--- ท่านพาหิยะ ท่านปัญญามาก เห็นแล้วท่านรู้ทันสภาวะการเห็นทัน ว่าจิตเห็น ไม่ทันให้เกิดอวิชชา ว่ามีตน เห็น ... แล้วเราจะทำอย่างไร ให้บรรลุธรรมได้
**************************
๑๐. พาหิยสูตร
ว่าด้วยพระพาหิยเถระ
...
...
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้๑- ก็
สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง พาหิยะ เธอพึงรักษา
อย่างนี้แล
เมื่อใด เธอเมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์
ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อนั้น เธอ
ก็จะไม่มี เมื่อใด เธอไม่มี เมื่อนั้น เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น๒- เมื่อใด เธอไม่
ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลก
ทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์”
ลำดับนั้น ด้วยพระธรรมเทศนาย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค จิตของพาหิยะ
ทารุจีริยะจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
...
...
****************************
เมื่อ มีสังขาร(ในพระธรรมบทนี้ หมายถึง ผลกรรมที่เกิดจากการกระทำทางกายวาจาใจ(วิบาก)) เป็นปัจจัย ให้มี
1.วิญญาน(ปฏิสนธิวิญญาน)
2.นามรูป(จิตและกาย)
3.ผัสสะ(การสัมผ้สทางประสาทสัมผัสและใจ)
4.และเวทนา
5.ตัณหา
ข้อ 1-4 เป็นผลของกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเกิด
ท่านพาหิยะ ท่านสามารถทำตามที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนได้ทันทีในขณะนั้น
รู้ทัน ตอนข้อ3 ผัสสะ และรับรู้สิ่งนั้นด้วยใจ เท่านั้น
แล้วรู้ ก็เพีบงรู้ว่าจิตรับรู้ ไม่ทันให้เกิด ความคิดว่าเป็นตน
จึงไม่มีตน
หลุดพ้นจากทุกข์ใจทันที ในขณะนั้น
แล้วเรา จะไปเห็นทันที่ขั้นตอนไหน จะหลุดพ้นได้บังไง?
--- ท่านพาหิยะ ท่านปัญญามาก เห็นแล้วท่านรู้ทันสภาวะการเห็นทัน ว่าจิตเห็น ไม่ทันให้เกิดอวิชชา ว่ามีตน เห็น ... แล้วเราจะ