🥝🥝มาลาริน/โชคดีสำลีแปะหัว...ส.ส.ย้ายพรรคไหนใครว่าจะรอด โดนครบถ้วน ชดใช้บาปที่ทำกับแผ่นดิน!


เป็นหนึ่งคดีที่เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว   สำหรับเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 เมษายน   2552  เมื่อนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง  แกนนำแดงนปช.กับพวก   พามวลชนเป็นจำนวนมาก  บุกรุกเข้าไปในโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท  พัทยา เจตนาเพื่อขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซัมมิท  ไม่ให้เกิดขึ้น เนื่องจากประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ  มีนายกรัฐมนตรีชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 

ลำดับความสำคัญๆ  เหตุกรณีดังกล่าวผ่านขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว  คือ ในศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาจำคุก  แกนนำคนเสื้อแดง ทั้ง 13 คน  ในข้อหาชุมนุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจร พ.ศ.2522  ประกอบด้วย   


"ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ตนพูดคุยกับณัฐวุฒิว่า มันต้องมีหน่วย มีคนที่ดำเนินการกับคุณอภิสิทธิ์ แบบถึงลูกถึงคน และปรึกษากับนายจักรภพ(เพ็ญแข) ก็บอกว่าพี่กี้รับเป็นเจ้าภาพโปรเจ็กต์นี้ก็แล้วกัน ตนไม่รีรอในฐานะที่เป็นคนเสนอความคิด เอาวันนี้ตายเป็นตายบุกพัทยา วันนั้นเตรียมรถทัวร์ 20 คัน
 
 
ณัฐวุฒิโทรไปบอกว่าพี่กี้ ไม่ต้องรอแล้ว ไม่ต้องรอ บุกได้ทันที สิบโทสั่งแม่ทัพได้ ในขณะพี่ไวพจน์(อาภารัตน์ )กำลังปลุกใจพี่น้อง ผมอยู่ข้างล่างก็บอกพี่ไวพจน์ สั่งคนเสื้อแดงเดิงทางเข้าห้องประชุม เข้าไปโรงแรมทันที เพราะว่าวันนี้ณัฐวุฒิให้ตังค์มาแล้ว แสนแปด โอ้โห้สบาย บอกพี่กี้ร์พอหรือเปล่าแสนแปด ผมบอกว่าโอเคไม่เป็นไรหรอก ผมจะใช้แสนแปดให้คุ้มค่าที่สุดกับการไล่ล่าอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ ให้สำเร็จ”คำปราศรัยของนายอริสมันต์"
 

@อย่างไรก็ตามก่อนทื่จะถึงขั้นตอนการอ่านคำพิพาษาศาลฎีกา  ปรากฎว่าได้เกิดปมประเด็นทางกฎหมายขึ้น และนำไปสู่แนวทางการต่อสู้คดีของนายอริสมันต์ และจำเลยที่เกี่ยวข้อง
 

โดยเมื่อวันที่  13 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา  นายอริสมันต์  พร้อมด้วย  นายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง และนายนพพร นามเชียงใต้  แนวร่วม นปช.   จำเลยในคดีดังกล่าว ได้เข้ายื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด  เพื่อขอให้อัยการถอนฟ้องโดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากพยานโจทก์ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ
 
 
นายอริสมันต์ ระบุด้วยซ้ำว่า  การเดินทางไปพัทยาของขบวนการประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตย  เพียงแค่ต้องการไปยื่นหนังสือต่อผู้นำอาเซียน  แต่กลายเป็นว่าต้องถูกข้อหาล้มการประชุม  ทั้งๆ ที่การประชุมในวันนั้นได้ยุติลงตั้งแต่ตอน 11 โมง แต่เหตุการณ์ที่มีภาพความรุนแรงเกิดขึ้นประมาณบ่ายโมง   ซึ่งถ้ายกเลิกการประชุมหรือการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว  รัฐบาลแถลงข่าวยุติแล้วหรือเลื่อนไป  เรื่องราวต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น 
 

ประเด็นที่ต้องการสื่อ  ก็คือมีกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินออกมามาทำร้ายประชาชน ทำให้ผู้ชุมนุมแตกตื่นเข้าไปในหอประชุม  จนเกิดการทำให้กระจกแตก ซึ่งกระจกที่แตกเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ทราบดีว่าใครทำ  เพราะพวกเราเดินไปทีหลัง เข้าไปในหอประชุมเพื่อไปตามพี่น้องกลับมา นี่คือเรื่องจริงทั้งหมด ขณะที่คนเสื้อน้ำเงินไม่ถูกดำเนินคดี
 

ขณะเดียวกันเนื่องจากคดีดังกล่าวได้เลยขั้นตอนการถอนฟ้องแล้ว จึงเป็นที่มาของการติดตามผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่จะเกิดขึ้น    ตามคำอธิบายของ  นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด  ซึ่งระบุว่า ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด  การถอนฟ้องสามารถทำได้เพียง 2 กรณี   คือ 1.การฟ้องผิดตัว  หมายถึงกรณีที่อัยการยื่นฟ้อง นาย ก. แต่ภายหลังมีพยานหลักฐานว่า นาย ก. ไม่ได้เป็นคนทำผิด  และ  2.เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดพิ ในการจารณาว่าคดีไหน  ถ้าฟ้องไปแล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ก็อาจขอถอนฟ้องได้  ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ มาตรา 21 
 

แต่ก็มีหลักเกณฑ์การถอนฟ้อง  ซึ่งบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35-36  ประกอบไว้ด้วยว่า  คดีความผิดส่วนตัวจะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก็ได้ก่อนคดีถึงที่สุด  แต่ถ้าเป็นคดีอาญาแผ่นดิน จะต้องยื่นคำร้อง ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
 
หรือหมายความว่า  หากศาลชั้นต้น หรือ  ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาไปแล้ว จะถอนฟ้องไม่ได้อีก  หากมีการยื่นถอนฟ้อง จะเท่ากับเป็นการถอนอุทธรณ์ หรือถอนฎีกา ทำให้คดีถึงที่สุด  และต้องยึดตามคำพิพากษาของศาลล่าง คือ ศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ ที่ได้ตัดสินไปแล้ว  เท่ากับว่า จะทำให้ผลคำพิพากษาจำคุกนายอริสมันต์ และพวก  เป็นไปตามเดิมทันที
 

@กระนั้นก็ต้องเกาะติดผลคำพิพากษาคดีนี้อย่างใกล้ชิด  เพราะที่ผ่านมากลุ่มจำเลยได้มีการต่อสู้คดีในหลายมุม  ซึ่งถือเป็นความพยายามเฮือกสุดท้าย ก่อนจะมีบทสรุปว่าด้วยข้อกฎหมาย เรื่องบุกขัดขวางการประชุมอาเซียน ซัมมิท
 

ทั้งกรณีที่ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อดีต ผกก.สภ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี   ซึ่งตกเป็นจำเลยถูกกล่าวหา  ร่วมกับกลุ่ม นปช.ในการบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทด้วย แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่า   พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย  ซึ่งเป็นพยานในคดีดังกล่าว  แจ้งความเท็จ   
 
 
เนื่องจากมีพยานหลักฐาน   เป็นบันทึกประจำวันแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง  ว่า  ช่วงเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปร่วมกับคนเสื้อแดงที่พัทยานั้น กำลังแจ้งความนาฬิกาโรเล็กซ์หายอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง  และทำให้ศาลพัทยายกฟ้องข้อกล่าวหา  เพราะไม่มีบุคคลใดสามารถปรากฏกายได้ในสองสถานที่ในเวลาเดียวกันได้    และมีการนำไปใช้อ้างอิงในลักษณะเดียวกัน  เพื่อหักล้างคำให้การของพยาน โดยแกนนำแดงนปช.   เมื่อวันที่  4 กรกฎาคม 2560  
 
 
ส่วนประเด็นทางการเมืองที่ถูกหยิบยก มาเป็นเงื่อนไขให้เข้าใจว่าคดีการบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทมีการเลือกปฏิบัติ  ทางด้าน  นายประยุทธ เพชรคุณ  รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด  ได้ชี้แจงไปก่อนหน้าแล้วว่า
 
 
 คดีที่เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน  2552   พนักงานสอบสวนได้รวบรวมสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาประกอบด้วย  นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นพ.เหวง โตจิราการ, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายอดิศร เพียงเกษ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์    ในความผิดฐาน   ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม    ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา  หรือวิธีอื่นใดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน   หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน มาส่งอัยการในวันที่ 1 สิงหาคม  2560   
 

ปรากฎว่าในวันที่ 8 กุมภาพันธ์  2562   ทางพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน และได้นัดให้ผู้ต้องหามาวันที่ 25 กุมภาพันธ์  เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยา แต่ปรากฏว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดขอเลื่อนการส่งตัวฟ้องอัยการได้อนุญาตให้เลื่อนเป็นวันที่ 19 มีนาคม 2562   แต่ระหว่างที่จะถึงวันนัดฟังคำสั่ง  วันที่ 15 มีนาคม   นายสุภรณ์  ได้มาขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งโดยอ้างเหตุติดปราศรัยเลือกตั้ง
 

ส่วน นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายจตุพร, นพ.เหวง เดินทางมาตามนัดวันที่ 19 มีนาคม  ทางอัยการจึงยื่นฟ้องทั้ง 4 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยา ในวันดังกล่าว  ขาดเพียงนายอดิศร และนายสุภรณ์ ซึ่งไม่ได้มาโดยอ้างเหตุติดหาเสียงเช่นเดียวกัน ทางอัยการจึงมีคำสั่งให้เลื่อนวันนัดฟังคำสั่งของ 2 ผู้ต้องหา ที่เหลือไปเป็นวันที่ 2 เมษายน  2560  โดยนายอดิศร มาตามนัด อัยการจึงนำตัวฟ้องศาลตามไปกับจำเลยทั้ง 4 ที่ฟ้องไปก่อนหน้านี้
 
 
แต่ในส่วนของนายสุภรณ์ ก่อนที่จะถึงวันนัดวันที่ 2 เมษายน  2562    อัยการจึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยา  และ ผบช.ภ.2  ให้ดำเนินการจับกุมตัวนายสุภรณ์ มาส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เมษายน 2562   แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า   ยังไม่สามารถนำตัวมาได้  จึงดำเนินการขอศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับนายสุภรณ์  แต่ปรากฎว่าจนถึงวันที่ 11  เมษายน 2562  ซึ่งเป็นกำหนดหมดอายุความ กลับไม่สามารถนำตัวนายสุภรณ์มาฟ้องร้องต่อศาลได้  ทำให้คดีในส่วนของนายสุภรณ์ และนายจักรภพ ที่หนีคดีไปก่อนหน้า ขาดอายุความไปโดยปริยาย

https://www.tnews.co.th/politic/519184/ถึงเวลา-“อริสมันต์”--แกนนำแดง-บุกล้มประชุมอาเซียนซัมมิท-พัทยา-ชดใช้บาปที่ทำกับแผ่นดิน!

ฎีกายืนคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา “อริสมันต์” พร้อมพวก คดีล้มประชุมอาเซียน


วันนี้ (11 ก.ย.) ศาลฎีกา มีคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช. กับพวก บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อปี 2552 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา

ทั้งนี้คดีนี้ ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกนายอริสมันต์ กับพวก เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีดังกล่าวอัยการจังหวัดพัทยาเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกในข้อหาร่วมกันขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงานที่ไม่ให้มีการชุมนุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจร พ.ศ.2522

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มี.ค.2558 ศาลจังหวัดพัทยาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้พิพากษาตัดสินจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้จำเลยในคดีนี้ ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง , นายนิสิต สินธุไพร , นายพายัพ ปั้นเกตุ , นายวรชัย เหมะ , นายวันชนะ เกิดดี , นายพิเชฐ สุขจินดาทอง , นายศักดิ์ดา นพสิทธิ์ , พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์ , นายนพพร นามเชียงใต้ , นายสำเริง ประจำเรือ , นายสมยศ พรหมมา , นพ.วัลลภ ยังตรง และ นายสิงทอง บัวชุม

สำหรับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมื่อเมษายน พ.ศ. 2552 นายอริสมันต์เป็นแกนนำผู้ชุมนุมที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยนำผู้ชุมนุมทั้งจากจังหวัดใกล้เคียงและที่สมทบจากกรุงเทพฯ เพื่อปิดล้อมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เข้าปิดล้อมหน้าโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา เพื่อเข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนอาเซียน

และในวันต่อมาได้กลับมาชุมนุมหน้าโรงแรมอีกครั้ง เพื่อกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบ ต่อเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มคนสวมเสื้อสีน้ำเงิน ในช่วงเช้า จนกระทั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ของไทย ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุม ขอเลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด แล้วพาผู้นำประเทศต่างๆ เดินทางออกจากสถานที่ประชุม และขึ้นเครื่องบินกลับโดยทันที

ล่าสุด ศาลจังวัดพัทยา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก นายอริสมันต์ และพวกรวม 12 คน ยกเว้นนายสมญศฆ์ พรมมา

เนื่องเพราะเป็นมวลชน ไม่ใช่แกนนำในการปลุกระดมให้กระทำการรุนแรง เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับออกหมายจับจำเลยทั้งหมดที่ได้รับการลงโทษแต่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ ( 11 ก.ย.)

https://www.springnews.co.th/breaking-news/544180

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ยินดีด้วยนะคะ....อมยิ้ม37

เจ้านายรอดตัวไปสบายตามเคย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่