หลังจากอ่านข้อมูลคนอื่นมาเนิ่นนาน หลายทริปหลายที่ ได้นำข้อมูลไปใช้อย่างมากมาย วันนี้เลยอยากมาให้ข้อมูลคนอื่นบ้าง ไม่รู้จะเขียนจบหรือป่าวนะคะ มาลองดูกันค่ะ
ทำไมถึงบอกว่าประสบการณ์สุดโชกโชน เพราะเท่าที่อ่านมาหลายคน ไม่เคยมีใครเจอรถเสีย แต่เราเจอ ไม่เคยมีใครบอกว่ารถมีปัญหาแบบแปลก ๆ แต่เราเจอ ค่อยๆ อ่านกันไปเรื่อยๆ นะคะ จะพยายามเขียนให้จบ เพื่อเอาไว้อ่านเองด้วยค่ะ
ทริปนี้ค่อนข้างกะทันหัน Plan ทริปกันแบบหลวมมาก ๆ หาข้อมูลเป็นรายวัน เดินทาง 17 ส.ค. กลับ 5 ก.ย. 2019 ตรงกับปลายฤดูหนาวพอดี ก่อนออกเดินทางก็ดูพยากรณ์อากาศแล้ว มีฝน มีลม มีหิมะบ้าง เราเตรียมของหลายอย่างที่คิดว่าจำเป็นไปด้วย เช่น เสื้อกันฝน ยาทากันยุง (กัน Sandfly) ข้อต่อก๊อกน้ำปรับขนาดได้ น้ำยาล้างจาน ถุงขยะ ที่ยึดโทรศัพท์บนรถ สายชาร์จยาว หัวต่อที่จุดบุหรี่ ปลั๊กราง Universal adapter และอาหารอีกมากมาย ซึ่งเน้นว่า ควรเลือกแบบมีภาษาอังกฤษที่ฉลาก แพ็คกิ้งดีเป็นสูญญากาศเลยยิ่งดีค่ะ ของเราทำรายการไป เอาไปเกือบ 20 ชิ้น ผ่านฉลุยค่ะ (อ้อ อย่าลืมกล่องใส่อาหาร หรือจะเป็นถุงซิปล็อกก็ได้ เอาไว้ใส่อาหารที่เราอาจจะทานไม่หมด หรืออาหารที่เราต้องไปทำสุกแล้วแช่ไว้ จะได้มีที่เก็บ เพราะเครื่องครัวในรถไม่มีกล่องให้นะคะ)
เราไป SG Airline รอต่อเครื่องที่ Singapore 3 ช.ม. เดินเล่นซื้อขนม ก็พอดีค่ะ แล้วบินต่อไปลง Auckland ซึ่งไฟลท์นี้ บินร่วมกับ Air New Zealand และเป็น Premium Economy ซึ่งอาหารจะเสริฟแบบจานจริง และเสิรฟเป็นขั้นตอนค่ะ ที่นั่งก็เหมือนจะใหญ่กว่าขากลับ ซึ่ง Operate โดย Singapore Airline

อาหารเย็น เสิร์ฟมาตอนแรกเป็นแบบนี้ อร่อยทุกอย่าง ยกเว้นน้ำมันขวดเล็กๆ กินไม่เป็น

จานหลักของเราเป็นปลาอบกับซอสอะไรสักอย่าง อร่อยแบบจืดๆ

จานหลักของเพื่อนเป็นไก่อบซอสแบบจีนและข้าวผัดใส่เครื่องเทศ

บินกันไป 10 กว่าชั่วโมง ก็เสิร์ฟมื้อเช้าจ้า ไม่ค่อยโดน สงสัยกะเพาะยังไม่ทำงาน

ในที่สุดก็ถึง Auckland เวลา 8.15 น. กว่าจะออกมาจากตม.ได้ เป็นชั่วโมงเลย คนเยอะมาก โดยเฉพาะช่อง Declare ทุกคนจะถูกเปิดกระเป๋าออกมาค้น คนก่อนหน้าเรามาจากเกาหลี จีน โดนทิ้งของไปเยอะเลย เห็นเยอะสุดคืออาหารประเภทเนื้อสัตว์แต่แพ็คไม่ดี เช่น กุนเชียงแต่ไม่ใช่สูญญากาศ ปลาเล็กปลาน้อยใส่กระป๋องแบบเปิดฝาได้ ไม่ซีลไม่มีฉลาก ไม่รู้ว่าซื้อมาใส่เองหรือป่าว และประเภทของหมักดองเป็นถุงพลาสติกแล้วซีลปากถุงเฉยๆ โดนทิ้งเรียบ
พอเราออกมา ก็เดินไปตามนัดคือ "After entering the arrivals hall, call us on our free phone number 0508 WILDERNESS (0508 945 337) At the Auckland international terminal, exit via door 3 and wait on the traffic island across the road. เรายังไม่ได้ซื้อซิมที่โน้น ก็เลยพยายามหาโทรศัพท์ฟรี เดินไปเดินมาสักพัก เลยไปหยิบโทรศัพท์ที่แขวนๆอยู่แถวประตูมากด ปรากฎว่าเป็นโทรศัพท์ของจนท.สนามบิน ขอโทษขอโพย วางสายแทบไม่ทัน ที่แท้มันอยู่ตรงแถว ๆ ประตู 3 เลยจ้า มองหาสัญลักษณ์แบบนี้ให้ดี อาจจะโดนซุ้มประตูบังไว้ หายากนิดนึง

แล้วก็ออกมารอด้านนอก ตามโพยคือ Wait on the traffic island across the road. เราก็ข้ามถนนไป 1 ช่วงก่อน แล้วก็ยืนรอตรงนั้น สักพักไม่แน่ใจ พอดีมีพนง.สนามบินยืนสูบบุหรี่อยู่ เลยไปถาม เขาบอกว่าน่าจะใช่ตรงนี้แหละ แต่ก็เคยเห็นพวกรถเช่า เข้าไปรับลูกค้าเลนใน (คือที่เราข้ามมาแล้ว) ให้มองทั้ง 2 เลนล่ะกัน สักพักก็มีรถจาก Wilderness มา เป็นเบนซ์กลางเก่ากลางใหม่ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มาจอด แล้วก็ทำท่าทางแบบประมาณว่า You ใช่ไหมที่โทรไปเมื่อกี้ เราก็ขนกระเป๋าขึ้นเลย ขับไปสัก 15 นาทีก็ถึงที่ทำการของ Wilderness รถที่เช่าไว้เป็นรุ่น Ranger 4 แต่ว่าไปแค่ 2 คน เพราะอยากนอนสบายๆ ไม่เบียดกัน ก็คุยกติกา รายละเอียดรถ การใช้เครื่องไม้เครื่องมือ การใส่โซ่ แล้วเข้าไปเซ็นเอกสาร ทั้งหมดประมาณ 45 นาทีก็เสร็จ จัดการขนกระเป๋าขึ้นรถ เอาของที่จำเป็นออกมาก่อนคือที่ยึดมือถือ สายชาร์จ และโพยการเดินทาง แล้วก็ไปช็อปปิ้งกันก่อนเลย เลี้ยวออกมาจากลานจอด ตื่นเต้นมากรถหญ่ายขนาดนี้ แต่ก็พอไหวนะ แค่เผื่อวงเลี้ยวเวลาตีโค้งบ้าง ล้อหลังจะปีนฟุตบาธบ้างก็ไม่เป็นไร เราซื้อประกันแบบคุ้มครองทุกอย่างอยู่แล้ว รถรุ่นนี้เวลาถอย จะมีภาพขึ้นบนจอ แต่เราไปฤดูหนาว กล้องหลังมองไม่เห็นอะไรเลย คือเป็นไอบังไปหมด ก่อนถอยก็ดูดีๆ หมุนหลายรอบหน่อยก็ได้ล่ะ แต่ถ้าเสี่ยงจริง ๆ ก็ต้องให้อีกคนลงไปดู
VDO แนะนำภายนอกรถบ้าน
VDO แนะนำภายในรถแบบละเอียดมาก ๆ อันนี้คือเราคิดถึงตัวเองก่อนไป หาข้อมูลเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นใครรีวิวรถรุ่นนี้ละเอียดจริง ๆ เลยทำซะเอง
ช็อปปิ้งกันแบบมโหฬาร เพราะว่าไม่อยากแวะซื้อบ่อยๆ แล้วก็มุ่งไปจุดหมายแรกคือ Waitomo Glow Worm ซึ่งห่างออกไปแค่ 185 KM. แต่เรารู้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานแน่ๆ (ลืมบอกว่าเคยมาที่นี่เมื่อ 15 ปีก่อน แต่เช่ารถเก๋งขับ)
ออกถนนใหญ่ได้สักพัก ก็ขึ้นมอเตอร์เวย์ ออกถนนเล็ก ต่อมอเตอร์เวย์อีก ไปเรื่อยๆ จนช่วงท้ายๆ เหลือเลนเดียวตลอดเส้นทาง รถก็เยอะ รถบ้านเราก็ใหญ่แถมช้าอีก เร่งไม่ขึ้น ก็ต้องหลบซ้ายอย่างเดียว จังหวะตื่นเต้นเปิดไฟเลี้ยวผิด กลายเป็นปัดน้ำฝนอะไรก็ไม่รู้ มั่วซั่วมาก จนเจอด่าน ตำรวจเรียกให้เราจอด แล้วบอกว่ารถยูช้า ยูต้องหลบให้คันอื่นไปก่อนนะ เราก็เถียงว่า ไอหลบแล้ว จะให้ลงเส้นข้างทางเลยเหรอ ตำรวจบอกว่า Yes จ้า หลังจากนั้น เจอรถตามมาถ้ามีไหล่ทาง เราก็ลงไหล่ทางไปซักครึ่งคัน เปิดไฟซ้าย เชิญเขาแซงไปก่อนเลย แต่ว่าดูเลนสวนให้เขาด้วยนะ ถ้ามีรถมาแบบเห็นเป็นคันๆชัดๆจะๆกับตา เขาจะไม่แซง ขับรถปลอดภัยมาก เป็นเราก็เบิ้ลเครื่องแซงไปโลด จนวันหลังๆ เราไม่ค่อยสนใจล่ะ ถ้ามีรถตามมา เราแค่ขับชิดเส้นซ้ายมือ เชิญหาทางแซงเอาเอง ยกเว้นมีบางช่วงที่เขาจะขยายเป็น 2 เลนไว้ให้แซงโดยเฉพาะ จะมีป้ายเขียนไว้ว่า Passing Lane .... KM. แปลว่า อีก .... กิโล จะมีทางให้แซง
อ้ออีกเรื่อง เขียนไว้ตรงนี้ก่อนจะลืม เวลาเข้าวงเวียน ถ้าเราเอาหัวรถมาจ่อตรงวงเวียน แล้วเห็นรถในวงเวียน หรือรถคันอื่นที่กำลังจะเข้ามาในวงเวียน แล้วเขาใกล้ถึงก่อนเรา เราจะต้องหยุดให้เขาไปก่อน เราไปโดนตำรวจเรียกที่ Greymouth อีกครั้ง รถเราจ่อตรงทางเข้าวงเวียน มองไปทางขวามีรถคันนึงกำลังจะเข้าวงเวียนมาไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เขาขับช้ามาก ด้วยความรีบร้อนเราก็ออกตัวเลย เพราะว่าเราไปทันก่อนเขาถึงวงเวียนแน่นอน ปรากฎว่ารถตำรวจตามหลังรถคันนั้นมา เปิดไฟไซเรนจ่อตูดเราเลย แต่อันนี้รอดตัวไป บอกว่าไอหยุดแล้วนะ แต่รถคันนั้นช้ามาก ไอก็เลยไปก่อน ตำรวจบอกว่า ถึงเขาจะช้า แต่เขามาถึงวงเวียนก่อน ก็ให้เรานับเลข 1-10 ใส่ในเครื่องวัดแอลกอฮอล์ แล้วก็เอาใบขับขี่ ใบสัญญาเช่ารถไปดู ก็คงเห็นว่าเพิ่งเช่ามาได้ 2-3 วันมั๊ง ก็ปล่อยเรามา โดยย้ำว่าให้ขับช้าๆ ให้รถในวงเวียนไปก่อน แล้วถามว่าเราจะไปไหน คือตอนนั้นค่ำแล้วประมาณสัก 2 ทุ่ม ก็บอกว่าจะไป Campsite ตรงข้างหน้านี้แหละ ตำรวจขับรถตามมาสักพักก็แยกไป
กลับมาที่วันแรก ในที่สุดก็ไปถึง Waitomo ใช้เวลานานมากทั้งที่ไม่ได้แวะอะไรเลย จุดที่เราปักหมุดไว้ กลายเป็น I-Site ที่ Waitomo ไปถึง 15.45 น. กว่าจะยุรยาตรลงจากรถไปติดต่อ เขาแปะป้ายหน้าประตูว่า Sorry, today close 16.00 (staff training) อ้าวกำเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าตรงนี้คือที่ซื้อตั๋ว ไม่ได้เอะใจเลยว่ามันเป็น I-Site นิ ก็เลยไปหาที่นอนดีกว่า ตอนถอยรถออกจากที่จอดก็ตื่นเต้นอีก คือรถจอดเอาหน้าเข้าซอง แล้วที่ด้านหน้าต่ำกว่าด้านหลัง พอเราเข้าเกียร์ถอย แล้วปล่อยเบรคมือ รถมันไม่ถอยแถมยังเดินหน้าอีก 5555 ตื่นเต้นมาก ที่แท้รถมันหนัก แล้วเกียร์ถอยมันเหมือนไม่ค่อยมีแรง แถมพื้นที่ลาดเอียงอีก เราจอดริมถนนด้วย เลยยิ่งกลัวว่าถ้าเบิ้ลเครื่องแรงๆ รถมันจะถอยออกมาเยอะแล้วไปชนด้านหลังไหม เพราะมองไม่เห็น มีรถอื่นจอดข้างๆ สุดท้ายก็ส่งเพื่อนลงไปดู ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ขับย้อนไปนิดนึงเพื่อไปหา Freedom Campsite ที่ใกล้สุดชื่อ Roselands Restaurant แต่เวลาหาใน google map ให้พิมพ์ว่า "Waitomo Campground Free Self Contained Campervan" ต้องขับรถขึ้นเขาและถนนเล็กมาก จนบางจุดต้องจอดสลับให้อีกคันสวนทาง รถเราก็ใหญ่แถมแรงก็น้อยอีก ไม่รู้รถบ้านคันอื่นเป็นแบบนี้หรือป่าว กว่าจะขึ้นไปถึงตื่นเต้นกันได้อีกรอบ พอถึงอ้าวงงเลย นี่มันลานจอดรถร้านอาหารนี่ ดูหมุด ดูภาพแล้ว มันก็ตรงนี้แหละ เลยลงไปถามพนง. เขาบอกว่าจอดเลยถ้ารถยูเป็น Self-contain เราก็มาเลือกหาจุดก่อนเลย เพราะเรามาคันแรก เลือกแล้วเลือกอีก ตรงนี้ดีกว่า เปิดม่านออกมา เห็นวิวภูเขาและทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ ปรากฎว่า พื้นมันเอียงงงง ต้องเลี้ยงตัวตลอดเวลา น้ำในส่วนอาบน้ำก็ไหลแค่รูด้านที่เอียงด้านเดียว เฮ้อ ผ่านคืนแรกไปแบบเหนื่อยล้า

วิวจากข้างหน้าต่างรถ ตอนแรกเราจอดอยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถที่มาทานอาหาร พอสัก 2 ทุ่ม เขาก็กลับกันหมด เหลือเราคันเดียว ชักตื่นเต้น พอ 3 ทุ่มกว่า มีเสียงรถเข้ามา แอบมองดู เป็นรถบ้านมาจอดคันนึง เย้ มีเพื่อนแล้ว พอ 4 ทุ่มมีมาอีกคัน 5 ทุ่มมาอีกคัน สรุปตอนท้ายทริปได้ว่า ทุก campsite ที่เราพัก จะมีรถเข้ามาตอนดึก ๆ เสมอ สันนิษฐานว่าคงเหมือนเราคือ กะเวลาพลาด แวะนานไปหน่อย ทำให้มาถึงดึกหรือขับไปไม่ไหว ก็เลยต้องหา campsite ใกล้สุดพักนอนก่อน
วันรุ่งขึ้นเรารีบตื่นแต่เช้า เพราะเมื่อคืนจอง Hobbiton ไว้ประมาณบ่ายโมง รีบเข้าไป Waitomo เลยเพิ่งถึงบางอ้อว่า ที่จอดแวะเมื่อวานเป็น I-Site จ้า ต้องขับขึ้นไปอีกหน่อย ถึงจะเจอออฟฟิศของ Waitomo จริงๆ ซึ่งถ้าเมื่อวานเราไม่จอดผิดที่ ก็อาจจะทันได้ดูรอบสุดท้าย ไม่เป็นไรดูวันนี้ก็ได้ ในถ้ำถ่ายรูปไม่ได้ มีแต่ภาพทางออกหลังจากล่องเรือนะคะ

ก็สวยแปลกตาดี เหมือนมีหิ่งห้อยเกาะอยู่ตามผนังและเพดาน แล้วเราก็รีบไป Hobbiton ซึ่งห่างออกไปประมาณ 100 KM. แต่ต้องใช้เวลาขับรถ 1.30 ช.ม. เส้นทางช่วงนี้รถน้อยลงล่ะ ไม่เหมือนเมื่อวานตอนออกจาก Auckland ก็ทำเวลาได้ดีหน่อย ไปถึงนั่งรอสักพักก็ถึงรอบเรา ต้องขึ้นรถบัสของเขา เข้าไปด้านใน คนละฝั่งถนน ขับเข้าไปลึกพอสมควร แล้วเราก็ต้องเดินตามไกด์ไปตลอด ห้ามแตกแถว จนจบทริปด้วยการไปรับเครื่องดื่มคนละแก้ว เราเลือก Ginger Ale อร่อยดี

แล้วเราก็ไปที่เมืองโรโตรัว พักที่ Affordable Willowhaven Holiday Park ซึ่งเราให้เป็นที่พัก
[CR] ขับรถบ้านนิวซีแลนด์ 18 วัน เกาะเหนือยันเกาะใต้ ประสบการณ์สุดโชกโชน
ทำไมถึงบอกว่าประสบการณ์สุดโชกโชน เพราะเท่าที่อ่านมาหลายคน ไม่เคยมีใครเจอรถเสีย แต่เราเจอ ไม่เคยมีใครบอกว่ารถมีปัญหาแบบแปลก ๆ แต่เราเจอ ค่อยๆ อ่านกันไปเรื่อยๆ นะคะ จะพยายามเขียนให้จบ เพื่อเอาไว้อ่านเองด้วยค่ะ
ทริปนี้ค่อนข้างกะทันหัน Plan ทริปกันแบบหลวมมาก ๆ หาข้อมูลเป็นรายวัน เดินทาง 17 ส.ค. กลับ 5 ก.ย. 2019 ตรงกับปลายฤดูหนาวพอดี ก่อนออกเดินทางก็ดูพยากรณ์อากาศแล้ว มีฝน มีลม มีหิมะบ้าง เราเตรียมของหลายอย่างที่คิดว่าจำเป็นไปด้วย เช่น เสื้อกันฝน ยาทากันยุง (กัน Sandfly) ข้อต่อก๊อกน้ำปรับขนาดได้ น้ำยาล้างจาน ถุงขยะ ที่ยึดโทรศัพท์บนรถ สายชาร์จยาว หัวต่อที่จุดบุหรี่ ปลั๊กราง Universal adapter และอาหารอีกมากมาย ซึ่งเน้นว่า ควรเลือกแบบมีภาษาอังกฤษที่ฉลาก แพ็คกิ้งดีเป็นสูญญากาศเลยยิ่งดีค่ะ ของเราทำรายการไป เอาไปเกือบ 20 ชิ้น ผ่านฉลุยค่ะ (อ้อ อย่าลืมกล่องใส่อาหาร หรือจะเป็นถุงซิปล็อกก็ได้ เอาไว้ใส่อาหารที่เราอาจจะทานไม่หมด หรืออาหารที่เราต้องไปทำสุกแล้วแช่ไว้ จะได้มีที่เก็บ เพราะเครื่องครัวในรถไม่มีกล่องให้นะคะ)
เราไป SG Airline รอต่อเครื่องที่ Singapore 3 ช.ม. เดินเล่นซื้อขนม ก็พอดีค่ะ แล้วบินต่อไปลง Auckland ซึ่งไฟลท์นี้ บินร่วมกับ Air New Zealand และเป็น Premium Economy ซึ่งอาหารจะเสริฟแบบจานจริง และเสิรฟเป็นขั้นตอนค่ะ ที่นั่งก็เหมือนจะใหญ่กว่าขากลับ ซึ่ง Operate โดย Singapore Airline
อาหารเย็น เสิร์ฟมาตอนแรกเป็นแบบนี้ อร่อยทุกอย่าง ยกเว้นน้ำมันขวดเล็กๆ กินไม่เป็น
จานหลักของเราเป็นปลาอบกับซอสอะไรสักอย่าง อร่อยแบบจืดๆ
จานหลักของเพื่อนเป็นไก่อบซอสแบบจีนและข้าวผัดใส่เครื่องเทศ
บินกันไป 10 กว่าชั่วโมง ก็เสิร์ฟมื้อเช้าจ้า ไม่ค่อยโดน สงสัยกะเพาะยังไม่ทำงาน
ในที่สุดก็ถึง Auckland เวลา 8.15 น. กว่าจะออกมาจากตม.ได้ เป็นชั่วโมงเลย คนเยอะมาก โดยเฉพาะช่อง Declare ทุกคนจะถูกเปิดกระเป๋าออกมาค้น คนก่อนหน้าเรามาจากเกาหลี จีน โดนทิ้งของไปเยอะเลย เห็นเยอะสุดคืออาหารประเภทเนื้อสัตว์แต่แพ็คไม่ดี เช่น กุนเชียงแต่ไม่ใช่สูญญากาศ ปลาเล็กปลาน้อยใส่กระป๋องแบบเปิดฝาได้ ไม่ซีลไม่มีฉลาก ไม่รู้ว่าซื้อมาใส่เองหรือป่าว และประเภทของหมักดองเป็นถุงพลาสติกแล้วซีลปากถุงเฉยๆ โดนทิ้งเรียบ
พอเราออกมา ก็เดินไปตามนัดคือ "After entering the arrivals hall, call us on our free phone number 0508 WILDERNESS (0508 945 337) At the Auckland international terminal, exit via door 3 and wait on the traffic island across the road. เรายังไม่ได้ซื้อซิมที่โน้น ก็เลยพยายามหาโทรศัพท์ฟรี เดินไปเดินมาสักพัก เลยไปหยิบโทรศัพท์ที่แขวนๆอยู่แถวประตูมากด ปรากฎว่าเป็นโทรศัพท์ของจนท.สนามบิน ขอโทษขอโพย วางสายแทบไม่ทัน ที่แท้มันอยู่ตรงแถว ๆ ประตู 3 เลยจ้า มองหาสัญลักษณ์แบบนี้ให้ดี อาจจะโดนซุ้มประตูบังไว้ หายากนิดนึง
แล้วก็ออกมารอด้านนอก ตามโพยคือ Wait on the traffic island across the road. เราก็ข้ามถนนไป 1 ช่วงก่อน แล้วก็ยืนรอตรงนั้น สักพักไม่แน่ใจ พอดีมีพนง.สนามบินยืนสูบบุหรี่อยู่ เลยไปถาม เขาบอกว่าน่าจะใช่ตรงนี้แหละ แต่ก็เคยเห็นพวกรถเช่า เข้าไปรับลูกค้าเลนใน (คือที่เราข้ามมาแล้ว) ให้มองทั้ง 2 เลนล่ะกัน สักพักก็มีรถจาก Wilderness มา เป็นเบนซ์กลางเก่ากลางใหม่ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มาจอด แล้วก็ทำท่าทางแบบประมาณว่า You ใช่ไหมที่โทรไปเมื่อกี้ เราก็ขนกระเป๋าขึ้นเลย ขับไปสัก 15 นาทีก็ถึงที่ทำการของ Wilderness รถที่เช่าไว้เป็นรุ่น Ranger 4 แต่ว่าไปแค่ 2 คน เพราะอยากนอนสบายๆ ไม่เบียดกัน ก็คุยกติกา รายละเอียดรถ การใช้เครื่องไม้เครื่องมือ การใส่โซ่ แล้วเข้าไปเซ็นเอกสาร ทั้งหมดประมาณ 45 นาทีก็เสร็จ จัดการขนกระเป๋าขึ้นรถ เอาของที่จำเป็นออกมาก่อนคือที่ยึดมือถือ สายชาร์จ และโพยการเดินทาง แล้วก็ไปช็อปปิ้งกันก่อนเลย เลี้ยวออกมาจากลานจอด ตื่นเต้นมากรถหญ่ายขนาดนี้ แต่ก็พอไหวนะ แค่เผื่อวงเลี้ยวเวลาตีโค้งบ้าง ล้อหลังจะปีนฟุตบาธบ้างก็ไม่เป็นไร เราซื้อประกันแบบคุ้มครองทุกอย่างอยู่แล้ว รถรุ่นนี้เวลาถอย จะมีภาพขึ้นบนจอ แต่เราไปฤดูหนาว กล้องหลังมองไม่เห็นอะไรเลย คือเป็นไอบังไปหมด ก่อนถอยก็ดูดีๆ หมุนหลายรอบหน่อยก็ได้ล่ะ แต่ถ้าเสี่ยงจริง ๆ ก็ต้องให้อีกคนลงไปดู
VDO แนะนำภายนอกรถบ้าน
ออกถนนใหญ่ได้สักพัก ก็ขึ้นมอเตอร์เวย์ ออกถนนเล็ก ต่อมอเตอร์เวย์อีก ไปเรื่อยๆ จนช่วงท้ายๆ เหลือเลนเดียวตลอดเส้นทาง รถก็เยอะ รถบ้านเราก็ใหญ่แถมช้าอีก เร่งไม่ขึ้น ก็ต้องหลบซ้ายอย่างเดียว จังหวะตื่นเต้นเปิดไฟเลี้ยวผิด กลายเป็นปัดน้ำฝนอะไรก็ไม่รู้ มั่วซั่วมาก จนเจอด่าน ตำรวจเรียกให้เราจอด แล้วบอกว่ารถยูช้า ยูต้องหลบให้คันอื่นไปก่อนนะ เราก็เถียงว่า ไอหลบแล้ว จะให้ลงเส้นข้างทางเลยเหรอ ตำรวจบอกว่า Yes จ้า หลังจากนั้น เจอรถตามมาถ้ามีไหล่ทาง เราก็ลงไหล่ทางไปซักครึ่งคัน เปิดไฟซ้าย เชิญเขาแซงไปก่อนเลย แต่ว่าดูเลนสวนให้เขาด้วยนะ ถ้ามีรถมาแบบเห็นเป็นคันๆชัดๆจะๆกับตา เขาจะไม่แซง ขับรถปลอดภัยมาก เป็นเราก็เบิ้ลเครื่องแซงไปโลด จนวันหลังๆ เราไม่ค่อยสนใจล่ะ ถ้ามีรถตามมา เราแค่ขับชิดเส้นซ้ายมือ เชิญหาทางแซงเอาเอง ยกเว้นมีบางช่วงที่เขาจะขยายเป็น 2 เลนไว้ให้แซงโดยเฉพาะ จะมีป้ายเขียนไว้ว่า Passing Lane .... KM. แปลว่า อีก .... กิโล จะมีทางให้แซง
อ้ออีกเรื่อง เขียนไว้ตรงนี้ก่อนจะลืม เวลาเข้าวงเวียน ถ้าเราเอาหัวรถมาจ่อตรงวงเวียน แล้วเห็นรถในวงเวียน หรือรถคันอื่นที่กำลังจะเข้ามาในวงเวียน แล้วเขาใกล้ถึงก่อนเรา เราจะต้องหยุดให้เขาไปก่อน เราไปโดนตำรวจเรียกที่ Greymouth อีกครั้ง รถเราจ่อตรงทางเข้าวงเวียน มองไปทางขวามีรถคันนึงกำลังจะเข้าวงเวียนมาไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เขาขับช้ามาก ด้วยความรีบร้อนเราก็ออกตัวเลย เพราะว่าเราไปทันก่อนเขาถึงวงเวียนแน่นอน ปรากฎว่ารถตำรวจตามหลังรถคันนั้นมา เปิดไฟไซเรนจ่อตูดเราเลย แต่อันนี้รอดตัวไป บอกว่าไอหยุดแล้วนะ แต่รถคันนั้นช้ามาก ไอก็เลยไปก่อน ตำรวจบอกว่า ถึงเขาจะช้า แต่เขามาถึงวงเวียนก่อน ก็ให้เรานับเลข 1-10 ใส่ในเครื่องวัดแอลกอฮอล์ แล้วก็เอาใบขับขี่ ใบสัญญาเช่ารถไปดู ก็คงเห็นว่าเพิ่งเช่ามาได้ 2-3 วันมั๊ง ก็ปล่อยเรามา โดยย้ำว่าให้ขับช้าๆ ให้รถในวงเวียนไปก่อน แล้วถามว่าเราจะไปไหน คือตอนนั้นค่ำแล้วประมาณสัก 2 ทุ่ม ก็บอกว่าจะไป Campsite ตรงข้างหน้านี้แหละ ตำรวจขับรถตามมาสักพักก็แยกไป
กลับมาที่วันแรก ในที่สุดก็ไปถึง Waitomo ใช้เวลานานมากทั้งที่ไม่ได้แวะอะไรเลย จุดที่เราปักหมุดไว้ กลายเป็น I-Site ที่ Waitomo ไปถึง 15.45 น. กว่าจะยุรยาตรลงจากรถไปติดต่อ เขาแปะป้ายหน้าประตูว่า Sorry, today close 16.00 (staff training) อ้าวกำเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าตรงนี้คือที่ซื้อตั๋ว ไม่ได้เอะใจเลยว่ามันเป็น I-Site นิ ก็เลยไปหาที่นอนดีกว่า ตอนถอยรถออกจากที่จอดก็ตื่นเต้นอีก คือรถจอดเอาหน้าเข้าซอง แล้วที่ด้านหน้าต่ำกว่าด้านหลัง พอเราเข้าเกียร์ถอย แล้วปล่อยเบรคมือ รถมันไม่ถอยแถมยังเดินหน้าอีก 5555 ตื่นเต้นมาก ที่แท้รถมันหนัก แล้วเกียร์ถอยมันเหมือนไม่ค่อยมีแรง แถมพื้นที่ลาดเอียงอีก เราจอดริมถนนด้วย เลยยิ่งกลัวว่าถ้าเบิ้ลเครื่องแรงๆ รถมันจะถอยออกมาเยอะแล้วไปชนด้านหลังไหม เพราะมองไม่เห็น มีรถอื่นจอดข้างๆ สุดท้ายก็ส่งเพื่อนลงไปดู ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ขับย้อนไปนิดนึงเพื่อไปหา Freedom Campsite ที่ใกล้สุดชื่อ Roselands Restaurant แต่เวลาหาใน google map ให้พิมพ์ว่า "Waitomo Campground Free Self Contained Campervan" ต้องขับรถขึ้นเขาและถนนเล็กมาก จนบางจุดต้องจอดสลับให้อีกคันสวนทาง รถเราก็ใหญ่แถมแรงก็น้อยอีก ไม่รู้รถบ้านคันอื่นเป็นแบบนี้หรือป่าว กว่าจะขึ้นไปถึงตื่นเต้นกันได้อีกรอบ พอถึงอ้าวงงเลย นี่มันลานจอดรถร้านอาหารนี่ ดูหมุด ดูภาพแล้ว มันก็ตรงนี้แหละ เลยลงไปถามพนง. เขาบอกว่าจอดเลยถ้ารถยูเป็น Self-contain เราก็มาเลือกหาจุดก่อนเลย เพราะเรามาคันแรก เลือกแล้วเลือกอีก ตรงนี้ดีกว่า เปิดม่านออกมา เห็นวิวภูเขาและทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ ปรากฎว่า พื้นมันเอียงงงง ต้องเลี้ยงตัวตลอดเวลา น้ำในส่วนอาบน้ำก็ไหลแค่รูด้านที่เอียงด้านเดียว เฮ้อ ผ่านคืนแรกไปแบบเหนื่อยล้า
วิวจากข้างหน้าต่างรถ ตอนแรกเราจอดอยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถที่มาทานอาหาร พอสัก 2 ทุ่ม เขาก็กลับกันหมด เหลือเราคันเดียว ชักตื่นเต้น พอ 3 ทุ่มกว่า มีเสียงรถเข้ามา แอบมองดู เป็นรถบ้านมาจอดคันนึง เย้ มีเพื่อนแล้ว พอ 4 ทุ่มมีมาอีกคัน 5 ทุ่มมาอีกคัน สรุปตอนท้ายทริปได้ว่า ทุก campsite ที่เราพัก จะมีรถเข้ามาตอนดึก ๆ เสมอ สันนิษฐานว่าคงเหมือนเราคือ กะเวลาพลาด แวะนานไปหน่อย ทำให้มาถึงดึกหรือขับไปไม่ไหว ก็เลยต้องหา campsite ใกล้สุดพักนอนก่อน
วันรุ่งขึ้นเรารีบตื่นแต่เช้า เพราะเมื่อคืนจอง Hobbiton ไว้ประมาณบ่ายโมง รีบเข้าไป Waitomo เลยเพิ่งถึงบางอ้อว่า ที่จอดแวะเมื่อวานเป็น I-Site จ้า ต้องขับขึ้นไปอีกหน่อย ถึงจะเจอออฟฟิศของ Waitomo จริงๆ ซึ่งถ้าเมื่อวานเราไม่จอดผิดที่ ก็อาจจะทันได้ดูรอบสุดท้าย ไม่เป็นไรดูวันนี้ก็ได้ ในถ้ำถ่ายรูปไม่ได้ มีแต่ภาพทางออกหลังจากล่องเรือนะคะ
ก็สวยแปลกตาดี เหมือนมีหิ่งห้อยเกาะอยู่ตามผนังและเพดาน แล้วเราก็รีบไป Hobbiton ซึ่งห่างออกไปประมาณ 100 KM. แต่ต้องใช้เวลาขับรถ 1.30 ช.ม. เส้นทางช่วงนี้รถน้อยลงล่ะ ไม่เหมือนเมื่อวานตอนออกจาก Auckland ก็ทำเวลาได้ดีหน่อย ไปถึงนั่งรอสักพักก็ถึงรอบเรา ต้องขึ้นรถบัสของเขา เข้าไปด้านใน คนละฝั่งถนน ขับเข้าไปลึกพอสมควร แล้วเราก็ต้องเดินตามไกด์ไปตลอด ห้ามแตกแถว จนจบทริปด้วยการไปรับเครื่องดื่มคนละแก้ว เราเลือก Ginger Ale อร่อยดี
แล้วเราก็ไปที่เมืองโรโตรัว พักที่ Affordable Willowhaven Holiday Park ซึ่งเราให้เป็นที่พัก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้