เวลาที่เราไปสอบสัมภาษณ์งาน คำถามแรกเลยที่กรรมการถาม คงหนีไม่พ้นการแนะนำตัวเอง ยิ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้ว เวลาที่กรรมการยิงคำถามว่า
“Tell me about yourself” หลายคนก็คงจะพูดไม่ออก บอกไม่ถูก พูดจนลิ้นพันกัน บางคนก็พูดวกไปวนมาจนจับใจความไม่ได้
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ เราจะทำยังไงให้ดึงดูดความสนใจของกรรมการให้ได้มากที่สุด
“First impression” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าแนะนำตัวไม่ดีตั้งแต่แรก อาจมีผลทำให้เกิด bias หรืออคติในด้านลบ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคำตอบข้ออื่น ๆ ด้วย ดังนั้นเราต้องเลือกพูดในสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจให้ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้เสมอคือ ต้องพูดให้สั้น กระชับ ได้ใจความ ควรพูดทุกอย่างให้จบครบถ้วนภายใน 1 นาที ดังนั้นไม่ควรร่ายยาวเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตในครอบครัว ไม่ต้องเล่าทุกอย่างในเรซูเม่ เพราะกรรมการมีข้อมูลของเราอยู่ในมืออยู่แล้ว เค้าสามารถอ่านประวัติของเราได้จากเรซูเม่ เพียงเค้าอยากฟังเราพูดถึงตัวเองก็เท่านั้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องสบตากรรมการเสมอ อย่าลืมเรื่อง eye contact ห้ามพูดไป มองเพดานไป ก้มหน้ามองเท้าตัวเองไป นั่นแสดงถึงความไม่มั่นใจของเรา ถึงแม้ว่าภายในใจเราจะประหม่าเพียงใดก็ตาม แต่เราต้องแสดงออกให้เหมือนว่าเราเป็นคนที่มั่นใจที่สุด ส่งรอยยิ้มและสายตาที่มุ่งมั่นออกไป สบตากรรมการตลอดเวลาที่ตอบคำถาม กรรมการก็จะรับรู้ถึงความมั่นใจของเรา
เมื่อเรารู้แล้วว่าจะต้องทำตัวอย่างไรขณะตอบคำถาม ต่อไปเรามาเตรียมคำตอบเรากันดีกว่าค่ะ เมื่อกรรมการถามว่า “Tell me about yourself” สิ่งที่จะต้องตอบควรประกอบไปด้วย
1.เล่าเฉพาะคุณสมบัติเด่น
ในส่วนนี้นอกจากจะแนะนำว่าตัวเองชื่ออะไร อายุเท่าไหร่แล้ว ให้พูดถึงวุฒิการศึกษา เรียนจบอะไรมา มีประสบการณ์การทำงานอะไรบ้าง หากยังไม่เคยทำงาน เพิ่งเรียนจบหมาด ๆ ให้พูดถึงกิจกรรมที่ทำในสมัยเรียน หากมีกิจกรรมเยอะมาก ให้เลือกเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพที่เรากำลังจะไปสมัคร เช่น ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ก็เลือกพูดถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านบริการ กิจกรรมที่ต้องทำงานเป็นทีม ทำงานร่วมกับผู้อื่น หรืองานที่ต้องทำภายใต้ความกดดันสูง เป็นต้น หากทำงานแล้วให้บอกเกี่ยวกับบริษัทที่ทำ ตำแหน่ง ระยะเวลาการทำงาน และหน้าที่รับผิดชอบ
ยกตัวอย่างเช่น
“Hello! My name is Patcharapa. I am a 25-year-old marketing graduate with overall GPA of 3.50. I started off my career as an Account Executive three years ago with ……. company where I performed communication duties between the company team and the customers.” (สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ พัชราภา อายุ 25 ปี เรียนจบด้านการตลาดด้วยเกรดเฉลี่ย 3.50 ค่ะ ดิฉันได้เริ่มทำงานเป็น AE กับบริษัท....เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสารระหว่างทีมงานของบริษัทและลูกค้าค่ะ)
2.เล่าถึงผลงานและความสำเร็จที่เคยได้รับ
หากยังไม่ได้ทำงานให้เล่าเกี่ยวกับคอร์สที่เคยไปลงเรียน ที่สามารถมาต่อยอดให้กับอาชีพที่เราจะไปทำได้ และหากทำงานแล้ว ให้เล่าผลงานหรือผลกำไรที่เคยทำให้กับบริษัท เช่น สามารถทำยอดขายได้เกินเป้า หรือสามารถลดต้นทุนต่าง ๆ ให้กับบริษัทได้
ยกตัวอย่างเช่น
“I have taken 6-month Chinese course in Beijing Language and Culture University” (ดิฉันเคยลงเรียนหลักสูตรภาษาจีน 6 เดือนที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งค่ะ)
“In that role, a major accomplishment I’m most proud of was that I was able to use Google documents for all the documents in the office instead of using paper. This resulted in a cost saving of approximately a thousand Baht per month.” (ในตำแหน่งนั้น ผลงานที่ดิฉันภูมิใจมากที่สุดคือ ดิฉันสามารถใช้เอกสารทุกอย่างที่ใช้ออฟฟิศผ่านทางกูเกิ้ลทั้งหมด แทนที่จะใช้กระดาษ ทำให้สามารถลดต้นทุนลงได้เดือนละประมาณหนึ่งแสนบาท)
3.เล่าเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของงานที่เราไปสมัคร
หลังจากที่เราโฆษณาจุดขายของเราไปแล้ว จากนั้นเราควรพูดถึงสิ่งที่บริษัทต้องการจากตัวผู้สมัครด้วย ในส่วนนี้จะเป็นคำพูดที่ทำให้เกิดผลทางด้านจิตวิทยา ที่เราต้องการสื่อให้กรรมการรู้ว่า ไม่เพียงแต่เราจะรู้จักตัวเองดีพอเท่านั้น เรายังรู้ด้วยว่าบริษัทนี้ต้องการคนแบบไหนเข้ามาร่วมทำงานด้วย เรียกได้ว่า รู้เขารู้เรา รบสิบครั้งชนะร้อยครั้ง ฮ่าๆๆๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราจำเป็นต้องทำการบ้านล่วงหน้ามาก่อน สามารถหาได้จากโฆษณาหรือประกาศรับสมัครงานของบริษัทเหล่านั้น เราสามารถนำ key word ต่าง ๆ มาใส่แทรกในคำตอบของเราได้ เช่น อยากสมัครแอร์โฮสเตส สายการบินก็ต้องการคนที่สวย มั่นใจ ร่าเริง รักงานบริการ
ยกตัวอย่างเช่น
“I understand that for this position of cabin crew that you’re hiring for, you’re not only looking for a poised or well-groomed person, but also a serviced-minded, cheerful and passionate one.” (ดิฉันทราบดีว่าตำแหน่งลูกเรือที่คุณต้องการคัดเลือกเข้าทำงานนั้น คุณไม่เพียงแต่ต้องการคนที่สวย สง่า มั่นใจเท่านั้น แต่ยังต้องการคนที่รักงานบริการ ร่าเริงและกระตือรือร้นอีกด้วย)
4.เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่บริษัทควรคัดเลือกเข้าทำงาน
เราสามารถพูดถึงส่วนนี้ได้โดยที่กรรมการไม่ต้องถาม เป็นการขายตัวเองปิดท้ายจบแบบฟินาเล่ อย่างสวยงาม ทำให้เราดูโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น หลายคนพลาดมากที่ลืมพูดส่วนนี้ไป ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงาน ดังนั้นเราต้องจบให้สวยด้วยการโน้มน้าวใจกรรมการให้ได้ว่าเราคือคนที่เหมาะสมที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น
“Overall, due to my strong background and achievements, I am confident I’ll be able to succeed in this role you’re hiring for.” (ทั้งหมดทั้งมวลอันสืบเนื่องมาจากประสบการณ์และผลงานอันโดดเด่น ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันจะสามารถประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ที่คุณคัดเลือกได้)
หรือ “I am sure that my experiences will make a good fit for the position you’re hiring for.” (ดิฉันมั่นใจว่าประสบการณ์ของดิฉันจะเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่คุณคัดเลือก)
จบแล้วค่า คำถามเดียวสั้น ๆ แต่ต้องตอบครบถ้วนกระบวนความ ขายตัวเองให้ดูเนียน จนกรรมการแทบอยากจะรับเข้าทำงานเดี๋ยวนั้นเลย ลองไปปรับใช้กันดูนะคะ ใช้ได้กับทุกสายงาน ทุกสาขาอาชีพ พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ต้องดูมั่นใจไว้ก่อน สู้ ๆ นะคะทุกคน
ถ้าเกิดว่าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไงดี สามารถไปดูต่อได้ในยูทูปนะคะ "Junie The High Flyer"จะได้ออกเสียงถูกค่ะ แต่เนื้อหาหลักในคลิปยูทูปจะเกี่ยวข้องกับการสอบสัมภาษณ์แอร์โฮสเตสนะคะ ส่วนเนื้อหาในพันทิป ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้กับทุกอาชีพค่ะ
สัมภาษณ์งานเป็๋นภาษาอังกฤษ "Tell me about yourself" ควรตอบว่าอย่างไรดี
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ เราจะทำยังไงให้ดึงดูดความสนใจของกรรมการให้ได้มากที่สุด
“First impression” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าแนะนำตัวไม่ดีตั้งแต่แรก อาจมีผลทำให้เกิด bias หรืออคติในด้านลบ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคำตอบข้ออื่น ๆ ด้วย ดังนั้นเราต้องเลือกพูดในสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจให้ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้เสมอคือ ต้องพูดให้สั้น กระชับ ได้ใจความ ควรพูดทุกอย่างให้จบครบถ้วนภายใน 1 นาที ดังนั้นไม่ควรร่ายยาวเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตในครอบครัว ไม่ต้องเล่าทุกอย่างในเรซูเม่ เพราะกรรมการมีข้อมูลของเราอยู่ในมืออยู่แล้ว เค้าสามารถอ่านประวัติของเราได้จากเรซูเม่ เพียงเค้าอยากฟังเราพูดถึงตัวเองก็เท่านั้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องสบตากรรมการเสมอ อย่าลืมเรื่อง eye contact ห้ามพูดไป มองเพดานไป ก้มหน้ามองเท้าตัวเองไป นั่นแสดงถึงความไม่มั่นใจของเรา ถึงแม้ว่าภายในใจเราจะประหม่าเพียงใดก็ตาม แต่เราต้องแสดงออกให้เหมือนว่าเราเป็นคนที่มั่นใจที่สุด ส่งรอยยิ้มและสายตาที่มุ่งมั่นออกไป สบตากรรมการตลอดเวลาที่ตอบคำถาม กรรมการก็จะรับรู้ถึงความมั่นใจของเรา
เมื่อเรารู้แล้วว่าจะต้องทำตัวอย่างไรขณะตอบคำถาม ต่อไปเรามาเตรียมคำตอบเรากันดีกว่าค่ะ เมื่อกรรมการถามว่า “Tell me about yourself” สิ่งที่จะต้องตอบควรประกอบไปด้วย
1.เล่าเฉพาะคุณสมบัติเด่น
ในส่วนนี้นอกจากจะแนะนำว่าตัวเองชื่ออะไร อายุเท่าไหร่แล้ว ให้พูดถึงวุฒิการศึกษา เรียนจบอะไรมา มีประสบการณ์การทำงานอะไรบ้าง หากยังไม่เคยทำงาน เพิ่งเรียนจบหมาด ๆ ให้พูดถึงกิจกรรมที่ทำในสมัยเรียน หากมีกิจกรรมเยอะมาก ให้เลือกเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพที่เรากำลังจะไปสมัคร เช่น ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ก็เลือกพูดถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านบริการ กิจกรรมที่ต้องทำงานเป็นทีม ทำงานร่วมกับผู้อื่น หรืองานที่ต้องทำภายใต้ความกดดันสูง เป็นต้น หากทำงานแล้วให้บอกเกี่ยวกับบริษัทที่ทำ ตำแหน่ง ระยะเวลาการทำงาน และหน้าที่รับผิดชอบ
ยกตัวอย่างเช่น
“Hello! My name is Patcharapa. I am a 25-year-old marketing graduate with overall GPA of 3.50. I started off my career as an Account Executive three years ago with ……. company where I performed communication duties between the company team and the customers.” (สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ พัชราภา อายุ 25 ปี เรียนจบด้านการตลาดด้วยเกรดเฉลี่ย 3.50 ค่ะ ดิฉันได้เริ่มทำงานเป็น AE กับบริษัท....เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสารระหว่างทีมงานของบริษัทและลูกค้าค่ะ)
2.เล่าถึงผลงานและความสำเร็จที่เคยได้รับ
หากยังไม่ได้ทำงานให้เล่าเกี่ยวกับคอร์สที่เคยไปลงเรียน ที่สามารถมาต่อยอดให้กับอาชีพที่เราจะไปทำได้ และหากทำงานแล้ว ให้เล่าผลงานหรือผลกำไรที่เคยทำให้กับบริษัท เช่น สามารถทำยอดขายได้เกินเป้า หรือสามารถลดต้นทุนต่าง ๆ ให้กับบริษัทได้
ยกตัวอย่างเช่น
“I have taken 6-month Chinese course in Beijing Language and Culture University” (ดิฉันเคยลงเรียนหลักสูตรภาษาจีน 6 เดือนที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งค่ะ)
“In that role, a major accomplishment I’m most proud of was that I was able to use Google documents for all the documents in the office instead of using paper. This resulted in a cost saving of approximately a thousand Baht per month.” (ในตำแหน่งนั้น ผลงานที่ดิฉันภูมิใจมากที่สุดคือ ดิฉันสามารถใช้เอกสารทุกอย่างที่ใช้ออฟฟิศผ่านทางกูเกิ้ลทั้งหมด แทนที่จะใช้กระดาษ ทำให้สามารถลดต้นทุนลงได้เดือนละประมาณหนึ่งแสนบาท)
3.เล่าเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของงานที่เราไปสมัคร
หลังจากที่เราโฆษณาจุดขายของเราไปแล้ว จากนั้นเราควรพูดถึงสิ่งที่บริษัทต้องการจากตัวผู้สมัครด้วย ในส่วนนี้จะเป็นคำพูดที่ทำให้เกิดผลทางด้านจิตวิทยา ที่เราต้องการสื่อให้กรรมการรู้ว่า ไม่เพียงแต่เราจะรู้จักตัวเองดีพอเท่านั้น เรายังรู้ด้วยว่าบริษัทนี้ต้องการคนแบบไหนเข้ามาร่วมทำงานด้วย เรียกได้ว่า รู้เขารู้เรา รบสิบครั้งชนะร้อยครั้ง ฮ่าๆๆๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราจำเป็นต้องทำการบ้านล่วงหน้ามาก่อน สามารถหาได้จากโฆษณาหรือประกาศรับสมัครงานของบริษัทเหล่านั้น เราสามารถนำ key word ต่าง ๆ มาใส่แทรกในคำตอบของเราได้ เช่น อยากสมัครแอร์โฮสเตส สายการบินก็ต้องการคนที่สวย มั่นใจ ร่าเริง รักงานบริการ
ยกตัวอย่างเช่น
“I understand that for this position of cabin crew that you’re hiring for, you’re not only looking for a poised or well-groomed person, but also a serviced-minded, cheerful and passionate one.” (ดิฉันทราบดีว่าตำแหน่งลูกเรือที่คุณต้องการคัดเลือกเข้าทำงานนั้น คุณไม่เพียงแต่ต้องการคนที่สวย สง่า มั่นใจเท่านั้น แต่ยังต้องการคนที่รักงานบริการ ร่าเริงและกระตือรือร้นอีกด้วย)
4.เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่บริษัทควรคัดเลือกเข้าทำงาน
เราสามารถพูดถึงส่วนนี้ได้โดยที่กรรมการไม่ต้องถาม เป็นการขายตัวเองปิดท้ายจบแบบฟินาเล่ อย่างสวยงาม ทำให้เราดูโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น หลายคนพลาดมากที่ลืมพูดส่วนนี้ไป ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงาน ดังนั้นเราต้องจบให้สวยด้วยการโน้มน้าวใจกรรมการให้ได้ว่าเราคือคนที่เหมาะสมที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น
“Overall, due to my strong background and achievements, I am confident I’ll be able to succeed in this role you’re hiring for.” (ทั้งหมดทั้งมวลอันสืบเนื่องมาจากประสบการณ์และผลงานอันโดดเด่น ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันจะสามารถประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ที่คุณคัดเลือกได้)
หรือ “I am sure that my experiences will make a good fit for the position you’re hiring for.” (ดิฉันมั่นใจว่าประสบการณ์ของดิฉันจะเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่คุณคัดเลือก)
จบแล้วค่า คำถามเดียวสั้น ๆ แต่ต้องตอบครบถ้วนกระบวนความ ขายตัวเองให้ดูเนียน จนกรรมการแทบอยากจะรับเข้าทำงานเดี๋ยวนั้นเลย ลองไปปรับใช้กันดูนะคะ ใช้ได้กับทุกสายงาน ทุกสาขาอาชีพ พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ต้องดูมั่นใจไว้ก่อน สู้ ๆ นะคะทุกคน
ถ้าเกิดว่าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไงดี สามารถไปดูต่อได้ในยูทูปนะคะ "Junie The High Flyer"จะได้ออกเสียงถูกค่ะ แต่เนื้อหาหลักในคลิปยูทูปจะเกี่ยวข้องกับการสอบสัมภาษณ์แอร์โฮสเตสนะคะ ส่วนเนื้อหาในพันทิป ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้กับทุกอาชีพค่ะ