ไดอารี่ของแพทย์คนหนึ่ง
เดี๋ยวผมเล่าอะไรให้ฟังนะครับ...
คือเรื่องมันเริ่มเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เย็นวันจันทร์ ผมยังจำได้ดีเลย ผมนั่งกินข้าวเย็นกับน้องชายแล้วก็พ่อกับแม่ คุยกันตามปกติ แต่ส่วนมากก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวจานใครจานมัน ตอนนั้นน้องผมกำลังจะขึ้น ม.2 ส่วนผมก็กำลังจะขึ้น ม.6 และก็วันนั้นแหละครับ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ผมนั่งข้างน้อง และจู่ๆก็สังเกตเห็นว่าน้องเอามือขึ้นมาที่ตา ตอนแรกนึกว่าจะขยี้ตา ทุกคนก็ไม่ได้สงสัยอะไร สักพักผมก็เห็นน้องพยายามเอานิ้วถ่างตาออกให้กว้างๆ น้องทำอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรเข้าตามั้ง คือทุกคนตั้งใจกับการกินมาก เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บนโต๊ะอาหารตอนนั้นมีจานลูกชิ้นจานใหญ่วางอยู่ตรงกลาง คือตั้งใจไว้ว่าจะช่วยกันกินทีหลังน่ะครับ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง น้องผมก็ยกมือที่จับส้อมขึ้นมาแล้วจิ้มเข้าที่ตาตัวเอง ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ คือต้องยอมรับว่าทีแรกก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอตั้งใจดูจริงๆจะเห็นได้เลยว่าน้องบิดข้อมือไปมา แล้วมือน้องอ่ะครับ มันกำส้อมไว้แน่นมากๆ แน่นจนมือซีดเลยครับ แล้วบิดข้อมือขึ้นลงอยู่อย่างนั้น เหมือนพยายามคว้านเอาอะไรสักอย่างออกมา พ่อแม่ผมก็ยังไม่เอะใจ จนผ่านไปนาทีกว่าๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
สิ่งที่น้องพยายามจะทำจริงๆก็คือ เอาส้อมในมือตัดพวกเส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อ หรืออะไรก็ตามที่ยึดลูกกะตาไว้ในเบ้า เพราะหลังจากนั้น ไอ้ลูกกลมๆสีขาวๆแดงๆมันก็หลุดออกมาแล้วหล่นลงที่จานข้าวของน้อง ใช่ครับ มันคือลูกกะตาคนจริงๆ ขนาดเท่าลูกชิ้นเลย และยังมีพวกเนื้อเยื่อต่างๆติดอยู่ด้วย ผมมองที่หน้าน้อง แต่มันไม่เหมือนในหนังนะครับที่แผลมันจะเหวอะหวะมาก ผมเห็นแค่เพียงเลือดสดๆไหลออกมาจากช่องเล็กๆสีแดงตรงตาข้างนั้น มันไหลอาบแก้มและมาหยดติ๋งๆอยู่ตรงบริเวณคาง ช่องนั้นคือช่องระหว่างเปลือกตาด้านบนและล่าง ที่ตอนนี้ปิดกลับลงมาเพราะไม่มีลูกกะตาอยู่แล้ว แต่ภาพที่ผมยังจำฝังใจอยู่ก็คือ ภาพที่น้องกำลังแสยะยิ้มอย่างมีความสุข
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยมื้อเย็นธรรมดาๆ แต่ตอนนี้มีเพียงความวุ่นวาย เสียงกรีดร้องของแม่ผม และพ่อที่กำลังลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก น้องรีบเอาส้อมในมือจิ้มลงไปที่ลูกกะตาบนจานข้าว เหมือนเราจิ้มลูกชิ้นกินนั่นแหละครับ แล้วก็เอาเข้าปากอย่างรวดเร็ว ผมยังจำได้เลยตอนที่พ่อพยายามทำให้น้องคายไอ้ที่อยู่ในปากออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะน้องกำลังเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย น้ำสีขาวๆขุ่นๆไหลออกจากปากน้อง ซึ่งเกิดจากการที่ของเหลวในลูกกะตาทะลักออกมาเมื่อโดนบดเคี้ยว ตอนนั้นผมเองก็ได้แต่มอง ขณะพ่อล็อคตัวน้องไว้ และแม่ก็พยายามโทรเรียกรถพยาบาล
เชื่อมั้ย ถ้าผมจะบอกว่าพ่อทนพละกำลังของน้องไม่ไหว น้องเอาแรงจากที่ไหนไม่รู้มาแล้วผลักพ่อผมปลิวกระเด็นออกไปต่อหน้าต่อตา แล้วน้องก็ใช้ส้อมในมือคันนั้นแทงเข้าที่แขนอีกข้างซ้ำๆ แต่ไม่ได้แทงลงตรงๆนะครับ น้องใช้มันเพื่อเลาะผิวหนังตัวเองออกมาต่างหาก ไม่นานแผลก็เปิดออก เผยให้เห็นชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อที่เหมือนถูกแล่ออกแบบหยาบๆ ตอนนั้นพ่อก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อหยุดน้องไว้ แต่ก็โดนผลักออกไปอีก ถ้าผมจำไม่ผิดพ่อน่าจะล้มหัวฟาดพื้นและหมดสติลงตรงนั้น น้องเอาปากงับชิ้นเนื้อตรงแขนไว้แล้วฉีกออกมา เหมือนตอนปอกกล้วยอ่ะครับ เพียงแต่น้องใช้ปากฉีกทึ้งราวกับสัตว์ป่าหิวโหย แล้วมืออีกข้างก็ใช้ส้อมแทงแล้วแทงอีก พยายามตัดมันออกจากแขน ชุดนักเรียนสีขาวเปรอะไปด้วยเลือด ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนวิ่งไปหาแม่ก็คือ รอยยิ้มที่มุมปากของน้อง มันไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทรมานใดๆเลย
ภาพที่ได้เห็นมันทำผมแทบช็อค ผมวิ่งเข้าห้องนอนแล้วขังตัวเองไว้ในนั้น ตัวสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนก สักพักรถพยาบาลก็มาถึงแล้วเอาน้องกับพ่อไป วันต่อมาแม่เล่าให้ฟังว่าน้องดิ้นแรงมากๆ จนต้องใช้บุรุษพยาบาลรวมถึงพวกเพื่อนบ้านมาช่วยจับน้องเอาไว้นับสิบคน ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการมัดตัวน้องติดกับเตียงไว้ และคิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มียาสลบ แม่ยังเล่าอีกว่าตอนไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกว่าแขนทั้งสองข้างเห็นกระดูกแล้ว น้องกินเนื้อพวกนั้นไปจนเกือบหมด และระหว่างทางพวกหมอก็ลืมล็อคปากน้องไว้ เพราะแม้จะหันไปงับส่วนอื่นๆไม่ได้ น้องก็ยังอุตสาห์กัดลิ้นกับริมฝีปากตัวเองมาเคี้ยวกินเหมือนขนมอย่างน่าอเนจอนาถใจ
สภาพน้องทุกวันนี้คือยังนอนอยู่โรงพยาบาล หยอดอาหารผ่านน้ำเกลือเพราะโดนล็อคขากรรไกรไว้ไม่ให้ขยับ มีจิตแพทย์ส่วนตัวคอยดูแลใกล้ชิด จากนั้นมาครอบครัวผมตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมน้องทุกสัปดาห์เพื่อคอยดูอาการ ตอนแรกๆครอบครัวผมก็ให้ความร่วมมือทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีแพทย์สาขาไหนมาซักประวัติและถามโน่นนี่ เราก็ยินดีให้ข้อมูล แต่พอนานวันเข้าจนจะเป็นเดือนก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าน้องทำแบบนั้นทำไม เมื่อนั้นแหละครับ คือตอนที่เราเริ่มไม่ไหวแล้ว พ่อกับแม่เริ่มสิ้นหวังตั้งแต่ตอนที่หมอบอกว่า ถ้าเอาที่ล็อคปากออก น้องตายแน่ๆ และน้องไม่มีทางจะได้กลับบ้านอีก คืออาการยังไงก็ไม่ดีขึ้นเลย มันเหมือนน้องเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ รอการที่จะได้กินเนื้อตัวเองสดๆอีกครั้ง ขอแค่มีโอกาส
ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมน้อง แม้ปากน้องจะอ้าออก แต่ตรงมุมปากนั่นมันยังยิ้มให้ผมอยู่ และแววตาของน้องที่ผมเห็น ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ของคนที่ผมรู้จักเลย
ตั้งแต่พ่อออกจากโรงพยาบาลครอบครัวเราก็เหมือนเสียศูนย์ไปเลย พวกเราทุกคนต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการบำบัดสภาพจิตใจอย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่การที่ได้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปหาน้องบ่อยๆนั้น ทำให้ผมมีความรู้สึกลึกๆข้างในว่า จบม.6แล้วผมต้องเป็นหมอให้ได้ คนพวกนั้นต้องเจออะไรแบบที่ผมเจอแทบทุกวัน แต่ก็ยังยินดีคอยช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และพวกนั้นจะไม่มีวันทอดทิ้งน้องผมเด็ดขาด นับแต่นั้นมาผมจึงเริ่มตั้งใจเรียนเพื่อเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น คือตอนนั้นผมก็แอบคิดอยู่นะครับว่า ที่ผมอยากเป็นหมอนี่คืออยากช่วยคนจริงๆ หรืออยากช่วยน้องผมกันแน่
เพียงแต่ เรื่องทั้งหมดยังไม่จบแค่นี้นะครับ แค่เดือนต่อมาผมก็ต้องเจอกับอีกเหตุการณ์นึง ที่ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ผมอยากเรียนหมอไปทำไม
มันเป็นกลางดึกคืนวันอาทิตย์ครับ ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วก็ด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ ผมจึงเดินไปที่ครัวมืดๆคนเดียว พอไปถึงก็ได้กลิ่นคาวเลือดแรงมากๆ ผมก็เลยเปิดไฟ และภาพตรงหน้านั้นเอง ที่ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง มันคือร่างไร้วิญญาณของพ่อผมที่นอนหงายจมกองเลือดอยู่ ไม่สวมเสื้อผ้าใดๆ มือขวายังกำส้อมคันนึงไว้แน่นมากแม้ว่าจะสิ้นลมแล้ว สภาพของท่านคือบริเวณท้องมีช่องเปิดขนาดใหญ่ แต่ไม่มีลำไส้หรือเครื่องในทะลักออกมา กล้ามเนื้อบริเวณแขนและต้นขาได้ถูกเฉือนออกไปแบบลวกๆ เผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนอยู่ภายใน ทั่วร่างกายพบรอยแทงเป็นรูพรุนเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วนที่คาดว่าน่าจะมาจากส้อมคันนั้น และตรงบริเวณปากมีรอยเลือดเปรอะอยู่โดยรอบ แต่สีหน้าของพ่อผมนั้น ดูมีความสุขจนผมขนลุก
ผมจำอะไรไม่ได้หลังจากนั้น ผมน่าจะหมดสติไปหรืออะไรสักอย่าง รู้ตัวอีกทีก็อยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล สภาพแม่ก็ยังคงช็อกไม่ค่อยต่างจากผม เพียงแต่ยังคุมสติได้ดีกว่าผมนิดหน่อย ใช้เวลาบำบัดสภาพจิตเกือบเดือนกว่าผมกับแม่จะเริ่มให้ปากคำกับเจ้าพนักงานสอบสวนได้ พวกเขาบอกว่าผลการชันสูตรศพพ่อนั้น ไม่พบอวัยวะภายในอื่นเลยนอกจากหัวใจกับกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ และเมื่อผ่าออกดูจึงพบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อและเครื่องในที่กำลังโดนย่อยๆอย่างช้าๆ พ่อเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก และตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
นอกจากนี้ตอนกลับไปเยี่ยมน้องชาย หมอที่โรงพยาบาลยังบอกกับเราอีกว่า ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต จู่ๆน้องชายผมก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลังจากแทบไม่ส่งเสียงใดๆมาเป็นเดือนและทั้งๆที่ยังโดนล็อคปากอยู่ น้องหัวเราะอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกันเกือบสัปดาห์ จนหมอต้องผลัดกันมาให้ยานอนหลับ แต่พอหมดฤทธิ์ยา น้องก็กลับมาหัวเราะอีก และทุกครั้งมันจะดังขึ้น ดังขึ้น และบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกล่องเสียงของน้องก็ฉีกขาดจนไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้อีก
ท่ามกลางความงวยงงสังสัยในเคสของทั้งพ่อและน้องชายผมที่ดูเหมือนไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่มีใครเลยที่กล้าออกมาบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ช่างมันเถอะ ผมรู้ทุกอย่างแล้ว ส้อมนั่น… ต้องใช่แน่ๆ เพราะตอนผมเจอศพ ตู้เย็นมันเปิดอยู่ พ่อน่าจะพยายามมาหาของกินตอนดึก แล้วก็โชคร้ายหยิบส้อมนั่นมาจิ้มอะไรสักอย่างกินในตู้เย็น น่าจะเป็นขนมหรือไม่ก็ผลไม้
ผมลองไปถามแม่ว่าก่อนเหตุการณ์ทุกอย่างจะเกิดขึ้น มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับส้อมคันนี้ แล้วแม่ผมก็เล่าว่า แม่เจอส้อมคันนึงอยู่ใต้ชั้นวางของเก่าตอนทำความสะอาดบ้าน ก็เลยเอามาล้างแล้วก็เอามาเก็บรวมกับส้อมคันอื่นๆ พอประมาณสัปดาห์ต่อมา เหตุการณ์พวกนี้ก็เริ่มขึ้น สิ่งที่แม่เล่ามันทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันประจวบเหมาะกันไปหมด มันต้องเป็นที่ส้อมนี่แหละ และมันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี่ได้
คือเรื่องเป็นงี้ครับ ชั้นวางของเก่าในบ้านผมส่วนมากจะเก็บสมบัติของบรรพบุรุษเอาไว้ ทีนี้ตามตำนานที่เล่าต่อๆกันมาในตระกูลผมนะครับ ปู่ทวดของพ่อผมเนี่ย แกชอบกินเนื้อคนครับ พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องนี้ดี สมัยนั้นแกเป็นคนค่อนข้างมีฐานะ แต่มีรสนิยมต่างๆที่เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิปริตเลยทีเดียว ทุกๆวันแกจะให้ลูกน้องคอยไปลักพาตัวคนจรจัดมาที่บ้านแก แล้วก็ชำแหละเนื้อมากินกันกับคนอื่นๆในครอบครัว คือไม่มีใครรู้นะครับว่าเป็นเนื้อคน มีแค่แกกับลูกน้องเท่านั้น ขนาดพ่อครัวยังไม่รู้เลย ก็อยู่กันอย่างนี้มาหลายปี จนวันนึงมีนักสืบตามสาวมาถึงตัวแกได้ แกก็เลยโดนจับขังคุกตลอดชีวิต จริงๆก็โทษประหารแหละครับ แต่แกมีเงินไง
ทีนี้ชีวิตในคุกแกก็ยังอยากกินเนื้อคนอยู่ มีหลายครั้งที่แกทำร้ายนักโทษคนอื่นๆด้วยการกัดและฉีกเนื้อออกมากินสดๆ ผู้คุมมาเห็นแกก็เลยโดนจับขังเดี่ยว ว่ากันว่าช่วงบั้นปลายชีวิตแกไม่กินอะไรเลยนอกจากเนื้อของตัวเอง บ้างก็ว่าแกขโมยส้อมมาจากครัวแล้วเก็บไว้ใช้ชำแหละเนื้อตัวเองมากิน พอมีคนรู้ว่าแกจะตายเพราะกินเนื้อตัวเอง ผู้คุมก็เลยลองเอาเนื้อนักโทษที่โดนประหารมาให้แกกินเพราะไม่อยากให้แกตาย(กลัวโดนฟ้อง) ปรากฎว่าแกไม่กินครับ ไม่รู้ว่าแกสำนึกผิดหรือติดใจรสชาติเนื้อตัวเองกันแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครห้ามแกได้ ปู่ทวดของพ่อผมเสียชีวิตในคุก สภาพศพนั้นไม่ต่างจากพ่อผมเลย
ไม่มีใครรู้ว่าพวกสมบัติในชั้นวางของเก่านั้นอันไหนเป็นของใครบ้าง ไม่แน่ไอ้ส้อมนั่นอาจอยู่บนชั้นวางแล้วก็พลัดตกลงมาตอนแม่ทำความสะอาดก็เป็นได้
แน่นอนว่าผมบอกแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลังจากนั้นแม่ก็เริ่มเสียสติ บางวันแม่จะร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง ไม่ออกมากินข้าวกินปลา ไม่ไปทำงาน ผมก็คิดนะ ว่าแม่อาจโทษตัวเองว่าเป็นคนเอาส้อมออกมาใช้ เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ทุกอย่าง คือตอนนั้นน่ะครับ ผมเหลือแม่แค่คนเดียวแล้ว และการที่แม่เริ่มมีอาการแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้สภาพจิตใจผมดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ผมเอาแต่คิดว่าผมไม่น่าบอกแม่เรื่องนี้ เอาแต่คิดถึงสภาพน้องชายตัวเองแล้วก็ภาพของร่างพ่อตัวเองที่ผมเจอกลางดึกคืนนั้น เอาแต่คิดว่าถ้าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วเจอศพแม่ตัวเองผูกคอตายหรือกรีดข้อมือในอ่างน้ำ ผมจะทำยังไง คือตั้งแต่น้องชายผมเข้าโรงพยาบาล ถ้าเราไม่ไปพบจิตแพทย์ตามนัด ทุกอย่างคงจะเลวร้ายกว่านี้มาก
เรื่องสั้น: ไดอารี่ของแพทย์คนหนึ่ง
เดี๋ยวผมเล่าอะไรให้ฟังนะครับ...
คือเรื่องมันเริ่มเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เย็นวันจันทร์ ผมยังจำได้ดีเลย ผมนั่งกินข้าวเย็นกับน้องชายแล้วก็พ่อกับแม่ คุยกันตามปกติ แต่ส่วนมากก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวจานใครจานมัน ตอนนั้นน้องผมกำลังจะขึ้น ม.2 ส่วนผมก็กำลังจะขึ้น ม.6 และก็วันนั้นแหละครับ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ผมนั่งข้างน้อง และจู่ๆก็สังเกตเห็นว่าน้องเอามือขึ้นมาที่ตา ตอนแรกนึกว่าจะขยี้ตา ทุกคนก็ไม่ได้สงสัยอะไร สักพักผมก็เห็นน้องพยายามเอานิ้วถ่างตาออกให้กว้างๆ น้องทำอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรเข้าตามั้ง คือทุกคนตั้งใจกับการกินมาก เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บนโต๊ะอาหารตอนนั้นมีจานลูกชิ้นจานใหญ่วางอยู่ตรงกลาง คือตั้งใจไว้ว่าจะช่วยกันกินทีหลังน่ะครับ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง น้องผมก็ยกมือที่จับส้อมขึ้นมาแล้วจิ้มเข้าที่ตาตัวเอง ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ คือต้องยอมรับว่าทีแรกก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอตั้งใจดูจริงๆจะเห็นได้เลยว่าน้องบิดข้อมือไปมา แล้วมือน้องอ่ะครับ มันกำส้อมไว้แน่นมากๆ แน่นจนมือซีดเลยครับ แล้วบิดข้อมือขึ้นลงอยู่อย่างนั้น เหมือนพยายามคว้านเอาอะไรสักอย่างออกมา พ่อแม่ผมก็ยังไม่เอะใจ จนผ่านไปนาทีกว่าๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
สิ่งที่น้องพยายามจะทำจริงๆก็คือ เอาส้อมในมือตัดพวกเส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อ หรืออะไรก็ตามที่ยึดลูกกะตาไว้ในเบ้า เพราะหลังจากนั้น ไอ้ลูกกลมๆสีขาวๆแดงๆมันก็หลุดออกมาแล้วหล่นลงที่จานข้าวของน้อง ใช่ครับ มันคือลูกกะตาคนจริงๆ ขนาดเท่าลูกชิ้นเลย และยังมีพวกเนื้อเยื่อต่างๆติดอยู่ด้วย ผมมองที่หน้าน้อง แต่มันไม่เหมือนในหนังนะครับที่แผลมันจะเหวอะหวะมาก ผมเห็นแค่เพียงเลือดสดๆไหลออกมาจากช่องเล็กๆสีแดงตรงตาข้างนั้น มันไหลอาบแก้มและมาหยดติ๋งๆอยู่ตรงบริเวณคาง ช่องนั้นคือช่องระหว่างเปลือกตาด้านบนและล่าง ที่ตอนนี้ปิดกลับลงมาเพราะไม่มีลูกกะตาอยู่แล้ว แต่ภาพที่ผมยังจำฝังใจอยู่ก็คือ ภาพที่น้องกำลังแสยะยิ้มอย่างมีความสุข
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยมื้อเย็นธรรมดาๆ แต่ตอนนี้มีเพียงความวุ่นวาย เสียงกรีดร้องของแม่ผม และพ่อที่กำลังลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก น้องรีบเอาส้อมในมือจิ้มลงไปที่ลูกกะตาบนจานข้าว เหมือนเราจิ้มลูกชิ้นกินนั่นแหละครับ แล้วก็เอาเข้าปากอย่างรวดเร็ว ผมยังจำได้เลยตอนที่พ่อพยายามทำให้น้องคายไอ้ที่อยู่ในปากออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะน้องกำลังเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย น้ำสีขาวๆขุ่นๆไหลออกจากปากน้อง ซึ่งเกิดจากการที่ของเหลวในลูกกะตาทะลักออกมาเมื่อโดนบดเคี้ยว ตอนนั้นผมเองก็ได้แต่มอง ขณะพ่อล็อคตัวน้องไว้ และแม่ก็พยายามโทรเรียกรถพยาบาล
เชื่อมั้ย ถ้าผมจะบอกว่าพ่อทนพละกำลังของน้องไม่ไหว น้องเอาแรงจากที่ไหนไม่รู้มาแล้วผลักพ่อผมปลิวกระเด็นออกไปต่อหน้าต่อตา แล้วน้องก็ใช้ส้อมในมือคันนั้นแทงเข้าที่แขนอีกข้างซ้ำๆ แต่ไม่ได้แทงลงตรงๆนะครับ น้องใช้มันเพื่อเลาะผิวหนังตัวเองออกมาต่างหาก ไม่นานแผลก็เปิดออก เผยให้เห็นชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อที่เหมือนถูกแล่ออกแบบหยาบๆ ตอนนั้นพ่อก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อหยุดน้องไว้ แต่ก็โดนผลักออกไปอีก ถ้าผมจำไม่ผิดพ่อน่าจะล้มหัวฟาดพื้นและหมดสติลงตรงนั้น น้องเอาปากงับชิ้นเนื้อตรงแขนไว้แล้วฉีกออกมา เหมือนตอนปอกกล้วยอ่ะครับ เพียงแต่น้องใช้ปากฉีกทึ้งราวกับสัตว์ป่าหิวโหย แล้วมืออีกข้างก็ใช้ส้อมแทงแล้วแทงอีก พยายามตัดมันออกจากแขน ชุดนักเรียนสีขาวเปรอะไปด้วยเลือด ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนวิ่งไปหาแม่ก็คือ รอยยิ้มที่มุมปากของน้อง มันไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทรมานใดๆเลย
ภาพที่ได้เห็นมันทำผมแทบช็อค ผมวิ่งเข้าห้องนอนแล้วขังตัวเองไว้ในนั้น ตัวสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนก สักพักรถพยาบาลก็มาถึงแล้วเอาน้องกับพ่อไป วันต่อมาแม่เล่าให้ฟังว่าน้องดิ้นแรงมากๆ จนต้องใช้บุรุษพยาบาลรวมถึงพวกเพื่อนบ้านมาช่วยจับน้องเอาไว้นับสิบคน ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการมัดตัวน้องติดกับเตียงไว้ และคิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มียาสลบ แม่ยังเล่าอีกว่าตอนไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกว่าแขนทั้งสองข้างเห็นกระดูกแล้ว น้องกินเนื้อพวกนั้นไปจนเกือบหมด และระหว่างทางพวกหมอก็ลืมล็อคปากน้องไว้ เพราะแม้จะหันไปงับส่วนอื่นๆไม่ได้ น้องก็ยังอุตสาห์กัดลิ้นกับริมฝีปากตัวเองมาเคี้ยวกินเหมือนขนมอย่างน่าอเนจอนาถใจ
สภาพน้องทุกวันนี้คือยังนอนอยู่โรงพยาบาล หยอดอาหารผ่านน้ำเกลือเพราะโดนล็อคขากรรไกรไว้ไม่ให้ขยับ มีจิตแพทย์ส่วนตัวคอยดูแลใกล้ชิด จากนั้นมาครอบครัวผมตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมน้องทุกสัปดาห์เพื่อคอยดูอาการ ตอนแรกๆครอบครัวผมก็ให้ความร่วมมือทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีแพทย์สาขาไหนมาซักประวัติและถามโน่นนี่ เราก็ยินดีให้ข้อมูล แต่พอนานวันเข้าจนจะเป็นเดือนก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าน้องทำแบบนั้นทำไม เมื่อนั้นแหละครับ คือตอนที่เราเริ่มไม่ไหวแล้ว พ่อกับแม่เริ่มสิ้นหวังตั้งแต่ตอนที่หมอบอกว่า ถ้าเอาที่ล็อคปากออก น้องตายแน่ๆ และน้องไม่มีทางจะได้กลับบ้านอีก คืออาการยังไงก็ไม่ดีขึ้นเลย มันเหมือนน้องเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ รอการที่จะได้กินเนื้อตัวเองสดๆอีกครั้ง ขอแค่มีโอกาส
ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมน้อง แม้ปากน้องจะอ้าออก แต่ตรงมุมปากนั่นมันยังยิ้มให้ผมอยู่ และแววตาของน้องที่ผมเห็น ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ของคนที่ผมรู้จักเลย
ตั้งแต่พ่อออกจากโรงพยาบาลครอบครัวเราก็เหมือนเสียศูนย์ไปเลย พวกเราทุกคนต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการบำบัดสภาพจิตใจอย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่การที่ได้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปหาน้องบ่อยๆนั้น ทำให้ผมมีความรู้สึกลึกๆข้างในว่า จบม.6แล้วผมต้องเป็นหมอให้ได้ คนพวกนั้นต้องเจออะไรแบบที่ผมเจอแทบทุกวัน แต่ก็ยังยินดีคอยช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และพวกนั้นจะไม่มีวันทอดทิ้งน้องผมเด็ดขาด นับแต่นั้นมาผมจึงเริ่มตั้งใจเรียนเพื่อเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น คือตอนนั้นผมก็แอบคิดอยู่นะครับว่า ที่ผมอยากเป็นหมอนี่คืออยากช่วยคนจริงๆ หรืออยากช่วยน้องผมกันแน่
เพียงแต่ เรื่องทั้งหมดยังไม่จบแค่นี้นะครับ แค่เดือนต่อมาผมก็ต้องเจอกับอีกเหตุการณ์นึง ที่ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ผมอยากเรียนหมอไปทำไม
มันเป็นกลางดึกคืนวันอาทิตย์ครับ ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วก็ด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ ผมจึงเดินไปที่ครัวมืดๆคนเดียว พอไปถึงก็ได้กลิ่นคาวเลือดแรงมากๆ ผมก็เลยเปิดไฟ และภาพตรงหน้านั้นเอง ที่ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง มันคือร่างไร้วิญญาณของพ่อผมที่นอนหงายจมกองเลือดอยู่ ไม่สวมเสื้อผ้าใดๆ มือขวายังกำส้อมคันนึงไว้แน่นมากแม้ว่าจะสิ้นลมแล้ว สภาพของท่านคือบริเวณท้องมีช่องเปิดขนาดใหญ่ แต่ไม่มีลำไส้หรือเครื่องในทะลักออกมา กล้ามเนื้อบริเวณแขนและต้นขาได้ถูกเฉือนออกไปแบบลวกๆ เผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนอยู่ภายใน ทั่วร่างกายพบรอยแทงเป็นรูพรุนเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วนที่คาดว่าน่าจะมาจากส้อมคันนั้น และตรงบริเวณปากมีรอยเลือดเปรอะอยู่โดยรอบ แต่สีหน้าของพ่อผมนั้น ดูมีความสุขจนผมขนลุก
ผมจำอะไรไม่ได้หลังจากนั้น ผมน่าจะหมดสติไปหรืออะไรสักอย่าง รู้ตัวอีกทีก็อยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล สภาพแม่ก็ยังคงช็อกไม่ค่อยต่างจากผม เพียงแต่ยังคุมสติได้ดีกว่าผมนิดหน่อย ใช้เวลาบำบัดสภาพจิตเกือบเดือนกว่าผมกับแม่จะเริ่มให้ปากคำกับเจ้าพนักงานสอบสวนได้ พวกเขาบอกว่าผลการชันสูตรศพพ่อนั้น ไม่พบอวัยวะภายในอื่นเลยนอกจากหัวใจกับกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ และเมื่อผ่าออกดูจึงพบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อและเครื่องในที่กำลังโดนย่อยๆอย่างช้าๆ พ่อเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก และตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
นอกจากนี้ตอนกลับไปเยี่ยมน้องชาย หมอที่โรงพยาบาลยังบอกกับเราอีกว่า ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต จู่ๆน้องชายผมก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลังจากแทบไม่ส่งเสียงใดๆมาเป็นเดือนและทั้งๆที่ยังโดนล็อคปากอยู่ น้องหัวเราะอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกันเกือบสัปดาห์ จนหมอต้องผลัดกันมาให้ยานอนหลับ แต่พอหมดฤทธิ์ยา น้องก็กลับมาหัวเราะอีก และทุกครั้งมันจะดังขึ้น ดังขึ้น และบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกล่องเสียงของน้องก็ฉีกขาดจนไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้อีก
ท่ามกลางความงวยงงสังสัยในเคสของทั้งพ่อและน้องชายผมที่ดูเหมือนไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่มีใครเลยที่กล้าออกมาบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ช่างมันเถอะ ผมรู้ทุกอย่างแล้ว ส้อมนั่น… ต้องใช่แน่ๆ เพราะตอนผมเจอศพ ตู้เย็นมันเปิดอยู่ พ่อน่าจะพยายามมาหาของกินตอนดึก แล้วก็โชคร้ายหยิบส้อมนั่นมาจิ้มอะไรสักอย่างกินในตู้เย็น น่าจะเป็นขนมหรือไม่ก็ผลไม้
ผมลองไปถามแม่ว่าก่อนเหตุการณ์ทุกอย่างจะเกิดขึ้น มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับส้อมคันนี้ แล้วแม่ผมก็เล่าว่า แม่เจอส้อมคันนึงอยู่ใต้ชั้นวางของเก่าตอนทำความสะอาดบ้าน ก็เลยเอามาล้างแล้วก็เอามาเก็บรวมกับส้อมคันอื่นๆ พอประมาณสัปดาห์ต่อมา เหตุการณ์พวกนี้ก็เริ่มขึ้น สิ่งที่แม่เล่ามันทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันประจวบเหมาะกันไปหมด มันต้องเป็นที่ส้อมนี่แหละ และมันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี่ได้
คือเรื่องเป็นงี้ครับ ชั้นวางของเก่าในบ้านผมส่วนมากจะเก็บสมบัติของบรรพบุรุษเอาไว้ ทีนี้ตามตำนานที่เล่าต่อๆกันมาในตระกูลผมนะครับ ปู่ทวดของพ่อผมเนี่ย แกชอบกินเนื้อคนครับ พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องนี้ดี สมัยนั้นแกเป็นคนค่อนข้างมีฐานะ แต่มีรสนิยมต่างๆที่เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิปริตเลยทีเดียว ทุกๆวันแกจะให้ลูกน้องคอยไปลักพาตัวคนจรจัดมาที่บ้านแก แล้วก็ชำแหละเนื้อมากินกันกับคนอื่นๆในครอบครัว คือไม่มีใครรู้นะครับว่าเป็นเนื้อคน มีแค่แกกับลูกน้องเท่านั้น ขนาดพ่อครัวยังไม่รู้เลย ก็อยู่กันอย่างนี้มาหลายปี จนวันนึงมีนักสืบตามสาวมาถึงตัวแกได้ แกก็เลยโดนจับขังคุกตลอดชีวิต จริงๆก็โทษประหารแหละครับ แต่แกมีเงินไง
ทีนี้ชีวิตในคุกแกก็ยังอยากกินเนื้อคนอยู่ มีหลายครั้งที่แกทำร้ายนักโทษคนอื่นๆด้วยการกัดและฉีกเนื้อออกมากินสดๆ ผู้คุมมาเห็นแกก็เลยโดนจับขังเดี่ยว ว่ากันว่าช่วงบั้นปลายชีวิตแกไม่กินอะไรเลยนอกจากเนื้อของตัวเอง บ้างก็ว่าแกขโมยส้อมมาจากครัวแล้วเก็บไว้ใช้ชำแหละเนื้อตัวเองมากิน พอมีคนรู้ว่าแกจะตายเพราะกินเนื้อตัวเอง ผู้คุมก็เลยลองเอาเนื้อนักโทษที่โดนประหารมาให้แกกินเพราะไม่อยากให้แกตาย(กลัวโดนฟ้อง) ปรากฎว่าแกไม่กินครับ ไม่รู้ว่าแกสำนึกผิดหรือติดใจรสชาติเนื้อตัวเองกันแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครห้ามแกได้ ปู่ทวดของพ่อผมเสียชีวิตในคุก สภาพศพนั้นไม่ต่างจากพ่อผมเลย
ไม่มีใครรู้ว่าพวกสมบัติในชั้นวางของเก่านั้นอันไหนเป็นของใครบ้าง ไม่แน่ไอ้ส้อมนั่นอาจอยู่บนชั้นวางแล้วก็พลัดตกลงมาตอนแม่ทำความสะอาดก็เป็นได้
แน่นอนว่าผมบอกแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลังจากนั้นแม่ก็เริ่มเสียสติ บางวันแม่จะร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง ไม่ออกมากินข้าวกินปลา ไม่ไปทำงาน ผมก็คิดนะ ว่าแม่อาจโทษตัวเองว่าเป็นคนเอาส้อมออกมาใช้ เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ทุกอย่าง คือตอนนั้นน่ะครับ ผมเหลือแม่แค่คนเดียวแล้ว และการที่แม่เริ่มมีอาการแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้สภาพจิตใจผมดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ผมเอาแต่คิดว่าผมไม่น่าบอกแม่เรื่องนี้ เอาแต่คิดถึงสภาพน้องชายตัวเองแล้วก็ภาพของร่างพ่อตัวเองที่ผมเจอกลางดึกคืนนั้น เอาแต่คิดว่าถ้าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วเจอศพแม่ตัวเองผูกคอตายหรือกรีดข้อมือในอ่างน้ำ ผมจะทำยังไง คือตั้งแต่น้องชายผมเข้าโรงพยาบาล ถ้าเราไม่ไปพบจิตแพทย์ตามนัด ทุกอย่างคงจะเลวร้ายกว่านี้มาก