อนึ่งต้องขอบอกก่อนว่า ก่อนจะมาเชียร์ทีมชาติไทยจนกว่าจะรู้ตัวว่า ตัวเองเลิกดูบอลต่างชาติ มาเชียร์นักเตะทีมชาติไทย จนมารู้ตัวอีกที ก็ลืมฮอลแลนด์ ที่ตนเองตามเชียร์มามากกว่า 20ปี พอควร
ผมชอบ เดนิส เบิร์กแคมป์มากๆ เหตุผลของความชอบคงสาธยายไม่หมด รวมถึง นักเตะอัศวินสีส้มยุคก่อนๆ อีกหลายคน จนถ่ายเลือดใหม่ เป็นโทท่อล ฟุตบอล แบบ ยุคอัลฟ่า ในปัจจุบัน ที่มี แฟนงกี้
เดยอง นักเตะทักษะสูง ของบาซ่าที่เพิ่งซื้อไป และช่วยให้ฮอลแลนด์ ของผมกลับมามีความหวัง ใหม่อีกครั้ง
เอ้ะ แล้วที่ผมจั่วหัวว่า ทีมชาติไทย จะไปเกี่ยวอะไรกับ ทีมชาติ ฮอลแลนด์ ได้ล่ะ แทบจะหาจุดเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย แต่ในมุมมองของกองเชียร์ ที่ตามกลับไปดู คลิป บันทึก ยันยุค โยฮัน ครัฟฟ์ ในปี 1974 จนถึง ปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกอยากแชร์ มุมมอง ของแฟนบอล ที่จามเชียร์ กับหันลมมาอย่างยาวนาน และ คิดว่าตนเองมองเห็น เงาที่คล้ายคลึง ในมุมมองส่วนตัวของผม ในทีมชาติไทย ปัจจุบัน
เรื่องแรกเลย ที่ผมคิดว่าความรู้สึกผมล่าสุดยิ่งเด่นชัดขึ้นว่าคล้าย คือ ระบบ วิธีการเล่น ที่ทีมชาติไทยเล่น รวมถึงคุณลักษณะของนักเตะไทยที่ มี ในยุค อากิระ นิชิโนะ ในแมตช์เจอเวียดนาม รวมถึง ความผิดหวังบนความสวยงามนั่นเอง
หลังจากผมฟังคลิป โค้ช ธงชัย สุโกกี วิเคราะห์ แผนการเล่นแมตช์ที่ทีมชาติไทย เจอเวียดนามล่าสุด สิ่งแรกที่ทำให้ผมนึกถึง อัศวิน สีส้ม คือ การใช้ผู้เล่นริมเส้นเจาะ และ ความสามารถเฉพาะตัว โดยแฝงการโนเตชั่น ในคราบ 4-3-3 บางเวลา
ลองนึกภาพ สมัยที่ฮอลแลนด์ มี มาร์ค โอเวอมาร์ส จรวดทางเรียบ ตีคู่กับ เบาเดอไวนจ์ เซนเด้น โดยมีหน้าเป้าเป็น พาทริค ไคลเวิร์ต พ่อของ จัสติน ไคลเวิร์ต ที่มีลีลาการเล่น ที่ ไปกับบอลได้ดี แต่คุณพ่อ คือ หน้าเป้า เข้าฮอส
ยุคนั้นเป็นยุคที่ผมเชียร์ฮอลแลนด์ ก็ใจสั่นและผิดหวังบ่อยๆ เหมือนที่ผม ใจตกไปตาตุ่ม วันที่ไทยแพ้ หรือ ผิดหวังเช่นกันละครับ
โดยสมัยนั้น ฮอลแลนด์มีการเจาะริมเส้นที่ หวือหวา คล้ายที่มี อาเยน ร้อบเบ้นนี่ละ แต่ มักโดนสวนกลับมา และ พลาดท่าแพ้บ่อยๆ ที่ แพ้ทางบ่อยสุด คือ บอลตั้งรับ และ สวนกลับ หรือ บอลที่ มีวินัยสูงๆ และ เน้นความแข็งแกร่ง เช่น เยอรมัน อิตาลี สาธารณรัฐเชค เป็นต้น
เพราะฮอลแลนด์ คือ ทีมรวมดารา ที่ หลายคน รวมถึงสำนักข่าว หลายครั้งให้ว่า เป็นต่ออยู่ผระจำ ด้วยเปอร์เซนต์การครองบอลที่มาก การบุกที่สวยงาม และ นีกเตะมีคาแรคเตอร์ หรือ จุดขายที่โดดเด่น
แต่มันก็กลับไม่ได้ทำให้ ฮอลแลนด์ สมหวังอะไรเป็นชิ้นอัน ตั้งแต่ปี 1988 ยุคสามทหารเสือ ได้แชมป์ยุโรปมาครองเป็นแชมป์สุดท้าย ที่เหลือ คือ การเป็นรองแชมป์โลก และ ที่สาม ในบอลโลกครั้งหลังๆ
เชื่อไหมครับ ภาพในหัวผม ถึงทีมชาติไทย กับ ฮอลแลนด์ อาจจะใีนักเตะที่ทักษะต่างกัน หลายคนอาจจะบอกว่า เอาไปเทียบได้ไง มันคนละเรื่อง แต่ ลองอ่านอีกสักนิด ผมคิดว่ามันพอจะมีส่วนคบ้ายหลายประเด็น
ฮอลแลนด์ สมัยนั้นมักแพ้เกมส์เพรสซิ่ง แม้กนะทั่ง เอ็ดก้า ดาวิดส์ ที่ว่าเป็นจอมบู๊ ก็มักเกิดอาการรนหลายครั้งที่โดนบีบ และ สิ่งที่ฮอลแลนด์มักทำคือ การส่งบอลคืนสู่ผู้รักษาประตู และ ถ่ายบอลไปมา เป็นที่มาของเปอร์เซนต์การครองบอลที่สูง แต่....มันกลับทำให้ฮอลแลนด์ อึดอัดเอง รวมถึง การบุกที่มักพึ่งการเลี้ยงของตัวริมเส้น ซึ่งถ้าวันไหน แผลงฤทธ์ ไม่ออก วันนั้น กังหันลมของผม แทบจะหมดมุข เพราะ ตัวริมเส้น สามารถเลี้ยงไปครอส ไปตัดในยิง ไปตัวต่อตัวผู้รักษาประตู และ ยิ่งฮอลแลนด์ เป็น ทีมศิลปินสวยงาม ก็มักแพ้ทีมที่มีการเบียดปะทะ ถึงลูกถึงคน หรือ อาจมีตุกติกมากกว่า เช่นอิตาลี รวมถึง สำหรับระดับโลก ฮอลแลนด์ ก็มีตัวที่ ไม่ได้เป็นซุปตาร์เท่าบางคนอีกหลายตัว และ หลายครั้ง เกมส์จึงตื้อ และโดนบด หรือ สวนจนแพ้ในที่สุด
สิ่งที่ผมจะสื่อก็เพียงเท่านี้ ในวันนี้ ว่าบางครั้ง ระดับบอลถึงจะแตกต่างกัน แต่ เอาเข้าจริงๆทุกทีมในโบก มักจะมีปัญหา พื้นฐานไม่ต่างกัน ด้วย วัฒนธรรม อุปนิสัยก็ส่วนหนึ่ง การเล่นของลีคตนเองก็ส่วนหนึ่ง ไสตล์ส่วนบุคคลก็ส่วนหนึ่ง
บางครั้งมันก็เหมือน ค้อน กรรไกร กระดาษ ไม่ไดมีไสตล์ไหนดีที่สุด ทีมนี้เจอทีมไสตล์นี้แพ้ยับ ไปเจออีกทีม กลับกินนิ่ม ทั้งไอ้ทีมนั้นมันกินนิ่ม ทีมที่เราบอกว่ายาก เอ้ะ ...แต่ทำไมตูชนะเมิงง่ายจัง แต่เมืงกลับไปขยี้ทีมที่ เล่นกูซะอ่วมยังกับขนม
สุดท้าย แยากบอกอีกนิดว่า สิ่งที่น่าดีใจ แบะ เห็นได้ชัดคือ วันนี้ ทีมชาติไทย ได้มีวิธีการเล่นที่ทันสมัย เป็นสากลมากขึ้น มีความพยายามเข้าสู่ระบบระเบียบ แบบ มีแบบแผนมากขึ้น เช่น การให้ ธรบูร์ เป็น DMF ในรูปแบบ 4-4-2 ไดม่อน แต่เมื่อรับบางครั้ง ถอย ธนบูรณ์ ลงมา เป็น เซนเตอร์ตัวกลาง และ ธนบูรณ์ ก็เล่นได้จริงเพราะเล่นอยู่แล้วตามแท้คติคเสียด้วย แล้ว ถ่าง พรรษา กับ ทอมเบียร์ ไปเป็น เซนเตอร์ ซ้าย และ ขวา หรือ หลังสาม ตามที่โค้ชธงบอก ทีนี้ ธีรทร ก็บุกได้มากขึ้น โดย ดันไปเป็น วิงแบ้ค สลับ ออกริมเส้น กับ พิธิวัชญ์
หมายความว่าหลังจากนี้ อากีระ นิชิโนะ มีไอ้ฝเดียในการปรุงอาหารใหม่ๆ แนวคิดหลากหบาย แบบ เชฟกะทะเหล็ก เหลือ เพียวแต่วัตถุดิบ ทำตัวให้สุกงอมพร้อมการปรุงแค่ไหน และ ระยะเวลาคละเคล้าให้รสกลมกล่อม จะทำได้มากเพียงใด แค่นั้นเองครับ แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอวอน ให้สมาคมที่แสดงเจตนารมณ์ ตั้งเป้าถึงขั้นบอลโลก อย่าลืม ใส่ใจรายละเอียด และ เริ่มต้นที่การสนับสนุนลงทุน กะทะสำหรับปรุง หรือ สนามแข่วให้ได้มาตรฐานก่อน ซื้อพลาสติคสักแผ่นมาซีลให้กะทะไม่เปียกเพื่อให้ คนชิมได้เต็มอรรถรส แบะ ไม่คาใจว่า ความแฉะในอาหารที่ปรุง มาจากความตั้งใจของเชฟจริงๆ ไม่ใช่เพราะกะทะเปียก จึงทำมห้รสผิดเพี้ยนไป ถ้าคิดจะเอาถึงขั้นเชฟกะทะเหล็ก เชฟพร้อม วัตถุดิบกำลังบ่มเพาะ ต่อให้สองอย่างนี้ดีแค่ไหน กะทะไม่พร้อม จะไปเป็นแชมป์ได้อย่างไร
มีทั้งเรื่องที่น่ายินดี และ แคลงใจ ยังไงก็เชียร์ครับ
แมตช์อินโด ขอให้บอลสนุก และ กะทะไม่ไหม้นะ ผมกลัว วัตถุดิบดีดีเสียหายหมด ^.^
กังหันลม สมัยนั้นชอบแพ้ทีมแนว ตีหัวเข้าบ้าน หรือ คาเตนัคโช่ ประจำ คือ ทีมที่ตั้งรับแน่น และ รอสวน แล้วเวลาสวน ใช้ความแม่นยำ กับ ตัวผู้เล่นไม่กี่คน สร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่ฮอลแลนด์ เสียไปจากการดันเกมส์บุก เพราะต้องเอาตัวผู้เบ่นที่มากขึ้น ไปช่วยเจาะแนวรับฝั่งตรงข้าม ผม มีความรู้สึกว่า ทีมชาติไทยมีความชัดเจนในวิธีการเล่นมากขึ้น และ ทำให้เห็นว่า เรามักจะแพ้ทางบอลไสตล์ไหนครับ ยังไงก็แค่ความเห็นส่วนตัว ยังไงก็แชร์กัน และ เป็นมิตรกันนะครับ
ว่าด้วยทีมชาติไทยและ ฮอลแลนด์
ผมชอบ เดนิส เบิร์กแคมป์มากๆ เหตุผลของความชอบคงสาธยายไม่หมด รวมถึง นักเตะอัศวินสีส้มยุคก่อนๆ อีกหลายคน จนถ่ายเลือดใหม่ เป็นโทท่อล ฟุตบอล แบบ ยุคอัลฟ่า ในปัจจุบัน ที่มี แฟนงกี้
เดยอง นักเตะทักษะสูง ของบาซ่าที่เพิ่งซื้อไป และช่วยให้ฮอลแลนด์ ของผมกลับมามีความหวัง ใหม่อีกครั้ง
เอ้ะ แล้วที่ผมจั่วหัวว่า ทีมชาติไทย จะไปเกี่ยวอะไรกับ ทีมชาติ ฮอลแลนด์ ได้ล่ะ แทบจะหาจุดเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย แต่ในมุมมองของกองเชียร์ ที่ตามกลับไปดู คลิป บันทึก ยันยุค โยฮัน ครัฟฟ์ ในปี 1974 จนถึง ปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกอยากแชร์ มุมมอง ของแฟนบอล ที่จามเชียร์ กับหันลมมาอย่างยาวนาน และ คิดว่าตนเองมองเห็น เงาที่คล้ายคลึง ในมุมมองส่วนตัวของผม ในทีมชาติไทย ปัจจุบัน
เรื่องแรกเลย ที่ผมคิดว่าความรู้สึกผมล่าสุดยิ่งเด่นชัดขึ้นว่าคล้าย คือ ระบบ วิธีการเล่น ที่ทีมชาติไทยเล่น รวมถึงคุณลักษณะของนักเตะไทยที่ มี ในยุค อากิระ นิชิโนะ ในแมตช์เจอเวียดนาม รวมถึง ความผิดหวังบนความสวยงามนั่นเอง
หลังจากผมฟังคลิป โค้ช ธงชัย สุโกกี วิเคราะห์ แผนการเล่นแมตช์ที่ทีมชาติไทย เจอเวียดนามล่าสุด สิ่งแรกที่ทำให้ผมนึกถึง อัศวิน สีส้ม คือ การใช้ผู้เล่นริมเส้นเจาะ และ ความสามารถเฉพาะตัว โดยแฝงการโนเตชั่น ในคราบ 4-3-3 บางเวลา
ลองนึกภาพ สมัยที่ฮอลแลนด์ มี มาร์ค โอเวอมาร์ส จรวดทางเรียบ ตีคู่กับ เบาเดอไวนจ์ เซนเด้น โดยมีหน้าเป้าเป็น พาทริค ไคลเวิร์ต พ่อของ จัสติน ไคลเวิร์ต ที่มีลีลาการเล่น ที่ ไปกับบอลได้ดี แต่คุณพ่อ คือ หน้าเป้า เข้าฮอส
ยุคนั้นเป็นยุคที่ผมเชียร์ฮอลแลนด์ ก็ใจสั่นและผิดหวังบ่อยๆ เหมือนที่ผม ใจตกไปตาตุ่ม วันที่ไทยแพ้ หรือ ผิดหวังเช่นกันละครับ
โดยสมัยนั้น ฮอลแลนด์มีการเจาะริมเส้นที่ หวือหวา คล้ายที่มี อาเยน ร้อบเบ้นนี่ละ แต่ มักโดนสวนกลับมา และ พลาดท่าแพ้บ่อยๆ ที่ แพ้ทางบ่อยสุด คือ บอลตั้งรับ และ สวนกลับ หรือ บอลที่ มีวินัยสูงๆ และ เน้นความแข็งแกร่ง เช่น เยอรมัน อิตาลี สาธารณรัฐเชค เป็นต้น
เพราะฮอลแลนด์ คือ ทีมรวมดารา ที่ หลายคน รวมถึงสำนักข่าว หลายครั้งให้ว่า เป็นต่ออยู่ผระจำ ด้วยเปอร์เซนต์การครองบอลที่มาก การบุกที่สวยงาม และ นีกเตะมีคาแรคเตอร์ หรือ จุดขายที่โดดเด่น
แต่มันก็กลับไม่ได้ทำให้ ฮอลแลนด์ สมหวังอะไรเป็นชิ้นอัน ตั้งแต่ปี 1988 ยุคสามทหารเสือ ได้แชมป์ยุโรปมาครองเป็นแชมป์สุดท้าย ที่เหลือ คือ การเป็นรองแชมป์โลก และ ที่สาม ในบอลโลกครั้งหลังๆ
เชื่อไหมครับ ภาพในหัวผม ถึงทีมชาติไทย กับ ฮอลแลนด์ อาจจะใีนักเตะที่ทักษะต่างกัน หลายคนอาจจะบอกว่า เอาไปเทียบได้ไง มันคนละเรื่อง แต่ ลองอ่านอีกสักนิด ผมคิดว่ามันพอจะมีส่วนคบ้ายหลายประเด็น
ฮอลแลนด์ สมัยนั้นมักแพ้เกมส์เพรสซิ่ง แม้กนะทั่ง เอ็ดก้า ดาวิดส์ ที่ว่าเป็นจอมบู๊ ก็มักเกิดอาการรนหลายครั้งที่โดนบีบ และ สิ่งที่ฮอลแลนด์มักทำคือ การส่งบอลคืนสู่ผู้รักษาประตู และ ถ่ายบอลไปมา เป็นที่มาของเปอร์เซนต์การครองบอลที่สูง แต่....มันกลับทำให้ฮอลแลนด์ อึดอัดเอง รวมถึง การบุกที่มักพึ่งการเลี้ยงของตัวริมเส้น ซึ่งถ้าวันไหน แผลงฤทธ์ ไม่ออก วันนั้น กังหันลมของผม แทบจะหมดมุข เพราะ ตัวริมเส้น สามารถเลี้ยงไปครอส ไปตัดในยิง ไปตัวต่อตัวผู้รักษาประตู และ ยิ่งฮอลแลนด์ เป็น ทีมศิลปินสวยงาม ก็มักแพ้ทีมที่มีการเบียดปะทะ ถึงลูกถึงคน หรือ อาจมีตุกติกมากกว่า เช่นอิตาลี รวมถึง สำหรับระดับโลก ฮอลแลนด์ ก็มีตัวที่ ไม่ได้เป็นซุปตาร์เท่าบางคนอีกหลายตัว และ หลายครั้ง เกมส์จึงตื้อ และโดนบด หรือ สวนจนแพ้ในที่สุด
สิ่งที่ผมจะสื่อก็เพียงเท่านี้ ในวันนี้ ว่าบางครั้ง ระดับบอลถึงจะแตกต่างกัน แต่ เอาเข้าจริงๆทุกทีมในโบก มักจะมีปัญหา พื้นฐานไม่ต่างกัน ด้วย วัฒนธรรม อุปนิสัยก็ส่วนหนึ่ง การเล่นของลีคตนเองก็ส่วนหนึ่ง ไสตล์ส่วนบุคคลก็ส่วนหนึ่ง
บางครั้งมันก็เหมือน ค้อน กรรไกร กระดาษ ไม่ไดมีไสตล์ไหนดีที่สุด ทีมนี้เจอทีมไสตล์นี้แพ้ยับ ไปเจออีกทีม กลับกินนิ่ม ทั้งไอ้ทีมนั้นมันกินนิ่ม ทีมที่เราบอกว่ายาก เอ้ะ ...แต่ทำไมตูชนะเมิงง่ายจัง แต่เมืงกลับไปขยี้ทีมที่ เล่นกูซะอ่วมยังกับขนม
สุดท้าย แยากบอกอีกนิดว่า สิ่งที่น่าดีใจ แบะ เห็นได้ชัดคือ วันนี้ ทีมชาติไทย ได้มีวิธีการเล่นที่ทันสมัย เป็นสากลมากขึ้น มีความพยายามเข้าสู่ระบบระเบียบ แบบ มีแบบแผนมากขึ้น เช่น การให้ ธรบูร์ เป็น DMF ในรูปแบบ 4-4-2 ไดม่อน แต่เมื่อรับบางครั้ง ถอย ธนบูรณ์ ลงมา เป็น เซนเตอร์ตัวกลาง และ ธนบูรณ์ ก็เล่นได้จริงเพราะเล่นอยู่แล้วตามแท้คติคเสียด้วย แล้ว ถ่าง พรรษา กับ ทอมเบียร์ ไปเป็น เซนเตอร์ ซ้าย และ ขวา หรือ หลังสาม ตามที่โค้ชธงบอก ทีนี้ ธีรทร ก็บุกได้มากขึ้น โดย ดันไปเป็น วิงแบ้ค สลับ ออกริมเส้น กับ พิธิวัชญ์
หมายความว่าหลังจากนี้ อากีระ นิชิโนะ มีไอ้ฝเดียในการปรุงอาหารใหม่ๆ แนวคิดหลากหบาย แบบ เชฟกะทะเหล็ก เหลือ เพียวแต่วัตถุดิบ ทำตัวให้สุกงอมพร้อมการปรุงแค่ไหน และ ระยะเวลาคละเคล้าให้รสกลมกล่อม จะทำได้มากเพียงใด แค่นั้นเองครับ แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอวอน ให้สมาคมที่แสดงเจตนารมณ์ ตั้งเป้าถึงขั้นบอลโลก อย่าลืม ใส่ใจรายละเอียด และ เริ่มต้นที่การสนับสนุนลงทุน กะทะสำหรับปรุง หรือ สนามแข่วให้ได้มาตรฐานก่อน ซื้อพลาสติคสักแผ่นมาซีลให้กะทะไม่เปียกเพื่อให้ คนชิมได้เต็มอรรถรส แบะ ไม่คาใจว่า ความแฉะในอาหารที่ปรุง มาจากความตั้งใจของเชฟจริงๆ ไม่ใช่เพราะกะทะเปียก จึงทำมห้รสผิดเพี้ยนไป ถ้าคิดจะเอาถึงขั้นเชฟกะทะเหล็ก เชฟพร้อม วัตถุดิบกำลังบ่มเพาะ ต่อให้สองอย่างนี้ดีแค่ไหน กะทะไม่พร้อม จะไปเป็นแชมป์ได้อย่างไร
มีทั้งเรื่องที่น่ายินดี และ แคลงใจ ยังไงก็เชียร์ครับ
แมตช์อินโด ขอให้บอลสนุก และ กะทะไม่ไหม้นะ ผมกลัว วัตถุดิบดีดีเสียหายหมด ^.^
กังหันลม สมัยนั้นชอบแพ้ทีมแนว ตีหัวเข้าบ้าน หรือ คาเตนัคโช่ ประจำ คือ ทีมที่ตั้งรับแน่น และ รอสวน แล้วเวลาสวน ใช้ความแม่นยำ กับ ตัวผู้เล่นไม่กี่คน สร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่ฮอลแลนด์ เสียไปจากการดันเกมส์บุก เพราะต้องเอาตัวผู้เบ่นที่มากขึ้น ไปช่วยเจาะแนวรับฝั่งตรงข้าม ผม มีความรู้สึกว่า ทีมชาติไทยมีความชัดเจนในวิธีการเล่นมากขึ้น และ ทำให้เห็นว่า เรามักจะแพ้ทางบอลไสตล์ไหนครับ ยังไงก็แค่ความเห็นส่วนตัว ยังไงก็แชร์กัน และ เป็นมิตรกันนะครับ