เมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อน เรามีอาการใจสั่น ตัวสั่น หายใจไม่อิ่ม เหมือนจะตายให้ได้ เราเลยไปหาหมอ แต่หมอก็วินิจฉัยว่าชีพจรเราเต้นเร็วไป เลยให้ยาแก้ใจสั่นมากิน จนเรามีอาการหดหู่ ร้องไห้ มันทรมานมากเหมือนเราไม่รู้เราเลยว่าตัวเองต้องทำอะไร มันจนหนทางไปหมด เราเลยกลับไปหาหมออีกครั้งเค้าเลยนัดจิตแพทย์ให้อีกสองอาทิตย์
ระหว่างที่รอพบจิตแพทย์ เราเหมือนเริ่มรู้ตัวเองว่าจะควบคุมอาการและหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นยังไง โชคดีที่เรามีคนอยู่ข้างๆ ที่เข้าใจเราตลอดเวลาด้วย เราเลยเริ่มอาการดีขึ้น จนเป็นปกติ ตอนแรกเราคิดอยู่ว่าจะแคนเซิลหมอดีมั้ยเพราะรู้สึกว่าเราโอเคแล้ว แต่คิดว่าลองไปดูดีกว่าเผื่อจะดีกว่านี้ หมออาจจะแนะนำเราได้มากกว่านี้
พอถึงวันพบจิตแพทย์ เราไปหาหมอตอนสี่โมงเย็น ได้เข้าห้องตรวจตอนสามทุ่มกว่าๆ เพราะเราเป็นเคสใหม่พยาบาลบอกว่าหมอจะใช้เวลาคุยนานต้องเป็นเคสสุดท้าย
พอถึงเวลาพยาบาลเรียกชื่อเราก็เข้าห้องตรวจ
หมอถามเราว่ามีอะไรให้ช่วย เราเลยอธิบายอาการที่เป็นให้หมอฟังทั้งหมด หมอก็เงียบไปพักนึงก่อนจะหันมาวาดรูปทฤษฎีกลไกร่างกายให้เราดูว่าทำไมเราถึงเกิดอาการเหมือนตื่นตระหนก ประมาณว่าถ้าเรามีเรื่องฝังใจในอดีต พอเราหวนกลับมาอยู่ในสถานการณ์เดิมก็จะมีอาการแบบนี้
หมอเลยถามว่าตอนเรามีอาการเราเครียดมั้ย เราก็บอกว่าตอนนั้นเราไม่ได้เครียดอะไรเลย แต่เราเป็นคนค่อนข้างย้ำคิดย้ำทำ คิดมากแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
หมอเขียนคำว่า’โรคตื่นตระหนก’ บนกระดาษแล้วให้เราอ่านสามรอบ ก่อนจะจบการอธิบายทฤษฎีด้วยการถามว่าเรารู้สึกยังไง พอเรากำลังจะอ้าปากตอบ หมอก็พูดขึ้นมาว่า ‘อย่าตอบนอกเรื่องล่ะ รีบๆ หน่อย บ้านหมอไกล จะรีบกลับบ้าน’ แล้วก็วนดูนาฬิกาข้อมืออยู่แบบนั้น
เราก็แบบ... เอาจริงๆ ตอนนั้นคือไม่รู้ว่าจะตอบว่าไงดี อาจเป็นเพราะเราหายจากอาการนั้นไปแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไรก็ได้
แต่เราก็ตอบไปว่า ‘โล่งใจค่ะ ที่จะรักษาหาย’
หมอก็ถามกลับว่า ‘คุณฟังมาตั้งนานตอบได้แค่นี้เหรอ’
เราก็แบบมันนึกไม่ออกจริงๆ อารมณ์ตอนนี้เหมือนต้องตอบคำถามอาจารย์ปกครองเลย หมอดุมากเลยค่ะ
เราเลยตอบไปอีกว่า ‘รู้สาเหตุแล้วว่าเป็นเพราะอะไร จะได้หลีกเลี่ยง พยายามไม่ให้เป็นค่ะ’
หมอก็สวนเรากลับว่า ‘ตอบไม่ถูก คุณไม่รู้สึกโล่งใจเลยเหรอ’
เราก็บอกว่าเราพูดไปแล้วว่าโล่งใจ
หมอก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินที่คุณพูดเลย
คือตอนนั้นเราค่อนข้างติดลบ กับหมอไปแล้ว ระหว่างนั้นพอเราถามอะไรกลับไป เช่นเรื่องนอนไม่หลับ ควรจะแก้ไขยังไง แต่หมอก็ถอนหายใจใส่เราแล้วเอาปากกาชี้คำว่า ‘โรคตื่นตระหนก’ ให้เราอ่านอีกสามรอบ แล้วก็พูดว่าต้องกินยาอย่างเดียว
เอาจริงๆ เราไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรจะเล่าหรือระบายให้หมอฟังเลย แค่จะถามว่าจะหลีกเลี่ยงแบบไหน เหมือนขอคำแนะนำเท่านั้น
แต่พอถามอะไรหมอก็ถอนหายใจแล้วก็ให้เราอ่านซ้ำว่า ‘ต้องกินยา เราเป็นโรคตื่นตระหนก’ ตลอดการตรวจ
แล้วหมอก็ก้มหน้าเขียนอะไรยิกๆ พร้อมกับถามเราว่า ‘ปกติคุณเป็นคนแบบนี้หรอ หน้าเชิด หยิ่ง มองเหยียดคนอื่นเเบบนี้เหรอ’
เราก็แบบงงๆ ว่าเราไม่ได้ทำแบบนั้นนะ แต่เราแค่ไม่ได้ยิ้ม ปกติเวลาเราอยู่กับเพื่อนหรือคนรู้จักเราค่อนข้างจะบ้าๆ ไปเลย ไม่คิดว่าหมอจะถามมาแบบนี้
เราเลยตอบไปว่า ‘ถ้าอยู่กับคนไม่รู้จักหรือไม่สนิทอาจจะเป็นค่ะ’ เพราะเราก็ไม่รู้ตัวว่าเรามองเหยียดหรือหยิ่งอะไร ไม่เคยมีใครทักเราเลย
คราวนี้หมอเลยขึ้นเสียงดังเลยว่า ‘แล้วนี่คุณกับหมอรู้จักกันหรือยัง หมอไม่ใช่คนรู้จักคุณ ไม่ใช่ญาติด้วย แต่หมอมาช่วยเหลือคุณทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติเนี่ย เรารู้จักกันหรือยัง หมอจะบอกว่าคุณเป็นโรคตื่นตระหนกแล้วจ่ายยาให้กลับบ้านไปเลยก็ได้’ คืออยู่หมอก็เสียงดังขึ้นมา เราเลยรีบพยักหน้าเพราะกลัวหมอสุดๆ
จบลงด้วยการที่เราได้ยามากิน พอออกมาจากห้องตรวจแฟนเราถามว่า ‘ทำไมก่อนเข้าไปกับหลังเข้าไปแตกต่างกันเลย’ เพราะก่อนจะมาหาหมอเราร่าเริง ปกติเลย แต่พอหลังออกจากห้องตรวจเราซึมไปเลย เราออกมาร้องไห้ข้างนอกห้อง ในหัวมีแต่หน้าหมอกับคำว่าโรคตื่นตระหนกที่หมอให้พูดเป็นสิบรอบซ้ำไปมา จากที่เราปกติดี เรากลับมาบ้านเอาแต่ร้องไห้ เหมือนคำพูดของหมอวนเวียนในหัวตลอด
เราไม่รู้เลยค่ะว่าที่หมอทำคือปกติของจิตแพทย์มั้ย แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยโอเค เรารู้ว่าหมอก็คนแหละ บ้านไกลต้องรีบกลับก็เข้าใจอยู่ แต่การแสดงออก คำพูดหลายๆ อย่างมันเหมือนฝังใจเราไปเลย เดือนหน้าหมอนัดติดตามอาการอีก เอาจริงๆ เราอยากเปลี่ยนหมอ แต่ไม่รู้ว่าจะเสียมารยาทอะไรมั้ย
เพื่อนๆ ที่เคยพบจิตแพทย์ มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ
เมื่อฉันพบจิตเเพทย์
ระหว่างที่รอพบจิตแพทย์ เราเหมือนเริ่มรู้ตัวเองว่าจะควบคุมอาการและหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นยังไง โชคดีที่เรามีคนอยู่ข้างๆ ที่เข้าใจเราตลอดเวลาด้วย เราเลยเริ่มอาการดีขึ้น จนเป็นปกติ ตอนแรกเราคิดอยู่ว่าจะแคนเซิลหมอดีมั้ยเพราะรู้สึกว่าเราโอเคแล้ว แต่คิดว่าลองไปดูดีกว่าเผื่อจะดีกว่านี้ หมออาจจะแนะนำเราได้มากกว่านี้
พอถึงวันพบจิตแพทย์ เราไปหาหมอตอนสี่โมงเย็น ได้เข้าห้องตรวจตอนสามทุ่มกว่าๆ เพราะเราเป็นเคสใหม่พยาบาลบอกว่าหมอจะใช้เวลาคุยนานต้องเป็นเคสสุดท้าย
พอถึงเวลาพยาบาลเรียกชื่อเราก็เข้าห้องตรวจ
หมอถามเราว่ามีอะไรให้ช่วย เราเลยอธิบายอาการที่เป็นให้หมอฟังทั้งหมด หมอก็เงียบไปพักนึงก่อนจะหันมาวาดรูปทฤษฎีกลไกร่างกายให้เราดูว่าทำไมเราถึงเกิดอาการเหมือนตื่นตระหนก ประมาณว่าถ้าเรามีเรื่องฝังใจในอดีต พอเราหวนกลับมาอยู่ในสถานการณ์เดิมก็จะมีอาการแบบนี้
หมอเลยถามว่าตอนเรามีอาการเราเครียดมั้ย เราก็บอกว่าตอนนั้นเราไม่ได้เครียดอะไรเลย แต่เราเป็นคนค่อนข้างย้ำคิดย้ำทำ คิดมากแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
หมอเขียนคำว่า’โรคตื่นตระหนก’ บนกระดาษแล้วให้เราอ่านสามรอบ ก่อนจะจบการอธิบายทฤษฎีด้วยการถามว่าเรารู้สึกยังไง พอเรากำลังจะอ้าปากตอบ หมอก็พูดขึ้นมาว่า ‘อย่าตอบนอกเรื่องล่ะ รีบๆ หน่อย บ้านหมอไกล จะรีบกลับบ้าน’ แล้วก็วนดูนาฬิกาข้อมืออยู่แบบนั้น
เราก็แบบ... เอาจริงๆ ตอนนั้นคือไม่รู้ว่าจะตอบว่าไงดี อาจเป็นเพราะเราหายจากอาการนั้นไปแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไรก็ได้
แต่เราก็ตอบไปว่า ‘โล่งใจค่ะ ที่จะรักษาหาย’
หมอก็ถามกลับว่า ‘คุณฟังมาตั้งนานตอบได้แค่นี้เหรอ’
เราก็แบบมันนึกไม่ออกจริงๆ อารมณ์ตอนนี้เหมือนต้องตอบคำถามอาจารย์ปกครองเลย หมอดุมากเลยค่ะ
เราเลยตอบไปอีกว่า ‘รู้สาเหตุแล้วว่าเป็นเพราะอะไร จะได้หลีกเลี่ยง พยายามไม่ให้เป็นค่ะ’
หมอก็สวนเรากลับว่า ‘ตอบไม่ถูก คุณไม่รู้สึกโล่งใจเลยเหรอ’
เราก็บอกว่าเราพูดไปแล้วว่าโล่งใจ
หมอก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินที่คุณพูดเลย
คือตอนนั้นเราค่อนข้างติดลบ กับหมอไปแล้ว ระหว่างนั้นพอเราถามอะไรกลับไป เช่นเรื่องนอนไม่หลับ ควรจะแก้ไขยังไง แต่หมอก็ถอนหายใจใส่เราแล้วเอาปากกาชี้คำว่า ‘โรคตื่นตระหนก’ ให้เราอ่านอีกสามรอบ แล้วก็พูดว่าต้องกินยาอย่างเดียว
เอาจริงๆ เราไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรจะเล่าหรือระบายให้หมอฟังเลย แค่จะถามว่าจะหลีกเลี่ยงแบบไหน เหมือนขอคำแนะนำเท่านั้น
แต่พอถามอะไรหมอก็ถอนหายใจแล้วก็ให้เราอ่านซ้ำว่า ‘ต้องกินยา เราเป็นโรคตื่นตระหนก’ ตลอดการตรวจ
แล้วหมอก็ก้มหน้าเขียนอะไรยิกๆ พร้อมกับถามเราว่า ‘ปกติคุณเป็นคนแบบนี้หรอ หน้าเชิด หยิ่ง มองเหยียดคนอื่นเเบบนี้เหรอ’
เราก็แบบงงๆ ว่าเราไม่ได้ทำแบบนั้นนะ แต่เราแค่ไม่ได้ยิ้ม ปกติเวลาเราอยู่กับเพื่อนหรือคนรู้จักเราค่อนข้างจะบ้าๆ ไปเลย ไม่คิดว่าหมอจะถามมาแบบนี้
เราเลยตอบไปว่า ‘ถ้าอยู่กับคนไม่รู้จักหรือไม่สนิทอาจจะเป็นค่ะ’ เพราะเราก็ไม่รู้ตัวว่าเรามองเหยียดหรือหยิ่งอะไร ไม่เคยมีใครทักเราเลย
คราวนี้หมอเลยขึ้นเสียงดังเลยว่า ‘แล้วนี่คุณกับหมอรู้จักกันหรือยัง หมอไม่ใช่คนรู้จักคุณ ไม่ใช่ญาติด้วย แต่หมอมาช่วยเหลือคุณทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติเนี่ย เรารู้จักกันหรือยัง หมอจะบอกว่าคุณเป็นโรคตื่นตระหนกแล้วจ่ายยาให้กลับบ้านไปเลยก็ได้’ คืออยู่หมอก็เสียงดังขึ้นมา เราเลยรีบพยักหน้าเพราะกลัวหมอสุดๆ
จบลงด้วยการที่เราได้ยามากิน พอออกมาจากห้องตรวจแฟนเราถามว่า ‘ทำไมก่อนเข้าไปกับหลังเข้าไปแตกต่างกันเลย’ เพราะก่อนจะมาหาหมอเราร่าเริง ปกติเลย แต่พอหลังออกจากห้องตรวจเราซึมไปเลย เราออกมาร้องไห้ข้างนอกห้อง ในหัวมีแต่หน้าหมอกับคำว่าโรคตื่นตระหนกที่หมอให้พูดเป็นสิบรอบซ้ำไปมา จากที่เราปกติดี เรากลับมาบ้านเอาแต่ร้องไห้ เหมือนคำพูดของหมอวนเวียนในหัวตลอด
เราไม่รู้เลยค่ะว่าที่หมอทำคือปกติของจิตแพทย์มั้ย แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยโอเค เรารู้ว่าหมอก็คนแหละ บ้านไกลต้องรีบกลับก็เข้าใจอยู่ แต่การแสดงออก คำพูดหลายๆ อย่างมันเหมือนฝังใจเราไปเลย เดือนหน้าหมอนัดติดตามอาการอีก เอาจริงๆ เราอยากเปลี่ยนหมอ แต่ไม่รู้ว่าจะเสียมารยาทอะไรมั้ย
เพื่อนๆ ที่เคยพบจิตแพทย์ มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ