อาถรรพ์สวนคุณย่า (ตอนต่อ ติดฝนมรณะ)

https://pantip.com/topic/39201654

https://pantip.com/topic/39206091

https://pantip.com/topic/39224145

Link ข้างบนนี้คือบทเริ่มต้นของตัวละครแต่ละคนที่แนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักและจบในตอนของมันไปแล้ว  ส่วน” อาถรรพ์สวนคุณย่า”  ต้องแต่งเพิ่มขึ้นเพราะเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้อ่านหลายท่านที่ยังคาใจในตอนจบอยู่

”อาถรรพ์สวนคุณย่า” มีสองตอนจบครับ รับรองไม่เยิ่นเย้อแน่นอน

น้องเกค 

เธอเป็นคนที่ทำให้พี่จักร เพื่อนสนิทผมอกหักไปหมาดๆ เมื่อไม่ถึงอาทิตย์ที่ผ่านมา 

หลังช่วยเธอให้รอดพ้นจากการถูกบังคับสืบสานไสยาดำของมนุษย์กึ่งคนกึ่งผีปอบที่ภาคเหนือ ตั้งแต่นั้นเธอก็แสดงความปฏิพัทธ์ออกมาอย่างเปิดเผยจนผมตั้งตัวไม่ทัน

เล่นเอาเพื่อนรุ่นพี่ผมยืนงงเหมือนโดนตีเข้าที่แสกหน้า เพราะแกหลงคิดไปว่าความพยายามในการเอาชนะใจมาตลอดที่ผ่านมา3-4วันประสบผลสำเร็จลอยลำ ในขณะที่ไม่มีใครออกตัวว่าเป็นผู้ท้าชิงกับแก

ตอนแรกยังหวั่นๆว่าพี่แกจะเข้าใจผมผิด แต่ฝ่ายผู้หญิงใจเด็ดขาดในเรื่องความรักมากกว่าผมเสียอีก เพื่อกันความกินแหนงแคลงใจ เธอเปิดใจกับพี่จักรตรงๆ

“พี่จักรเป็นคนอบอุ่น แสนดี น่ารัก แต่เกศรู้สึกกับพี่อย่างน้องสาวกับพี่ชายค่ะ  ไม่เคยคิดอย่างอื่น แต่สำหรับคนนั้น” เธอไม่วายแขวะ” เค้าไม่เคยมาทำอะไรให้เกศรักเลย พูดง่ายๆคือไม่เคยมาจีบนั่นแหละค่ะ แต่เกศชอบของเกศเองตั้งแต่ต้น คงเป็นเพราะบุญทำกรรมแต่งมั้งค่ะ  หวังว่าพี่คงไม่โกรธเพื่อนนะค่ะ“

ที่สุดน้องเกศก็ไม่ทันเกมพี่จักรอยู่ดี เธอคิดไกลไปถึงขั้นว่าจะมีการโกธรจนถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องระหว่างเรา ซึ่งไม่มีวันเกิดขึ้น

พี่จักรผิดหวังก็จริงอยู่ แต่ยังห่างจากอาการใจสลายอีกไกลโข แกผ่านประสบการณ์เรื่องจีบผู้หญิงมาเยอะ สำหรับแก ครั้งนี้ก็แค่ผู้หญิงไม่เลือกเท่านั้นเอง  

“พี่จะโกรธได้ยังไรล่ะ เรื่องความรักเป็นเรื่องของจิตใจ บังคับกันไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่ผิดใช่ไหมสำหรับความรู้สึกจากใจที่พี่ได้แสดงออกให้น้องเกศรับรู้  ถึงแม้น้องเกศไม่รับมัน อย่างน้อยพี่ก็ได้ทำไปตามหัวใจ ไม่ทรยศต่อความรู้สึกตัวเองเป็นพอแล้ว”

ด้วยความที่พี่จักรปิดฉากลงอย่างสวยงามตามท้องเรื่อง ภาพน้องเกศโผเข้าสวมกอดพี่จักรจึงเป็นสิ่งที่แลดูซาบซึ้งและน่าประทับใจ ความสัมพันธ์ของสองคนหลังจากนี้ คงดำเนินต่อไปในฐานะพี่ชายและน้องสาว เป็นอันว่าสบายใจกันทั้งคู่

แต่เรื่องมันดันไม่จบ ก่อนพี่จักรจะขอตัวไปเยียวยาหัวใจตามบท แกทิ้งท้ายกับน้องเกศไว้ว่า

“เจ้าเรศเป็นคนดี น้องเกศวางใจได้ ถึงมันจะแปลกๆในบางครั้งแต่เป็นเพราะว่ามันต้องรักษาศีล โป้ปดมดเท็จไม่ได้เท่าที่เห็นข้อหนึ่งล่ะ เพราะไม่งั้นสิ่งศักดิ์สิทธิที่คุ้มครองจะโกรธ

น้องเกศเป็นคนไทยคงต้องยอมรับเรื่องความเชื่อ เทวดา ผีสาง นางไม้ จริงๆพี่ไม่สมควรจะพูดด้วยซ้ำเพราะน้องเกศก็เพิ่งพบปะมาด้วยตัวเองหยกๆ”

หญิงสาวอดสยิวกายไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์สยองที่ผจญมา เธอเกือบได้เป็นทายาทของสิ่งชั่วร้ายนั่นเสียแล้ว เรื่องอย่างนี้ถ้าไม่โดนด้วยตัวเองคงทำใจให้เชื่อลำบาก

แต่คำพูดประโยคสุดท้ายนี้สิวางยาชัดๆ ถึงแกจะไม่ได้โกธรเคืองอะไรผมแต่ได้เอาคืนบ้างก็ยังดี

“ด้วยความที่เป็นอย่างนี้แหละ พี่ถึงได้เป็นห่วง มันเกิดมาให้คนรักแท้ๆ เฮ้อ  มีแต่บรรดาผู้หญิงมาหลงคอยตามแจ เจ้านี้ไม่รัก ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ตัดรอนให้เด็ดขาด แต่อย่าเข้าใจผิด มันไม่เคยยุ่งกับใครเลยนะ ตอนเรียน State Hayward เราเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ด้วยกันแต่แยกคนละห้อง ผู้หญิงที่มาหามันนั่งคุยแค่ในห้องรับแขก อยู่ในสายตาพี่ทั้งนั้นไม่มีอะไรเกินเลย ไม่มีอะไรเสียหายรับรองได้ พี่รักมันเหมือนน้องชาย ดูแลมาตลอด”

ผู้หญิงคนไหนถ้าได้ยินอย่างนี้แล้วไม่ตาพอง เลือดลมแรงพล่าน ปากแทบจะพ่นไฟได้ก็ผิดแปลกไปล่ะ 

เกศพูดจาตามมารยาทกับพี่จักรอีกสองสามประโยคแล้วปลีกตัวมา ทั้งที่ใจจริงอยากจะแล่นเข้ามาเค้นความจริงจากชายหนุ่ม ณ วินาทีนั้น

จำได้ว่าตอนนั้น ผมอยู่คนเดียวตามลำพังในบ้านสวนที่คุณย่ามอบให้เป็นมรดก กำลังปัดกวาดเช็ดถู สำรวจจุดที่ต้องซ่อมแซม หรือต่อเติม ไม่ว่าจะกลับมาอยู่ถาวรหรือไม่ ผมตั้งใจไว้ว่าจะบำรุง รักษาสภาพของบ้านให้คงอยู่ดีที่สุดด้วยกำลังของผมที่มี

หน้าร้อน ท้องร่องสวนแห้งขอด มีปลาหลุดจากคลองมาติด อาศัยอยู่ใต้โคลนเพื่อให้ชีวิตรอดดิ้นระริกอยู่หลายตัว โชคดีที่ลานบ้านมีบ่อปลาทำด้วยขอบปูนขนาดใหญ่เพื่อเลี้ยงปลาสวยงาม แต่ตอนนี้ร้างว่างเปล่าน้ำนิ่งดำสกปรก  พืชสีเขียวลอยเน่าอยู่บนผิวน้ำ ตะไคร่จับทั่วบริเวณ

ผมจัดแจงถ่ายน้ำทิ้งแล้วเปลี่ยนใหม่ หลังจากฉีดล้างคราบเขียวด้วยสายยาง แล้วจับปลาที่อยู่ในโคลนมาหย่อนใส่บ่อทีละตัวด้วยความสงสาร โชคดีที่คนงานในสวนยังไม่กลับมิเช่นนั้นมันได้ลงหม้อกลายเป็นต้มโคล้งหรือแกงส้มอาหารมื้อเย็นของใครสักคนแทน

ต้นชมพู่และมะขามเทศยังแพร่กิ่งก้านระโยงระยางออกลูกผลงดงาม นกกระจิบ กระจาบส่งเสียงให้ได้ยินตลอด  ตามขอนไม้สูงพอประมาณจะเห็นรังที่บรรดานกสร้างไว้อาศัย ต้นพุมเรียงออกผลสีแดงสดเป็นพวงห้อยย้อยเกือบถึงดิน กระรอกก็เห็นอยู่บ่อยครั้งเพราะในสวนมีผลไม้ให้มันกัดกินอย่างเหลือเฟือ

กำลังคิดถึงเรื่องอาหารปลาที่จะเอามาเลี้ยงต่อชีวิตพวกมันก่อนเอาไปปล่อยในคลอง  ก็ได้ยินเสียงคนร้องโหวกเหวกเรียกผมอยู่หน้าบ้าน เป็นบริเวณที่โรยหินกรวดสีขาวและปลูกพุ่มไม้ไว้ประดับแต่งแต่ไม่มีรั้วกั้น

เดินมาดูเห็นว่าเป็นเจ้าโรจน์ผมก็ดีใจว่าได้เพื่อนพราะอยู่ในสวนลึกคนเดียวเงียบเหงามาหลายวันแล้ว ไม่ได้รู้ว่ามันพาใครมาด้วย ดังนั้นความรู้สึกดีใจก็ยิ่งทวีคูณขึ้นอีก เมื่อเห็นเพื่อนเก่าร่วมรุ่นปวชอีกคนที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลยนับตั้งแต่เรียนจบ

เจ้าคง นักดุริยางค์ศิลป์ขั้นเอกนั่นเอง หอบข้าวหิ้วของติดมาเต็มไม้เต็มมือ ผมปรี่เข้าไปกอดมันละล่ำละลักพูดด้วยความตื่นเต้น

“เฮ้ยเพื่อน เป็นไงมาไง. ไม่เจอกันนานคิดถึงแกเหลือเกิน ว่าจะไปเยี่ยมแกหลายหนแล้ว แต่แกย้ายที่อยู่เรื่อย ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอแกวันนี้ ไม่ได้ล่ะแกต้องค้างคืนกับฉันฉลองความหลังสมัยเรียนกันให้มันสว่างไปเลย”

เจ้าคงแสดงอาการปิติออกมาไม่ด้อยไปกว่า มันวางข้าวของที่ถือมาแล้วโอบหลังผมตบเบาๆ ที่สำคัญคือน้ำตามันคลอเบ้าด้วยความยินดีจากใจตามอารมณ์ศิลปิน

“ฉันตั้งใจมาอยู่กับแกสักสองสามวันอยู่แล้ว ก็เจ้าโรจน์นี่แหละบอกข่าวฉันว่าแกกลับมาจากอเมริกาได้สักพักแล้ว อยากมาหาเพื่อนแต่ก็ติดตรงที่ว่าฉันเพิ่งทำเรื่องย้ายมาเป็นครูสอนคนตรีโรงเรียนมัธยมต้นที่นี้ อะไรๆยังก็ไม่เรียบร้อย พอหาที่พักจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ฉันถึงรีบติดต่อเจ้าโรจน์ให้พามาหาแกทันที”

บรรยากาศแห่งความปราโมทย์ชื่นมื่นทำให้เราสองคนลืมแสงแดดร้อนเปรี้ยงกลางศีรษะเสียสนิท ถ้าเจ้าโรจน์ไม่โวยขึ้นเสียก่อน 

“ใจคอพวกแกจะยืนคุยกันไม่สนใจฉันเลยหรือไงว่ะ ขับตั้งสามสี่ชั่วโมงนะโว้ย  ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ของกินเครื่องดื่มฉันซื้อเตรียมมาให้พร้อม ช่วยขนเข้าบ้านก่อนดีไหมแล้วจะรำลึกถึงอดีตยังไงค่อยว่ากัน”

ท่าทางโรจน์กะปลกกะเปลี้ยจริงๆ ผมเห็นแล้วนับถือน้ำใจมันที่อุตส่าห์ทำเพื่อเพื่อน ถุงที่มันหิ้วในมือก็จัดว่าพะรุงพะรังอยู่แล้ว ลองมันบอกว่ายังมีเหลืออยู่ในรถอีกแสดงว่าคราวนี้มันขนมาเพียบ

“ เอากุญแจรถมา พวกแกเดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวฉันขนทั้งหมดเอง ขึ้นไปพักกันบนบ้านก่อน หรือถ้าแกอยากล้างหน้าล้างตาห้องน้ำเยื้องไปทางซ้ายโน่นแน่ะ” 

 “เออดี กุญแจเสียบคาอยู่ในรถ  แกไปเปิดได้เลย ประตูไม่ได้ล็อค” มันตอบเสียงอ่อนแรงเล็กน้อย

 เจ้าคงทำท่าจะเดินมากับผม แต่เจ้าโรจน์คว้าหมับที่ข้อมือ พูดอย่างมีเสศนัย

“ปล่อยมันเถอะ รับรองเจ้าเรศมันไม่ได้กลับมาง่ายๆหรอก ไปหาน้ำเย็นๆกินแก้ร้อนกันดีกว่า หรือปะเหมาะหาทำเลตั้งวงกันเลย เตรียมฉลองโว้ย ”

คงทำหน้างง แต่พอนึกอะไรได้ก็เข้าใจความหมายของโรจน์ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเขา

บ้านเก่าคุณยายผมกว้างขวาง เป็นเรือนไม้เกือบทั้งหลังซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันไม่มีปูน สังกะสีปะปนเลย นอกเหนือจากส่วนที่สร้างใหม่คือห้องน้ำก่อด้วยอิฐ พื้นปูกระเบื้อง ปลูกแยกจากตัวบ้าน

สวนของคุณย่าผมคงยังสภาพความเป็นสวนจริงๆอย่างเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อน มีแหล่งน้ำทางการเกษตรคือคลองขุดที่เชื่อมมาจากคลองธรรมชาติตัดผ่านสวนทุกขนัด ซึ่งส่วนมากในย่านนั้นจะปลูกส้มโอเป็นหลัก มีแปลงผักบุ้ง ที่พัฒนาขึ้นคือไฟฟ้าเข้าถึงและมีเนื้อที่เว้นว่างให้คนเดินกับมอเตอร์ไซค์พอขับผ่านไปมาได้  แต่รถยนต์นั้นหมดสิทธิ์วิ่งเพราะติดต้นไม้กับคูน้ำ

รถยนต์เข้ามาได้ไกล้ที่สุดก็คือทางดินแดงที่กว้างพอเอารถเข้าได้ อยู่เลยสวนออกไปราวๆสิบเมตร จากจุดนี้สามารถขับต่อขึ้นทางหลวงได้  ออกทางศาลายาเข้ากรุงเทพ หรืออีกทางหนึ่งเข้านครปฐม

ถึงแม้ละถิ่นกำเนิดไปหลายปี ด้วยความทรงจำวัยเยาว์และเลือดชาวสวนที่เข้มข้น

ต่อให้เดินละเมอคลำทางผมก็รู้ว่ารถเจ้าโรจน์มันจอดตรงไหน  แต่ที่ผมไม่คาดว่าจะเจอคือผู้หญิงร่างเปรียวสูง ปล่อยผมทิ้งสยายยืนกอดอกหันหลังให้อยู่ตรงนั้น

อาจเป็นด้วยเสียงรองเท้าบูทผมย่ำลงบนพื้นดินราบแซมด้วยหญ้า หรือเธอบังเอิญหันหน้ามาพอดี 

เมื่อเห็นถนัดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตากลมหางชี้ดุจหงส์ จมูกโด่งเชิด

“น้องเกศ” ผมลืมตัว พูดชื่อเธอราวกับเพ้อในฝัน”ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียว”

ไม่มีบานกระจกตรงหน้าสะท้อนให้เห็นสีหน้าของตัวเอง  หากมีเพียงหน้าต่างหัวใจของอีกฝายตอบรับด้วยประกายความรักอย่างไม่ปิดบัง

วินาทีนั้นผมขอสารภาพว่าไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมอ้าแขนรับหญิงสาวที่โผร่างเข้ามาสู่ จนอ้อมกอดนั้นเป็นหนึ่งเดียว

เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ในห้วงเวลาที่เปี่ยมสุข อยู่ๆเธอก็ดิ้นขลุกขลักแล้วผลักตัวผมออกห่างดื้อๆ ทำหน้าเง้างอด

ผมยืนตะลึง ส่วนเธอนั้นสะบัดหน้าไปทางหนี่งอย่างไม่แยแส ปล่อยให้ผมงงงวยกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงชั่วพลัน ผ่านความเงียบไปสักครู่เธอจึงพูดขึ้นอย่างคาดคั้น

“ถ้าหากว่าเกศไม่มาหาเอง พี่เรศยังจะคิดถึงและอยากติดต่อน้องสาวคนนี้อีกไหมค่ะ”

ทำให้ถึงบางอ้อ แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็งอน ผมขยับเข้าไปใกล้แต่ไม่แตะต้องเนื้อตัวเธอใดๆทั้งสิ้น สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ทำไมพี่จะไม่คิดถึง แต่พี่สำนึกตัวว่าอายุมากกว่าหลายปีแถมยังเป็นคนหัวโบราณ ถูกปลูกฝังให้คิดถึงความเหมาะสมไว้ก่อน พี่... กลัวเสียคน ถ้าผิดหวังขึ้นมา เลยดูเชื่องช้า”

สีหน้าน้องเกศสดใสขึ้นมาทันที มองจ้องหน้าผมด้วยแววตาอันลึกซึ้ง ถามว่า

“แสดงว่าถ้าเกศไม่ติดต่อกลับมาเลยนับตั้งแต่วันนั้น พี่เรศจะเป็นฝ่ายมาหาเกศเอง ในวันหนึ่ง”

 ดวงตาผมไม่เคยหลอกใครได้สำเร็จและเธอคงรู้ได้จากสัญชาตญาน เพราะตาเธอประสานกับผมโดยตรงแบบจับสังเกต พร้อมตั้งใจรอคำตอบ

ใจหนึ่งผมนึกทวนคำพูดที่เข้าทีที่สุดสำหรับคนฟัง แต่ทำไมผมกลับเลือกที่จะตอบความรู้สึกจากใจจริงก็ไม่รู้

“ใช่ พี่จะรอจนน้องเกศเรียนจบ  และมั่นใจในตัวเองแล้วว่า เมื่อก้าวพ้นจากวัยศึกษาเข้าสู่โลกใบใหม่ของการรับผิดชอบตัวเองเรื่องการงาน มีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย มีวุฒิภาวะ ถ้าน้องเกศยังคิดว่าพี่คนนี้ยังมีคุณค่าในใจน้องเกศอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะสู้ไม่ถอยทันที”

ผลติดตามมาของคำตอบผม ได้รับรอยจูบผนึกข้างแก้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่