คือ
1.จิตใจไม่เคยจินตนาการถึงความจริงใหม่ หรือสามารถมองเห็นความจริงใหม่ๆในภาวะปัจจุบัน จิตใจยังไม่เคยถูกฝึกการเสนอแนะซึ่งในข้อนี้เกิดขึ้นได้น้อย เพราะด้วยธรรมชาติของมนุษย์ จิตใจล้วนเคยเกิดความกระตือรือร้นกันมาแล้วทั้งสิ้น
2.จิตใจเคยชินกับการ จินตนาการถึงความจริงใหม่ที่ใหญ่เกินกว่าความเพียรที่จะลงมือทำ และการล้มเหลวซ้ำๆ ทำให้จิตใจเคยชินกับความพ่ายแพ้ และเลิกจินตนาการในท้ายที่สุด การล้มเหลวทางการจินตนาการสะสม ทำให้จิตใจยอมจำนวนต่อการไม่สามารถควบคุมปัจจุบันและอนาคตได้ จนสูญเสียความกระตือรือร้น สิ่งนี้สัมพันธ์กันอย่างชัดเจนจาก หนังสือ Smarter faster better ของ charles duhigg ที่สรุป Productivity ว่า "แรงจูงใจ"สัมพันธ์กับความรู้สึก"ควบคุมได้" เมื่อควบคุมไม่ได้ แรงจูงใจลดลงและความกระตือรือร้นก็ดับหายไปในท้ายที่สุด ข้อนี้สอดคลอ้งกับหลักพละ 5ที่ว่า สมาธิพละ ใหญ่กว่า วิริยะพละ นำไปสู่ความเกียจคร้านหรือถีนมิทธะนิวรณ์
"หรือก็คือ จิตใจจำนวนต่อความล้มเหลวเสียแล้ว"
การซ่อมแซมความหมดไฟจึงทำได้คือ การเสนอแนะจิตใจ ใหม่อีกครั้งให้ถูกวิธี นั่นคือ
การเสนอแนะจิตใจต่อสิ่งที่สัมพันธ์กับความเพียรของตัวเรา เพื่อให้จิตใจเกิดความรับรู้ถึงความรู้สึกควบคุมได้จริง ลดขนาดความใหญ่ของจินตนาการลง และทำให้เกิดวงรอบของผลลัพธ์ถี่ที่สุด (รายวัน วันต่อวัน) เมื่อจิตใจเริ่มรุ้สึกกลับมาควบคุมความจริง นำไปสู่การเพิ่มแรงจูงใจและความกระตือรือร้นได้แล้ว เราก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ การเสนอแนะจิตใจนี้ควบคู่ไปกับการปรับความเพียรให้สมดุลกัน จนเกิดผลการปฏิบัติในท้ายที่สุด
การปรับ mindset ว่าเรายังควบคุมความจริงๆเล็กๆน้อยได้อยู่จะนำไปสู่การเกิดแรงจูงใจต่อชีวิตและนำไปสู่ความกระตือรือร้นและผลลัพธ์ได้เรื่อยๆนั่นเอง
เราสามารถซ่อมแซมการหมดไฟได้อีกทางจากการเข้าใจหลักอิทธิบาทสี่ ตัดเฉพาะในส่วน ของฉันทะ และ วิริยะ คือ ถ้าเราปรับสภาวะจิตใจให้รู้จักพอใจ ยอมรับกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ได้แล้ว วิริยะหรือความเพียรต่องานปัจจุบันจะเกิดตามมาได้เอง แม้แต่กรณีของการทำงานที่เราไม่ชอบ ซึ่งสอดคล้องไปกับคำเสนอแนะของ Napolean Hillว่า ให้โฟกัสว่าในงานที่น่าเบื่อนั้นอะไร ย่อมมีบางสิ่ง บางอย่างที่ส่งผลดีต่อ “เป้าหมายที่แน่นอน” เช่นรายได้ ทักษะ ความสัมพันธ์ หรืออื่นๆถ้าเรามีภาพของเป้าหมายที่แน่นอนและรุ้จักมองหาว่าเราได้อะไรจากงานที่น่าเบื่อนั้น เพื่อไปส่งเสริม เป้าหมายดังกล่าว เราก็จะมีความพอใจต่องานที่กำลังมากขึ้นและส่งผลดีในท้ายที่สุด
จดบันทึกไว้หน่อยเผื่อเป็นประโยชน์ ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือเก่าๆหลายเล่ม มีหลายอย่างที่เก็บเกี่ยวได้เยอะเลย สุดท้ายเพื่อให้จบอย่างเท่ๆ ย่อมต้องมีโควตเท่ๆมาฝากเปิดสุ่มเอาจากหนังสือเจอโควทนี้ก็แปะไว้เป็นปิดท้ายแล้วกัน
"เป้าหมายชีวิตเป็นเพียงสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับการแสวงหา และมันมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหา มาจากที่ที่ห่างไกลเกินไปกว่าหัวใจท่านเอง"
โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน
ผู้เขียน yaoharee.lahtee
หมดไฟแก้ยังไง เข้าใจจุดเกิดความกระตือรือร้น ทำลายอาการหมดไฟ
ถ้าเข้าใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะเข้าใจอีกอย่างนี้ไปในทันที
ความกระตือรือร้น ตามปรัชญาของ Napolean Hillนั้น คือเป็นสภาวะจิตใจที่มีชีวิตชีวา และเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดการปฏิบัติในสิ่งต่างจนเกิดงาน มีคำกล่าวว่า ความกระตือรือร้นเป็นเพื่อนสนิทกับความเพียรเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความเพียรมักจะเกิดขึ้นจนเห็นเป็นการปฏิบัติต่างๆตามมาด้วย
Napolean Hill มองว่า การกระตือรือร้นจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าขาด "การเสนอแนะให้กับจิตใจ" หรือ ก็คือ การสร้างความจริงใหม่ที่เราอยากให้มีอยากให้เป็นขึ้นในจิตใจเสียก่อน จนเกิดเป้าหมายที่แน่นอน แล้วเมื่อเกิดแล้ว ความกระตือรือร้นก็จะเกิดขึ้นตามมา ไปในทางเดียวกับคำแนะนำของ สตีฟจ๊อบทีว่า . Stay hungry, Stay Foolish คือความกระหายความจริงใหม่ๆ และความรู้ใหม่ๆหรือสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อจิตใจเกิด "การเสนอแนะ" จนนำไปสู่ "เป้าหมายที่แน่นอนแล้ว" ความกระตือรือร้นก็จะเกิดขึ้นมาเอง ซึ่งสอดคล้องกับ หลักการของเซนในการสร้างที่ว่างในจิตใจ (โดโจ) เพื่อให้เกิดความจริงใหม่
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญนัก เพราะในทางกลับกัน คนเราทุกคนในวัยนี้ย่อมเคยผ่าน สภาวะจิตใจที่ผ่านความกระตือรือร้นกันมาแล้ว (แม้ไม่รุ้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร)แต่ปัญหาใหญ่กว่าคือ การตกลงไปในหลุมของ สภาวะใจที่ "หมดไฟ"เสียมากกว่า ซึ่งเราไขกุญแจความหมดไฟได้ ถ้าเราเข้าใจ สภาวะการเกิดความกระตือรือร้นตามปรัญชานี้ และเข้าใจหลักการทางพุทธศาสนาหรือ พละ 5 ควบคู่กันไปนั่นคือ
"การหมดไฟเป็นภาวะที่ เกิดจากการที่จิตใจยอมจำนนว่า ไม่สามารถสร้างความจริงใหม่ๆ ภายในจินตนาการได้แล้ว ไม่สามารถควบคุมความจริงใหม่ ทั้งปัจจุบันและ อนาคต เมื่อไม่สามารถควบคุมได้แล้วแรงจูงใจและความกระตือรือร้นต่อปัจจุบันและอนาคตก็ดับไปด้วย"
ซึ่งเกิดจากสองสาเหตุ คือ
1.จิตใจไม่เคยจินตนาการถึงความจริงใหม่ หรือสามารถมองเห็นความจริงใหม่ๆในภาวะปัจจุบัน จิตใจยังไม่เคยถูกฝึกการเสนอแนะซึ่งในข้อนี้เกิดขึ้นได้น้อย เพราะด้วยธรรมชาติของมนุษย์ จิตใจล้วนเคยเกิดความกระตือรือร้นกันมาแล้วทั้งสิ้น
2.จิตใจเคยชินกับการ จินตนาการถึงความจริงใหม่ที่ใหญ่เกินกว่าความเพียรที่จะลงมือทำ และการล้มเหลวซ้ำๆ ทำให้จิตใจเคยชินกับความพ่ายแพ้ และเลิกจินตนาการในท้ายที่สุด การล้มเหลวทางการจินตนาการสะสม ทำให้จิตใจยอมจำนวนต่อการไม่สามารถควบคุมปัจจุบันและอนาคตได้ จนสูญเสียความกระตือรือร้น สิ่งนี้สัมพันธ์กันอย่างชัดเจนจาก หนังสือ Smarter faster better ของ charles duhigg ที่สรุป Productivity ว่า "แรงจูงใจ"สัมพันธ์กับความรู้สึก"ควบคุมได้" เมื่อควบคุมไม่ได้ แรงจูงใจลดลงและความกระตือรือร้นก็ดับหายไปในท้ายที่สุด ข้อนี้สอดคลอ้งกับหลักพละ 5ที่ว่า สมาธิพละ ใหญ่กว่า วิริยะพละ นำไปสู่ความเกียจคร้านหรือถีนมิทธะนิวรณ์
"หรือก็คือ จิตใจจำนวนต่อความล้มเหลวเสียแล้ว"
การซ่อมแซมความหมดไฟจึงทำได้คือ การเสนอแนะจิตใจ ใหม่อีกครั้งให้ถูกวิธี นั่นคือ การเสนอแนะจิตใจต่อสิ่งที่สัมพันธ์กับความเพียรของตัวเรา เพื่อให้จิตใจเกิดความรับรู้ถึงความรู้สึกควบคุมได้จริง ลดขนาดความใหญ่ของจินตนาการลง และทำให้เกิดวงรอบของผลลัพธ์ถี่ที่สุด (รายวัน วันต่อวัน) เมื่อจิตใจเริ่มรุ้สึกกลับมาควบคุมความจริง นำไปสู่การเพิ่มแรงจูงใจและความกระตือรือร้นได้แล้ว เราก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ การเสนอแนะจิตใจนี้ควบคู่ไปกับการปรับความเพียรให้สมดุลกัน จนเกิดผลการปฏิบัติในท้ายที่สุด
การปรับ mindset ว่าเรายังควบคุมความจริงๆเล็กๆน้อยได้อยู่จะนำไปสู่การเกิดแรงจูงใจต่อชีวิตและนำไปสู่ความกระตือรือร้นและผลลัพธ์ได้เรื่อยๆนั่นเอง
เราสามารถซ่อมแซมการหมดไฟได้อีกทางจากการเข้าใจหลักอิทธิบาทสี่ ตัดเฉพาะในส่วน ของฉันทะ และ วิริยะ คือ ถ้าเราปรับสภาวะจิตใจให้รู้จักพอใจ ยอมรับกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ได้แล้ว วิริยะหรือความเพียรต่องานปัจจุบันจะเกิดตามมาได้เอง แม้แต่กรณีของการทำงานที่เราไม่ชอบ ซึ่งสอดคล้องไปกับคำเสนอแนะของ Napolean Hillว่า ให้โฟกัสว่าในงานที่น่าเบื่อนั้นอะไร ย่อมมีบางสิ่ง บางอย่างที่ส่งผลดีต่อ “เป้าหมายที่แน่นอน” เช่นรายได้ ทักษะ ความสัมพันธ์ หรืออื่นๆถ้าเรามีภาพของเป้าหมายที่แน่นอนและรุ้จักมองหาว่าเราได้อะไรจากงานที่น่าเบื่อนั้น เพื่อไปส่งเสริม เป้าหมายดังกล่าว เราก็จะมีความพอใจต่องานที่กำลังมากขึ้นและส่งผลดีในท้ายที่สุด
จดบันทึกไว้หน่อยเผื่อเป็นประโยชน์ ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือเก่าๆหลายเล่ม มีหลายอย่างที่เก็บเกี่ยวได้เยอะเลย สุดท้ายเพื่อให้จบอย่างเท่ๆ ย่อมต้องมีโควตเท่ๆมาฝากเปิดสุ่มเอาจากหนังสือเจอโควทนี้ก็แปะไว้เป็นปิดท้ายแล้วกัน
"เป้าหมายชีวิตเป็นเพียงสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับการแสวงหา และมันมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหา มาจากที่ที่ห่างไกลเกินไปกว่าหัวใจท่านเอง"
โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน
ผู้เขียน yaoharee.lahtee