Hi, everyone! Welcome to KnoxInTheMood Review!
วันนี้คุณป้ากลับมาอีกแล้วกับการรีวิวเปรียบเทียบน้ำป้าเจี๊ยบอันโด่งดัง กับผู้ท้าชิงสาวพราวเสน่ห์ น้อง MISSHA (มิชชา) จากประสบการณ์การใช้งานเองพร้อมข้อมูลอัดแน่นเหมือนเดิมคร่า
ขอเกริ่นก่อนนะคะว่าป้าใช้เจ้าป้า SK-II Facial Treatment Essence มานานมากแล้ว แบบใช้ ๆ หยุด ๆ เพราะรู้สึกว่าตอนใช้แรก ๆ มันรู้สึกว่าเห็นผลดี แต่พอใช้ไปซักพักมันดูทรง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดอะไรขึ้น (ไม่รู้ใครเป็นเหมือนกันมะ?) แต่ล่าสุดได้ลองน้องใหม่ MISSHA Time Revolution The First Treatment Essence Rx ที่แอบมีความละม้ายเอามาก ๆ
เริ่มที่ Packaging
อันนี้ให้เสมอกันนะคะ มีความละม้ายกันมากอย่างที่เกริ่นไป ทั้งคู่เป็นขวดแก้วเนื้อทราย ฝาเป็นสีเงิน และยังเหยาะแล้วหก เลอะเทอะบริเวณจุก ไหลย้อยลงมาตรงคอขวด กะปริมาณก็ยาก เหมือนกั้นเป๊ะ อันนี้นาจะออกแบบหัวจุกให้มันเหยาะแล้วไม่หกได้เนอะ
มาดูเรื่องสำคัญ คือ ส่วนผสม กันต่อเลยค่ะ ป้าอยากรู้มากว่ามันเหมือนหรือต่างกันยังไง?
ของคุณป้า SK-II นี่ที่กล่องและขวดไม่มีส่วนผสมบอกเลยจร้า จะมีก็แต่ภาษาญี่ปุ่น (อาจเพราะซื้อจากดิวตี้ฟรีต่างประเทศ) เลยต้องไปเสิร์ชเอาจากเว็บของทางแบรนด์ ได้ความดังนี้
จะเห็นว่าส่วนผสมหลักของเค้าเลยก็คือ Galactomyces Ferment Filtrate ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามาจากยีสต์สายพันธุ์ Galactomyces มีชื่อทางการค้าที่พวกเราคุ้นหูกันดีว่า “พิเทร่า” (Pitera) นั่นเอง ใส่มาอย่างเจ้มจ้นถึง 90% เลยทีเดียว โดยเค้าเคลมว่านางมีส่วนประกอบชีวภาพทางธรรมชาติที่อุดมไปด้วยอนุภาคอาหารผิวกว่า 50 ชนิด ซึ่งรวมถึงคุณค่าจากวิตามิน กรดอะมิโน แร่ธาตุ กรดอินทรีย์ ฯลฯ ช่วยปรับสภาพให้ผิวทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ และบำรุงผิวด้วยปัจจัยเพื่อความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเพื่อมอบผิวดูสุขภาพดี และกระจ่างใสยิ่งขึ้น
มี Butylene Glycol และ Pentylene Glycol ร่วมกันทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้น
นอกนั้นเป็นน้ำ และสารกันเสียถึง 3 ตัว นั่นคือ Sodium Benzoate, Methylparaben และ Sorbic Acid
มาดูส่วนผสมของน้อง MISSHA กันบ้าง
ตัวนี้เห็นว่าเป็นสูตรปรับปรุงใหม่ล่าสุด ถือเป็น 4th generation ของน้ำตบตัวนี้
จะเห็นได้ว่ามีส่วนประกอบหลายชนิดกว่า SK-II มากมาย
ตัวชูโรงคล้ายกันเลย ก็คือ Yeast Ferment Extract ซึ่งเป็นสารสกัดที่ได้มาจากการหมักบ่มเหมือนกัน แต่จะได้จากยีสต์คนละตัว โดยจะเป็นสายพันธุ์ Saccharomyces Cerevisiae ซึ่งคุณป้าพยายามหาข้อมูลจากเว็บของ MISSHA เองแต่ไม่มีภาษาไทยเลยค่ะ เลยต้องไปเข้าเว็บของฝั่งสิงคโปร์แทน ก็ได้ความว่ามันคือ CICA Enzyme Fermentation ซึ่งใส่มาสูงถึง 95% แหนะ โดยทำงานในเรื่องการเติมความชุ่มชื้นและรักษาความสมดุลของผิว
ที่น่าสนใจคือเค้าใช้เทคโนโลยีการหมักบ่มเฉพาะของ MISSHA คือวิธี PRO FERMENT αTM โดยจะทำการ Double Fermentation หมักบ่มที่อุณหภูมิอุ่น ๆ เพื่อกระตุ้น CICA Enzyme ต่อด้วยอุณหภูมิต่ำแบบสุญญากาศและสกัดจนได้เอนไซม์นี้ออกมานั่นเอง บวกกับ Delivery Technology ซึ่งถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือการทำให้สารที่สกัดนั้นซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ลำดับต่อมานางใช้ 1,2-Hexanediol ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเก็บกักน้ำใต้ผิว แถมป้าไปอ่านเจอว่ามันยังทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ ทำให้ลดการใช้สารกันเสียได้มากเลยทีเดียว เสริมด้วยการเติมความชุ่มชื้นจาก Propanediol, Sodium PCA, Butylene Glycol, Glycerin และ Hydrogenated Lecithin อีกแรง
ตามมาติด ๆ กับ Niacinamide หรือวิตามินบี 3 ที่มีสรรพคุณครอบจักรวาลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เด่นเรื่องการทำให้ผิวกระจ่างใส
คุณพระ! นางมีส่วนผสมชื่อดังอย่าง Bifida Ferment Lysate มาด้วยเด้อ ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซม DNA ของผิวได้ ดังไม่ดังก็ถูกใช้เป็นส่วนผสมหลักในเซรั่มเคาน์เตอร์แบรนด์ราคาแพงหลายตัว เช่น Lancôme Génifique และ ซื้อ Estée Lauder ANR ยังไงละจ๊ะ โดยน้อง MISSHA ใส่มาในลำดับที่ 4 กันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีสารบำรุงอื่น ๆ อีก เช่น Oryza Sativa (Rice) Extract หรือสารสกัดจากข้าว อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินนานาชนิด ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและสว่างขึ้นได้ และ Pearl Powder ที่เค้านำไปแช่ในน้ำส้มสายชู ทำให้ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว texture ผิวจึงเรียบเนียนขึ้น กระจ่างใสแลดูฉ่ำ มี Adenosine ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากยีสต์ ช่วยปลอบประโลมผิว กระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูดูมีชีวิตชีวา
ยังไม่หมดจ้า นางใส่ Polyquaternium-51 มาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสารที่มีราคาสูง มีโครงสร้างคล้ายส่วนประกอบของผิว สามารถเกาะอยู่กับ Keratin ของผิวได้ทำให้ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว เสมือนเกราะป้องกัน ผิวจึงได้รับการฟื้นฟูและแข็งแรงขึ้นได้ แถมยังมี Ceramide NP หนึ่งในเซราไมด์ที่เป็นส่วนประกอบในผิวหนังชั้นนอก และ Cholesterol เป็นตัวช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดีอีกด้วย
ส่วนสารกันเสียเห็นแค่ตัวเดียวนะ คือ Ethylhexylglycerin ซึ่งเป็นตัวที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
ข้างกล่องมีภาษาอังกฤษด้วย ดีงามอยู่ นางเคลมว่าเป็นสูตรที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยต่อผิวโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ไม่มีสารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง พวกสารกันเสียกลุ่ม Paraben, Alcohol, Propylene Glycol, etc.
อ่ะ มาดูเนื้อผลิตภัณฑ์กัน
เทียบกันจะ ๆ คือเหมือนกันอย่างกับแกะ เนื้อเป็นน้ำใส ๆ เหลว ๆ เหมือนน้ำเปล่า ทาไปบนผิวแล้วก็จะชุ่ม ๆ ที่ผิวแป๊บนึง ตบ ๆ ๆ ซักพักก็จะซึมหายไปแบบไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกชุ่มชื้นเล็กน้อย หน้ารู้สึกเบาสบายดี ไม่แห้ง แต่น้อง MISSHA จะให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดูในรูปจะดูไม่ค่อยเห็นความต่าง แต่ความรู้สึกบนหน้าหลังใช้ ฟีลได้ชัดเจนเลยค่ะ
แต่สิ่งหนึ่งที่น้อง MISSHA ชนะป้า SK-II เห็น ๆ ก็คือเรื่องกลิ่น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำป้าเจี๊ยบนั้นกลิ่นมันรุนแรง ตุ ๆ เน่า ๆ ยังไงพิกล คนที่ใช้จนชินคงไม่อะไรมาก แต่ป้านาน ๆ ใช้ทีก็จะแหวะ ๆ หน่อย...แต่น้อง MISSHA นั้นแทบไม่ได้กลิ่นเลยอ่ะ (หรือป้าจมูกไม่ค่อยดี 555+) ไม่ใส่น้ำหอมด้วย อันนี้ดีจริงก็ต้องชม ๆ ๆ ๆ
เรื่องราคาค่าตัว ป้า SK-II นี่ไม่ต้องพูดถึง ของเค้าแรง ป้าซื้อในดิวตี้ฟรีเป็นเซ็ตไซส์ 75 ml (+ ครีมกระปุกสีแดงเล็ก ๆ + โฟมล้างหน้าหลอดขนาดพกพา + มาสก์หน้า 1 แผ่น) โดนไปเกือบ 2,500 คิดเล่น ๆ ถ้าเป็นตัวน้ำตบแค่ขวดเดียวคงมีเฉียด ๆ 2,000 ล่ะ
ส่วนน้อง Missha ไซส์ 150 ml ลองดูใน Shopee ก็ไล่ตั้งแต่ 700 กว่า ๆ - 1,000 ต้น ๆ (ราคา ณ วันที่ 1 September 2019) แต่ลองเช็คในเว็บที่เกาหลี แค่ 600 กว่าบาทเองจร้า
เทียบราคากับปริมาณแล้ว ไม่ต้องกดเครื่องคิดเลขให้วุ่นวาย Missha คุ้มกว่าเห็น ๆ เด้อ
เอาหละ...มาดูผลที่ได้หลังจากการใช้ทั้ง 2 สาวมาพักใหญ่ ๆ ค่ะ โดยป้าจะใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่น ๆ ที่ใช้เป็นประจำ
(โดยจะใช้วิธีหยดลงฝ่ามือแล้วประคบ ตบ ๆ ลงไปบนหน้าและลำคอโดยตรง บางคนอาจชุบสำลีแล้วเช็ดก็ได้ ถือเป็นการเช็ดสิ่งสกปรกกับเซลล์ผัว เอ๊ย เซลล์ผิวเก่า ๆ ออกไปได้อีกหน่อย...แต่ป้างกไง ป้าว่ามันแอบเปลือง อิอิ)
ต้องบอกว่าทั้ง 2 ตัวให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกันมาก ป้าขอสรุปเลยลกันค่ะ
ชอบ (+) vs ไม่ชอบ (-) ?
1. ความรู้สึกบนผิว = เบาสบายหน้าดี ไม่ทำให้หน้ามันขึ้น อันนี้ให้ SK-II เค้านะคะ เพราะ Missha จะซึมช้ากว่านิดนึง รู้สึกเหมือนมีอะไรเคลือบผิวบาง ๆ แต่ก็ไม่ได้เหนอะหนะหรือหนักหน้าแต่อย่างใด
2. กลิ่น = ดีที่ไม่มีน้ำหอมทั้งคู่ แต่ SK-II เหม็นบูด ในขณะที่ Missha ส่วนตัวป้าถือว่าไม่มีกลิ่นเลย
3. ความชุ่มชื้น = ทั้งคู่ให้ความชุ่มชื้นพอประมาณ แต่ Missha ชนะตรงเติมและเก็บกักความชุ่มชื้นได้ดีกว่า ป้าว่าทั้งคู่ใช้ได้กับทุกสภาพผิวแหละ
4. ความกระจ่างใส = ผิวแลดูกระจ่างใส สดชื่นมีชีวิตชีวาดีทั้ง 2 นาง แต่ก็คงต้องดูต่อกันอีกยาว ๆ
5. รอยแผลเป็น = เหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะรอยแผลแดงจากสิว ผด จางลงเร็วกว่าปกติ
6. ริ้วรอย = อันนี้ทั้งคู่ยังไม่เห็นผลใน 2 อาทิตย์นะคะ ระยะยาวก็คงต้องมาว่ากันอีกที
7. การระคายเคือง = ไม่ระคายเคือง ไม่แพ้เลย ทั้ง 2 ตัว (สำหรับท่านอื่นยังไงก็แนะนำให้ test อาการแพ้กันก่อนเด้อ)
8. ส่วนผสม = อันนี้ต้องให้น้อง Missha เค้านะคะ เพราะคัดสรรค์ส่วนผสมที่ดีงาม และคัดออกตัวที่ไม่ดี หรือสุ่มเสี่ยงออกไป ในขณะที่ป้า SK-II ส่วนผสมเบสิคดี แต่ทำให้อดคิดไม่ได้เมื่อเทียบกับค่าตัวของนาง แถมยังแอบระแวงสารกันเสียที่ใส่มาตั้งหลายตัวแหนะ
9. ความคุ้มค่า = Missha เห็น ๆ เนอะ ไม่พูดเยอะ คอแห้ง...555
รีวิวนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของป้าเองล้วน ๆ รักใครชอบใครก็เลือกเอาตามอัธยาศัยเลยนะคะ ก็เหมือนเลือกแฟนเนอะ อิอิ มันเป็น personal preference อ่ะเนอะ ถ้าใครใช้ตัวไหนแล้วชอบไม่ชอบยังไงก็มาเมาท์มอยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเนอะ


ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และฝากติดตามคุณป้าที่ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยเด้อ
I hope you found my review useful. Until next time…Cheers!
[CR] รีวิว น้ำตบยีสต์ชื่อดัง 2 ยี่ห้อ (SK-II Facial Treatment Essence VS Missha Time Revolution The First Treatment Essence)
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และฝากติดตามคุณป้าที่ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยเด้อ
I hope you found my review useful. Until next time…Cheers!
Youtube : https://www.youtube.com/c/KnoxInTheMood
Facebook : https://www.facebook.com/KnoxInTheMood
Instagram : https://www.instagram.com/knox_in_the_mood/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้