? “สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะ(อวิชชา)บังหน้า๑ ย่อมกล่าวซึ่งโรค (ความเสียบแทง) นั้น โดยความเป็นตน.
? เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้นย่อมเป็น (ตามที่เป็นจริง) โดยประการอื่น จากที่เขาสำคัญนั้น.
? สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น (จากที่มันเป็นอยู่จริง) จึงได้เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
? เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เป็นภัย (น่ากลัว); เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์.
? พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ นั้นเอง.
? สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวความหลุดพ้นจากภพว่ามีได้เพราะ ภพ; เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
? ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวความออกไปได้จากภพ ว่ามีได้เพราะวิภพ;๒ (วิภวตัณหา)เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
? ก็ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่ง อุปธิ ทั้งปวง.
? ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ไม่มี ก็เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง.
? ท่านจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลาย อันอวิชชาหนาแน่นบังหน้า แล้ว; และว่าสัตว์ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไปจากภพได้.
๑. คำว่า “มีผัสสะบังหน้า (ผสฺสปเรโต)” หมายความว่า เมื่อเขาถูกต้องผัสสะใด จิตทั้งหมดของเขายึดมั่นอยู่ในผัสสะนั้น จนไม่มองเห็นสิ่งอื่น แม้จะใหญ่โตมากมายเพียงใด ทำนองเส้นผมบังภูเขา : เขาหลงใหลยึดมั่นแต่ในอัสสาทะของผัสสะนั้นจนไม่มองเห็นสิ่งอื่น; อย่างนี้เรียกว่า มีผัสสะบังหน้า คือบังลูกตาของเขา ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ผิดไปจากตามที่เป็นจริง.
๒. คำว่า “วิภพ” ในที่นี้ ตรงกันข้ามกับคำว่า “ภพ” คือไม่มีภพตามอำนาจของนัตถิกทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิโดยตรง คือไม่เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ; ดังนั้น แม้เขาจะรู้สึกว่าไม่มีอะไร มันก็มีความไม่มีอะไรนั้นเอง ตั้งอยู่ในฐานะ
? ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด อันเป็นไปในที่หรือในเวลาทั้งปวง๑ เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดยประการทั้งปวง; ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.
? เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง อย่างนี้อยู่; เขาย่อมละภวตัณหาได้ และไม่เพลิดเพลินซึ่งวิภวตัณหาด้วย.
? ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพทั้งหลาย) เพราะความสิ้นไป แห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน.
? ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว เพราะไม่มีความยึดมั่น.
? ภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว เป็นนักรบชนะสงครามแล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลาย ทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่(คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป),” ดังนี้ แล.
สูตรที่ ๑๐ นันทวรรค อุ.ขุ ๒๕/๑๒๑/๘๔,
? เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งผัสสายตนะ(แดนเกิดแห่งผัสสะ) ทั้ง ๖ นั้น นั่นเทียว
ว่าด้วยที่สุดแห่งภพ...(ปฏิจจสมุปบาท)
? เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้นย่อมเป็น (ตามที่เป็นจริง) โดยประการอื่น จากที่เขาสำคัญนั้น.
? สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น (จากที่มันเป็นอยู่จริง) จึงได้เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
? เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เป็นภัย (น่ากลัว); เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์.
? พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ นั้นเอง.
? สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวความหลุดพ้นจากภพว่ามีได้เพราะ ภพ; เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
? ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวความออกไปได้จากภพ ว่ามีได้เพราะวิภพ;๒ (วิภวตัณหา)เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
? ก็ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่ง อุปธิ ทั้งปวง.
? ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ไม่มี ก็เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง.
? ท่านจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลาย อันอวิชชาหนาแน่นบังหน้า แล้ว; และว่าสัตว์ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไปจากภพได้.
๑. คำว่า “มีผัสสะบังหน้า (ผสฺสปเรโต)” หมายความว่า เมื่อเขาถูกต้องผัสสะใด จิตทั้งหมดของเขายึดมั่นอยู่ในผัสสะนั้น จนไม่มองเห็นสิ่งอื่น แม้จะใหญ่โตมากมายเพียงใด ทำนองเส้นผมบังภูเขา : เขาหลงใหลยึดมั่นแต่ในอัสสาทะของผัสสะนั้นจนไม่มองเห็นสิ่งอื่น; อย่างนี้เรียกว่า มีผัสสะบังหน้า คือบังลูกตาของเขา ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ผิดไปจากตามที่เป็นจริง.
๒. คำว่า “วิภพ” ในที่นี้ ตรงกันข้ามกับคำว่า “ภพ” คือไม่มีภพตามอำนาจของนัตถิกทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิโดยตรง คือไม่เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ; ดังนั้น แม้เขาจะรู้สึกว่าไม่มีอะไร มันก็มีความไม่มีอะไรนั้นเอง ตั้งอยู่ในฐานะ
? เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง อย่างนี้อยู่; เขาย่อมละภวตัณหาได้ และไม่เพลิดเพลินซึ่งวิภวตัณหาด้วย.
? ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพทั้งหลาย) เพราะความสิ้นไป แห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน.
? ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว เพราะไม่มีความยึดมั่น.
? ภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว เป็นนักรบชนะสงครามแล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลาย ทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่(คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป),” ดังนี้ แล.
สูตรที่ ๑๐ นันทวรรค อุ.ขุ ๒๕/๑๒๑/๘๔,
? เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งผัสสายตนะ(แดนเกิดแห่งผัสสะ) ทั้ง ๖ นั้น นั่นเทียว