
1. ผู้กำกับ
ไมเคิล มานน์ และทีมงานหลายคนยืนยันว่า นี่คือหนังที่สร้างจากการรีเสิร์ชข้อมูลอย่างหนักหน่วง ความยอดเยี่ยมที่หลายคนชื่นชม ทีมสร้างจึงขอยกให้เป็นผลพวงจากการทำงานหนักอันอึ้ง ทั้งการไปคลุกคลีกับตำรวจ รวมถึงพวกขุนโจรในคุก
2. พื้นฐานของหนังสร้างมาจากเหตุการณ์และตัวละครที่มีอยู่จริงในชิคาโก แต่ในหนังฉากหลังของเรื่องจะเป็นเมืองลอสแองเจลิสแทน
3. ผู้กำกับอยากถ่ายทอดลอสแองเจลิสในมุมที่โมเดิร์น รวมถึงให้ความสำคัญกับเมืองในฐานะตัวละครนึง เพื่อทำความเข้าใจกับเมือง ทีมงานออกตระเวนขับรถเล่นทั่วเมืองยามค่ำคืน อีกทั้งยังขึ้นฮ.บินสำรวจ และยังคลุกวงในด้วยการออกตระเวนข่าว ไปดูจุดเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมกับสายข่าวทั่วทั้งเมือง
4. ไมเคิล มานน์พูดบ่อยๆว่า เขาคิดและขยายหนังมาจากซีนจบเรื่อง หมายความว่าเมื่อได้ตอนจบแล้ว เขาก็คิดว่าหนังต้องมันมีอะไรบ้าง เพื่อไปขีดเส้นใต้หรือขับเน้นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนจบให้ชัดและหนักแน่นขึ้น
5. ผู้กำกับออกแบบให้ตัวละครของ
โรเบิร์ต เดอ นิโร เป็นพวกขุนโจรรุ่นโบราณ ที่มีวินัยสูงมาก และไม่สร้างความสัมพันธ์กับใครโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ตัวละครบินไปไหนมาไหนอย่างอิสระ ซึ่งต่างกับตัวละครลูกน้องของ
วัล คิลเมอร์ ที่มีความทันสมัยกว่า เลยเป็นคนไม่ยึดกับวินัยอะไรพวกนั้น ความมันส์ก็คือ ในหนังเมื่อเดอ นิโร เจอหญิงที่เขารัก วินัยเขาก็หลุดทันที
6. ส่วนตัวละครของ
อัล ปาชิโน ที่ถูกกำหนดให้เป็นเหมือนฝาแฝดของตัวละครเดอ นิโร ก็มีความเป็นนักล่าที่คิดแค่ว่าถ้ากำจัดคนร้ายได้ เขาก็จะช่วยคนธรรมดาข้างถนนได้อย่างน้อยหนึ่งคน ซึ่งสำหรับอัลเอง เขาคิดว่าตัวละครของเขามีความแตกต่างกับตัวละครเดอ นิโรอยู่นะ เป็นคนที่ไฮเปอร์กว่า เปิดเผยกว่า รวมถึงสถานการณ์ชีวิตคู่ที่สวนทางกัน คนนึงกำลังเริ่ม คนนึงกำลังพัง ซึ่งทำให้มีความสมดุลกัน

7.
เอมี่ เบร็นเน็มแมน ที่เล่นเป็นหญิงคนรักของเดอ นิโร บอกว่าตอนแรกเธอปฎิเสธไม่รับเล่น เพราะอ่านบทแล้วเห็นมีแต่เลือดและกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ มานน์เลยบอก นั่นแหละ สิ่งที่ตัวละครของเธอต้องรู้สึก และพอตกลงเล่น เอมี่ก็ไปทำการบ้านเกี่ยวกับตัวละครมากมาย แต่สุดท้าย เดอ นิโร บอกเธอว่า ตัวละครเธอแค่ตกหลุมรักเท่านั้นแหละ ซึ่งเอมี่ก็เห็นด้วย
8. เอมี่อีกรอบ เธอเล่าว่าปกติเธอเป็นคนไม่ค่อยงีบหลับกลางกองถ่าย แต่เรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ ในขณะกำลังถ่ายซีนนั่งอยู่ในรถ เธอเลยขอนอนแปปนึง เพราะเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว เลยคิดว่าคงจะหยุดถ่ายแล้วล่ะ นอนได้ แต่พอถูกปลุกขึ้นมาก็เห็นรถถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ทีมงานบอกว่าลุยถ่ายต่อนะ
9. และทีมงานก็มีถ่ายซีนกลางคืนด้วยใช้ผ้าดำคลุมหรืออุปกรณ์อื่นๆอีกหลายครั้ง มีอยู่ครั้งนึง มานน์บ่นว่า
"เฮ้ย นั่นมันแสงบ้าอะไรวะ มันหลุดเข้ากล้อง" แล้วทีมงานก็ตอบว่า
"แสงดวงอาทิตย์ครับ"
10. ซีนที่ลือลั่นอย่างนั่งคุยกันในร้านกาแฟ หลายคนเคยคิดว่า อัลกับเดอ นิโรไม่ได้ร่วมฉากกันจริงๆ ถ่ายแยกกันแหงๆ เพราะมันไม่มีช็อตมาสเตอร์ยืนยันว่าสองคนนั่งด้วยกัน มานน์เลยบอกว่าพวกเขาถ่ายด้วยกันจริงๆ แต่ในหนังใช้ช็อตถ่ายข้ามไหล่ของแต่ละฝั่ง และที่ร้านอาหารที่ใช้ถ่าย ก็มีภาพถ่ายทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะกันติดบนผนัง ยืนยันเป็นหลักฐาน
11. ในซีนกินกาแฟ อัลคิดว่ามันควรจะต้องมีการซักซ้อมสักหน่อย แต่เดอ นิโรบอกว่า ถ่ายเลยดีกว่า ไม่ต้องซ้อมหรอก ซึ่งมานน์ก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ฟีลสด ถ้าซ้อมแล้วเดี๋ยวไม่มันส์ แต่ก็เป็นเดอ นิโรที่บ่นอุบว่าเมื่อไหร่จะถ่ายสักที เพราะอยู่มาตั้งแต่กลางวัน แต่กว่าจะถ่ายก็ดึกโข ซึ่งสาเหตุก็เพราะมานน์อยากให้ทั้งสองคนดูอ่อนล้า สรุปว่าซีนนี้ถ่ายไป 11 เทค

12. และซีนกาแฟนี้ก็เคยเกือบเป็นซีนกินทาโก้ข้างทาง ตอนนั้นมีช้อยอยู่ว่าจะเลือกให้ซีนนี้เกิดขึ้นในร้านกาแฟ หรือร้านทาโก้ที่อยู่ข้างทางดี ถ้าเอาตามซีนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งสองตัวละครเจอกันที่ถนนฟรีเวย์ ถ้าจะกินทาโก้ทางข้างแถวฟรีเวย์ ก็พอเป็นไปได้เหมือนกัน
13. อีกซีนที่เป็นตำนานไม่แพ้กันคือฉากยิงกระหน่ำกันกลางเมือง ทีมงานเตรียมพร้อมฉากนี้ด้วยการให้นักแสดงไปฝึกยิงปืนโดยจำลองตามซีนในหนัง พวกตำรวจก็ฝึกยิงแบบตำรวจ ส่วนพวกโจรก็ยิงแบบโจร
14. เสียงยิงปืนในฉากนี้ หลักๆมาจากเสียงตอนถ่ายจริง ซึ่งดังแบบค้างในอากาศนานแปดถึงสิบวิ ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นดงตึกสูง แรกสุด ทีมเสียงเอาเอฟเฟกต์เสียงปืนใส่ลงไป แต่มานน์ส่ายหัวแล้วบอกว่า มันไม่เหมือนเสียงปืนเลยว่ะ ทีมเสียงอึ้งเลย กระทั่งสุดท้ายก็มีการใช้เสียงจริง ผสมกับการมิกซ์
15. ในซีนนี้ วัล คิลเมอร์โชว์ฟอร์สดเปลี่ยนแม็คปืนกลได้ไวมาก และวัลก็ได้ยินมาว่าที่หน่วยนาวิก ตอนเทรนทหารใหม่ มีการเปิดคลิปตอนที่วัลเปลี่ยนแม็คและบอกทหารว่า
"ถ้านายเปลี่ยนได้ไม่ไวพอเท่าหมอนี้ ก็ลาออกไปซะ"
16. ความยากของการถ่ายซีนกระหน่ำกลางเมือง คือทางการอนุญาตให้ถ่ายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ทีมงานเลยถ่ายซีนอื่นๆในระหว่างวีค แล้วมาทำฉากนี้กันต่อในสุดสัปดาห์ ทีนี้ มีอยู่วันนึงที่เป็นวันแม่ ข้างๆโลแถวนั้นมีร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ซึ่งมีคุณลูกพาคุณแม่และครอบครัวมาทานข้าว เลยมีวิวดูอัลกับเดอ นิโร วิ่งไล่ยิงปืนใส่กันประกอบการกินอาหาร

17. อีกซีนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือตอนไล่ล่ากันแถวรันเวย์สนามบินตอนท้ายเรื่อง ซึ่งทีมงานและนักแสดงต้องเจอเครื่องบินลำมหึมาบินข้ามหัวไปมา ซึ่งเวลามันบินผ่านทีนึง แม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่นิ่งๆ แต่ความสั่นสะเทือนก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อย เหมือนกำลังทำงานอยู่ยังไงยังงั้น
18. และทีมงานก็คุยโวว่า Heat น่าจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ได้ถ่ายบริเวณรันเวย์สนามบินแบบสโคปกว้างๆ มีทีมงานเยอะๆ เพราะปัจจุบัน พวกสนามบินต่างๆ อนุญาตให้กองถ่ายหนัง ถ่ายทำได้แค่แบบกองโจร มีทีมงานได้ไม่เกินราวๆ 20 คน
19.
คริสโฟเฟอร์ โนแลน ออกตัวอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ (
ถึงขั้นเคยทำซีนโจ๊กเกอร์ปล้นธนาคารใน The Dark Knight เป็นเครื่องเซ่นไหว้) โนแลนเล่าว่าตอนที่หนังกำลังจะออกฉาย เขาคิดว่า
"โอว หนังเรื่องนี้รวมทีมงานเจ๋งๆไว้เยอะแฮะ แต่หนังก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าตำรวจจับผู้ร้ายแหละ" กระทั่งเขาได้อ่านบทวิจารณ์หนังซึ่งบอกว่า Heat จะเป็นหนังอเมริกันคลาสสิกรุ่นใหม่แน่นอน เขาเลยแจ้นไปดูทันทีเพื่อพิสูจน์ กระทั่งเขากลายเป็นสาวกหนังเรื่องนี้
20. พูดถึงช่วงเวลาออกฉาย ซึ่งเป็นช่วงคริสต์มาสปี 95 ในระหว่างตัดต่อ สตูดิโอก็ถามมานน์ว่า อยากให้หนังเสร็จฉายช่วงคริสต์มาสนะ ทำได้มั้ย ซึ่งมานน์ก็บอกว่า อาจจะทัน ถ้าตัดแล้วมันมีรูปร่างใช้ได้น่ะ แล้วมานน์ก็เลยแบ่งทีมตัดต่อ กะกลางวัน กะกลางคืน สลับกันทำงานกันแบบเต็มสูบ บ้าคลั่งมาก

ติดตามอ่านเกร็ดเบื้องหลัง/รีวิวหนังในสไตล์ 'สิงห์ท้ายโปรแกรม' ได้ที่
https://www.facebook.com/TheLastShowtimeTH/
20 สิ่งเกี่ยวกับ Heat (1995) ที่คุณอาจไม่เคยรู้
1. ผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ และทีมงานหลายคนยืนยันว่า นี่คือหนังที่สร้างจากการรีเสิร์ชข้อมูลอย่างหนักหน่วง ความยอดเยี่ยมที่หลายคนชื่นชม ทีมสร้างจึงขอยกให้เป็นผลพวงจากการทำงานหนักอันอึ้ง ทั้งการไปคลุกคลีกับตำรวจ รวมถึงพวกขุนโจรในคุก
2. พื้นฐานของหนังสร้างมาจากเหตุการณ์และตัวละครที่มีอยู่จริงในชิคาโก แต่ในหนังฉากหลังของเรื่องจะเป็นเมืองลอสแองเจลิสแทน
3. ผู้กำกับอยากถ่ายทอดลอสแองเจลิสในมุมที่โมเดิร์น รวมถึงให้ความสำคัญกับเมืองในฐานะตัวละครนึง เพื่อทำความเข้าใจกับเมือง ทีมงานออกตระเวนขับรถเล่นทั่วเมืองยามค่ำคืน อีกทั้งยังขึ้นฮ.บินสำรวจ และยังคลุกวงในด้วยการออกตระเวนข่าว ไปดูจุดเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมกับสายข่าวทั่วทั้งเมือง
4. ไมเคิล มานน์พูดบ่อยๆว่า เขาคิดและขยายหนังมาจากซีนจบเรื่อง หมายความว่าเมื่อได้ตอนจบแล้ว เขาก็คิดว่าหนังต้องมันมีอะไรบ้าง เพื่อไปขีดเส้นใต้หรือขับเน้นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนจบให้ชัดและหนักแน่นขึ้น
5. ผู้กำกับออกแบบให้ตัวละครของ โรเบิร์ต เดอ นิโร เป็นพวกขุนโจรรุ่นโบราณ ที่มีวินัยสูงมาก และไม่สร้างความสัมพันธ์กับใครโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ตัวละครบินไปไหนมาไหนอย่างอิสระ ซึ่งต่างกับตัวละครลูกน้องของ วัล คิลเมอร์ ที่มีความทันสมัยกว่า เลยเป็นคนไม่ยึดกับวินัยอะไรพวกนั้น ความมันส์ก็คือ ในหนังเมื่อเดอ นิโร เจอหญิงที่เขารัก วินัยเขาก็หลุดทันที
6. ส่วนตัวละครของ อัล ปาชิโน ที่ถูกกำหนดให้เป็นเหมือนฝาแฝดของตัวละครเดอ นิโร ก็มีความเป็นนักล่าที่คิดแค่ว่าถ้ากำจัดคนร้ายได้ เขาก็จะช่วยคนธรรมดาข้างถนนได้อย่างน้อยหนึ่งคน ซึ่งสำหรับอัลเอง เขาคิดว่าตัวละครของเขามีความแตกต่างกับตัวละครเดอ นิโรอยู่นะ เป็นคนที่ไฮเปอร์กว่า เปิดเผยกว่า รวมถึงสถานการณ์ชีวิตคู่ที่สวนทางกัน คนนึงกำลังเริ่ม คนนึงกำลังพัง ซึ่งทำให้มีความสมดุลกัน
7. เอมี่ เบร็นเน็มแมน ที่เล่นเป็นหญิงคนรักของเดอ นิโร บอกว่าตอนแรกเธอปฎิเสธไม่รับเล่น เพราะอ่านบทแล้วเห็นมีแต่เลือดและกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ มานน์เลยบอก นั่นแหละ สิ่งที่ตัวละครของเธอต้องรู้สึก และพอตกลงเล่น เอมี่ก็ไปทำการบ้านเกี่ยวกับตัวละครมากมาย แต่สุดท้าย เดอ นิโร บอกเธอว่า ตัวละครเธอแค่ตกหลุมรักเท่านั้นแหละ ซึ่งเอมี่ก็เห็นด้วย
8. เอมี่อีกรอบ เธอเล่าว่าปกติเธอเป็นคนไม่ค่อยงีบหลับกลางกองถ่าย แต่เรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ ในขณะกำลังถ่ายซีนนั่งอยู่ในรถ เธอเลยขอนอนแปปนึง เพราะเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว เลยคิดว่าคงจะหยุดถ่ายแล้วล่ะ นอนได้ แต่พอถูกปลุกขึ้นมาก็เห็นรถถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ทีมงานบอกว่าลุยถ่ายต่อนะ
9. และทีมงานก็มีถ่ายซีนกลางคืนด้วยใช้ผ้าดำคลุมหรืออุปกรณ์อื่นๆอีกหลายครั้ง มีอยู่ครั้งนึง มานน์บ่นว่า "เฮ้ย นั่นมันแสงบ้าอะไรวะ มันหลุดเข้ากล้อง" แล้วทีมงานก็ตอบว่า "แสงดวงอาทิตย์ครับ"
10. ซีนที่ลือลั่นอย่างนั่งคุยกันในร้านกาแฟ หลายคนเคยคิดว่า อัลกับเดอ นิโรไม่ได้ร่วมฉากกันจริงๆ ถ่ายแยกกันแหงๆ เพราะมันไม่มีช็อตมาสเตอร์ยืนยันว่าสองคนนั่งด้วยกัน มานน์เลยบอกว่าพวกเขาถ่ายด้วยกันจริงๆ แต่ในหนังใช้ช็อตถ่ายข้ามไหล่ของแต่ละฝั่ง และที่ร้านอาหารที่ใช้ถ่าย ก็มีภาพถ่ายทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะกันติดบนผนัง ยืนยันเป็นหลักฐาน
11. ในซีนกินกาแฟ อัลคิดว่ามันควรจะต้องมีการซักซ้อมสักหน่อย แต่เดอ นิโรบอกว่า ถ่ายเลยดีกว่า ไม่ต้องซ้อมหรอก ซึ่งมานน์ก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ฟีลสด ถ้าซ้อมแล้วเดี๋ยวไม่มันส์ แต่ก็เป็นเดอ นิโรที่บ่นอุบว่าเมื่อไหร่จะถ่ายสักที เพราะอยู่มาตั้งแต่กลางวัน แต่กว่าจะถ่ายก็ดึกโข ซึ่งสาเหตุก็เพราะมานน์อยากให้ทั้งสองคนดูอ่อนล้า สรุปว่าซีนนี้ถ่ายไป 11 เทค
12. และซีนกาแฟนี้ก็เคยเกือบเป็นซีนกินทาโก้ข้างทาง ตอนนั้นมีช้อยอยู่ว่าจะเลือกให้ซีนนี้เกิดขึ้นในร้านกาแฟ หรือร้านทาโก้ที่อยู่ข้างทางดี ถ้าเอาตามซีนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งสองตัวละครเจอกันที่ถนนฟรีเวย์ ถ้าจะกินทาโก้ทางข้างแถวฟรีเวย์ ก็พอเป็นไปได้เหมือนกัน
13. อีกซีนที่เป็นตำนานไม่แพ้กันคือฉากยิงกระหน่ำกันกลางเมือง ทีมงานเตรียมพร้อมฉากนี้ด้วยการให้นักแสดงไปฝึกยิงปืนโดยจำลองตามซีนในหนัง พวกตำรวจก็ฝึกยิงแบบตำรวจ ส่วนพวกโจรก็ยิงแบบโจร
14. เสียงยิงปืนในฉากนี้ หลักๆมาจากเสียงตอนถ่ายจริง ซึ่งดังแบบค้างในอากาศนานแปดถึงสิบวิ ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นดงตึกสูง แรกสุด ทีมเสียงเอาเอฟเฟกต์เสียงปืนใส่ลงไป แต่มานน์ส่ายหัวแล้วบอกว่า มันไม่เหมือนเสียงปืนเลยว่ะ ทีมเสียงอึ้งเลย กระทั่งสุดท้ายก็มีการใช้เสียงจริง ผสมกับการมิกซ์
15. ในซีนนี้ วัล คิลเมอร์โชว์ฟอร์สดเปลี่ยนแม็คปืนกลได้ไวมาก และวัลก็ได้ยินมาว่าที่หน่วยนาวิก ตอนเทรนทหารใหม่ มีการเปิดคลิปตอนที่วัลเปลี่ยนแม็คและบอกทหารว่า "ถ้านายเปลี่ยนได้ไม่ไวพอเท่าหมอนี้ ก็ลาออกไปซะ"
16. ความยากของการถ่ายซีนกระหน่ำกลางเมือง คือทางการอนุญาตให้ถ่ายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ทีมงานเลยถ่ายซีนอื่นๆในระหว่างวีค แล้วมาทำฉากนี้กันต่อในสุดสัปดาห์ ทีนี้ มีอยู่วันนึงที่เป็นวันแม่ ข้างๆโลแถวนั้นมีร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ซึ่งมีคุณลูกพาคุณแม่และครอบครัวมาทานข้าว เลยมีวิวดูอัลกับเดอ นิโร วิ่งไล่ยิงปืนใส่กันประกอบการกินอาหาร
17. อีกซีนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือตอนไล่ล่ากันแถวรันเวย์สนามบินตอนท้ายเรื่อง ซึ่งทีมงานและนักแสดงต้องเจอเครื่องบินลำมหึมาบินข้ามหัวไปมา ซึ่งเวลามันบินผ่านทีนึง แม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่นิ่งๆ แต่ความสั่นสะเทือนก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อย เหมือนกำลังทำงานอยู่ยังไงยังงั้น
18. และทีมงานก็คุยโวว่า Heat น่าจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ได้ถ่ายบริเวณรันเวย์สนามบินแบบสโคปกว้างๆ มีทีมงานเยอะๆ เพราะปัจจุบัน พวกสนามบินต่างๆ อนุญาตให้กองถ่ายหนัง ถ่ายทำได้แค่แบบกองโจร มีทีมงานได้ไม่เกินราวๆ 20 คน
19. คริสโฟเฟอร์ โนแลน ออกตัวอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ (ถึงขั้นเคยทำซีนโจ๊กเกอร์ปล้นธนาคารใน The Dark Knight เป็นเครื่องเซ่นไหว้) โนแลนเล่าว่าตอนที่หนังกำลังจะออกฉาย เขาคิดว่า "โอว หนังเรื่องนี้รวมทีมงานเจ๋งๆไว้เยอะแฮะ แต่หนังก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าตำรวจจับผู้ร้ายแหละ" กระทั่งเขาได้อ่านบทวิจารณ์หนังซึ่งบอกว่า Heat จะเป็นหนังอเมริกันคลาสสิกรุ่นใหม่แน่นอน เขาเลยแจ้นไปดูทันทีเพื่อพิสูจน์ กระทั่งเขากลายเป็นสาวกหนังเรื่องนี้
20. พูดถึงช่วงเวลาออกฉาย ซึ่งเป็นช่วงคริสต์มาสปี 95 ในระหว่างตัดต่อ สตูดิโอก็ถามมานน์ว่า อยากให้หนังเสร็จฉายช่วงคริสต์มาสนะ ทำได้มั้ย ซึ่งมานน์ก็บอกว่า อาจจะทัน ถ้าตัดแล้วมันมีรูปร่างใช้ได้น่ะ แล้วมานน์ก็เลยแบ่งทีมตัดต่อ กะกลางวัน กะกลางคืน สลับกันทำงานกันแบบเต็มสูบ บ้าคลั่งมาก
https://www.facebook.com/TheLastShowtimeTH/