#ความรู้สึกหลังชม #GreenBook #2018 #แบบไม่สปอย #Oscars #smwo
Green Book (2018) คะแนน 9/10
***หมายเหตุเกณฑ์การให้คะแนนไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เขียนล้วนๆ หากจะถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์การให้คะแนนนั่นก็คือตัวผู้เขียนนั่นเองจอบอ.
#เกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง
อื้อหือ ไม่ได้ดูหนังที่อบอุ่นหัวใจแบบนี้มานานแล้ว มันจะมีหนังซักกี่เรื่องที่ไม่มีอะไรนอกจากบทกับบทล้วนๆที่ทำให้เราคนดูชอบได้ขนาดนี้ และผมว่า Green Book ทำได้ ทำได้ดีซะด้วย ก็ไม่คิดว่าหนังมันจะดีขนาดนี้จากที่เห็นภาพปกบวกกับคะแนนรวมๆเมื่อปีที่แล้ว ขนาดเรื่องย่อยังลืมเลย นึกว่าพี่มืด(ผิวสี) จะเป็นคนขับรถ แหม่ ขนาดเรื่องย่อที่ผมจำได้ตรงกับคอนเซ็ปต์ของหนังจริงๆ กับอีกอย่างที่เขาเล่าลือกันว่าดูแล้วอยากกินไก่ทอด ใช่ มันก็อยากกินไก่ทอดจริงๆด้วยๆ 555+
#เรื่องย่อ
Green Book (2018) จะเล่าเรื่องราวในปี 1962 ปีที่เรื่องของความเท่าเทียม อย่าว่าแต่ชายหญิงหรือเพศสภาพเลย แค่สีผิวต่างกันก็เป็นเรื่องได้ เรื่องเริ่มจาก Tony Lip (Viggo Mortensen) ที่ต้องไปเป็นคนขับรถให้กับ Dr. Donald Shirley (Mahershala Ali) ชายผิวสีนักดนตรีผู้เล่นเปียโนชื่อดัง ที่ต้องตะเวนไปเล่นเปียโนทั่วประเทศเป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันในที่สุด
#ความประทับใจ
แหม่ มันสุดยอดจริงๆกับหนังอบอุ่นหัวใจแบบนี้ จำไม่ได้แล้วกับหนังเรื่องล่าสุดที่เคยทำไว้ แต่ Green Book ก็ทำได้ และมันงดงามจริงๆกับมิตรภาพที่เกิดขึ้น และหลังจากดูจบผมก็คิดว่าเราคงได้อะไรหลายๆอย่างไปในหนัง ซึ่งถ้าหากดูพากย์ไทย บทพากย์บทพูดบางประโยคมันก็คงเขียนเป็นคำคมตามเพจต่างๆได้ไม่ยาก
ในด้านงานภาพคงไม่ต้องคอมเมนต์อะไรมากนักเพราะมันเน้นแต่ความเรียล บรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นในหนังมันดูจริงๆขึงขังและดึงเราเข้าไปในนั้นได้ไม่ยาก ส่วนการแสดง ก็ต้องบอกว่าทั้งสองคนทำได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะตัวของ Mahershala Ali ที่ได้รับรางวัลออสก้าตัวล่าสุดในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งมันก็สมทบยอดเยี่ยมจริงแย่งชิงบทของตัวเอกอย่าง Viggo Mortensen ได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ถ้าถามผมว่าชอบการแสดงของใครมากกว่ากัน ก็ต้องบอกว่ามันชอบมากกว่ากันไม่ได้ เพราะทั้งสองเล่นเข้ากันได้ดีมากๆ และคงไม่อาจแยกการแสดงออกจากกัน แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่มันได้รางวัลเยอะแล้วละมั้งเลยต้องแบ่งให้คนอื่นบ้าง 555+ ก็พูดไป ทั้งๆที่ Bohemian Rhapsody กับ Roma ผมก็ยังไม่ได้ดู ก็แน่ละหนังหนักๆแบบนี้ถ้าต้องดูทุกวันคงเครียดตายแน่ๆ
#สรุป
Green Book (2018) เป็นหนังที่ดีมากๆ แต่ที่หักไปคะแนนนึงก็เพราะว่ามันยังขาดจุดพีคมากกว่านี้ คงเป็นเพราะผมเป็นพวกโรคจิตชอบเจ็บๆละมั้งมันเลยยังไม่โดนใจมากนัก แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเยี่ยมและสมกับรางวัลทุกรางวัลที่ได้รับจริงๆสำหรับ Green Book (2018) และต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาในการดูซักนิด หนังเรื่องนี้ใช้อารมณ์เวลา ความรู้สึกในการดูมากๆ ถ้าคิดจะดูขำๆก็อาจมีบางอย่างที่เราพลาดไป เพราะฉะนั้นก่อนดูควรทำหัวให้ว่างวางอติทุกอย่างก่อนดู แล้วหนังมันจะสนุกมากๆ จนอยากกินไก่ทอดเลยล่ะ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณครับ
ขอจบการบรรยาย #ความรู้สึกหลังดู Green Book (2018) ไว้เพียงเท่านี้หากมีคำผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดประการณ์ใดขออภัยมาไว้ที่นี้หรือหากใครต้องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้ที่ด้านล่าง หรือหากผมเข้าใจเรื่องราวใดในเรื่องผิดไปก็สามารถติชมได้ด้านล่าง สุดท้ายนี้ขอบอกว่า ใช้ชีวิตให้มีสติและมีสติเมื่ออยู่กับคนที่เรารัก เพราะเวลามีค่า ควรใช้เวลากับคนที่เรารัก ขอบคุณที่สละเวลาในการอ่านมาจนถึงจุดนี้ หากท่านไม่อยากเสียเวลาในการทำสิ่งใดๆก็จงจำไว้ไม่แน่ผมอาจเคยทำมาแล้ว อยากให้ท่านมาเสพข้อมูลจากผมได้ที่นี่ ที่เพจ “โลกแคบ”ขอบคุณครับ
***ฝากแฟนเพจ โลกแคบ ของผมด้วยครับ จะเป็นเพจที่เป็นความรู้สึกของผมกับหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องภาพยตร์ การ์ตูน ซี่รี่ หรือเรื่องต่างๆที่ผมเคยรับชม จะพยายามแสดงออกมาตามที่ผมเข้าใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองที่สุด ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/โลกแคบ-2180885415324096
#ความรู้สึกหลังชม #GreenBook #2018 #แบบไม่สปอย #Oscars #smwo
Green Book (2018) คะแนน 9/10
***หมายเหตุเกณฑ์การให้คะแนนไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เขียนล้วนๆ หากจะถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์การให้คะแนนนั่นก็คือตัวผู้เขียนนั่นเองจอบอ.
#เกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง
อื้อหือ ไม่ได้ดูหนังที่อบอุ่นหัวใจแบบนี้มานานแล้ว มันจะมีหนังซักกี่เรื่องที่ไม่มีอะไรนอกจากบทกับบทล้วนๆที่ทำให้เราคนดูชอบได้ขนาดนี้ และผมว่า Green Book ทำได้ ทำได้ดีซะด้วย ก็ไม่คิดว่าหนังมันจะดีขนาดนี้จากที่เห็นภาพปกบวกกับคะแนนรวมๆเมื่อปีที่แล้ว ขนาดเรื่องย่อยังลืมเลย นึกว่าพี่มืด(ผิวสี) จะเป็นคนขับรถ แหม่ ขนาดเรื่องย่อที่ผมจำได้ตรงกับคอนเซ็ปต์ของหนังจริงๆ กับอีกอย่างที่เขาเล่าลือกันว่าดูแล้วอยากกินไก่ทอด ใช่ มันก็อยากกินไก่ทอดจริงๆด้วยๆ 555+
#เรื่องย่อ
Green Book (2018) จะเล่าเรื่องราวในปี 1962 ปีที่เรื่องของความเท่าเทียม อย่าว่าแต่ชายหญิงหรือเพศสภาพเลย แค่สีผิวต่างกันก็เป็นเรื่องได้ เรื่องเริ่มจาก Tony Lip (Viggo Mortensen) ที่ต้องไปเป็นคนขับรถให้กับ Dr. Donald Shirley (Mahershala Ali) ชายผิวสีนักดนตรีผู้เล่นเปียโนชื่อดัง ที่ต้องตะเวนไปเล่นเปียโนทั่วประเทศเป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันในที่สุด
#ความประทับใจ
แหม่ มันสุดยอดจริงๆกับหนังอบอุ่นหัวใจแบบนี้ จำไม่ได้แล้วกับหนังเรื่องล่าสุดที่เคยทำไว้ แต่ Green Book ก็ทำได้ และมันงดงามจริงๆกับมิตรภาพที่เกิดขึ้น และหลังจากดูจบผมก็คิดว่าเราคงได้อะไรหลายๆอย่างไปในหนัง ซึ่งถ้าหากดูพากย์ไทย บทพากย์บทพูดบางประโยคมันก็คงเขียนเป็นคำคมตามเพจต่างๆได้ไม่ยาก
ในด้านงานภาพคงไม่ต้องคอมเมนต์อะไรมากนักเพราะมันเน้นแต่ความเรียล บรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นในหนังมันดูจริงๆขึงขังและดึงเราเข้าไปในนั้นได้ไม่ยาก ส่วนการแสดง ก็ต้องบอกว่าทั้งสองคนทำได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะตัวของ Mahershala Ali ที่ได้รับรางวัลออสก้าตัวล่าสุดในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งมันก็สมทบยอดเยี่ยมจริงแย่งชิงบทของตัวเอกอย่าง Viggo Mortensen ได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ถ้าถามผมว่าชอบการแสดงของใครมากกว่ากัน ก็ต้องบอกว่ามันชอบมากกว่ากันไม่ได้ เพราะทั้งสองเล่นเข้ากันได้ดีมากๆ และคงไม่อาจแยกการแสดงออกจากกัน แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่มันได้รางวัลเยอะแล้วละมั้งเลยต้องแบ่งให้คนอื่นบ้าง 555+ ก็พูดไป ทั้งๆที่ Bohemian Rhapsody กับ Roma ผมก็ยังไม่ได้ดู ก็แน่ละหนังหนักๆแบบนี้ถ้าต้องดูทุกวันคงเครียดตายแน่ๆ
#สรุป
Green Book (2018) เป็นหนังที่ดีมากๆ แต่ที่หักไปคะแนนนึงก็เพราะว่ามันยังขาดจุดพีคมากกว่านี้ คงเป็นเพราะผมเป็นพวกโรคจิตชอบเจ็บๆละมั้งมันเลยยังไม่โดนใจมากนัก แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเยี่ยมและสมกับรางวัลทุกรางวัลที่ได้รับจริงๆสำหรับ Green Book (2018) และต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาในการดูซักนิด หนังเรื่องนี้ใช้อารมณ์เวลา ความรู้สึกในการดูมากๆ ถ้าคิดจะดูขำๆก็อาจมีบางอย่างที่เราพลาดไป เพราะฉะนั้นก่อนดูควรทำหัวให้ว่างวางอติทุกอย่างก่อนดู แล้วหนังมันจะสนุกมากๆ จนอยากกินไก่ทอดเลยล่ะ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณครับ
ขอจบการบรรยาย #ความรู้สึกหลังดู Green Book (2018) ไว้เพียงเท่านี้หากมีคำผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดประการณ์ใดขออภัยมาไว้ที่นี้หรือหากใครต้องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้ที่ด้านล่าง หรือหากผมเข้าใจเรื่องราวใดในเรื่องผิดไปก็สามารถติชมได้ด้านล่าง สุดท้ายนี้ขอบอกว่า ใช้ชีวิตให้มีสติและมีสติเมื่ออยู่กับคนที่เรารัก เพราะเวลามีค่า ควรใช้เวลากับคนที่เรารัก ขอบคุณที่สละเวลาในการอ่านมาจนถึงจุดนี้ หากท่านไม่อยากเสียเวลาในการทำสิ่งใดๆก็จงจำไว้ไม่แน่ผมอาจเคยทำมาแล้ว อยากให้ท่านมาเสพข้อมูลจากผมได้ที่นี่ ที่เพจ “โลกแคบ”ขอบคุณครับ
***ฝากแฟนเพจ โลกแคบ ของผมด้วยครับ จะเป็นเพจที่เป็นความรู้สึกของผมกับหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องภาพยตร์ การ์ตูน ซี่รี่ หรือเรื่องต่างๆที่ผมเคยรับชม จะพยายามแสดงออกมาตามที่ผมเข้าใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองที่สุด ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/โลกแคบ-2180885415324096