“โรงเรียนกินสบายใจ” ปฏิบัติการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมในโรงเรียน

“เกษตรอินทรีย์” คือที่มาของผลผลิตที่มีคุณค่าสำหรับผู้บริโภค ผู้ผลิต และสิ่งแวดล้อม หัวใจของการทำเกษตรอินทรีย์คือการปฏิเสธสารเคมีทุกชนิด 
เพื่อผลผลิตที่ปลอดสารเคมี และความปลอดภัยของผู้บริโภค ผู้ผลิตรวมทั้งความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา[1] ผักอินทรีย์เป็นสินค้าที่ผู้ผลิตนำมาจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคได้บริโภคผักปลอดภัยต่อสุขภาพ ถึงแม้ว่าผักอินทรีย์มีราคาสูงกว่าผักทั่วๆ ไปก็ตาม การผลิตผักอินทรีย์เป็นวิธีการปลูกผักที่มีขั้นตอนละเอียดกว่าการปลูกผักทั่วไป โดยผู้ผลิตต้องศึกษามาตรฐานการผลิตผักอินทรีย์เพื่อความเข้าใจก่อนปลูก
พันธุ์ผักที่ใช้ปลูกต้องเป็นพันธุ์ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดีในท้องถิ่นทนทานต่อโรคและแมลง เป็นที่ต้องการของตลาด และเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์อินทรีย์[2]
การศึกษาการสร้างความมั่นคงทางอาหารของเกษตรกรอินทรีย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างพบว่า กลวิธีการสร้างความมั่นคงของเกษตรกรอินทรีย์ให้มีความมั่นคงทั้งด้านบริโภค ด้านการผลิตและด้านทรัพยากร เป็นกระบวนการที่เริ่มจากการนำทรัพยากรการผลิตดิน น้ำ และปัจจัยการผลิตหมุนเวียนต่างๆ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เงินทุน แรงงาน และเครื่องจักรมาจัดการผลิตแบบอินทรีย์ที่ประกอบด้วย การจัดการทรัพยากร การจัดการปัจจัยการผลิตหมุนเวียน และการจัดการในกระบวนการผลิต โดยใช้ความรู้และเทคโนโลยี และการส่งเสริมของกลุ่มชุมชนและเครือข่ายในด้านต่างๆ จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นผลผลิตอาหารที่มีความหลากหลาย ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่มีปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้น และนำผลผลิตที่ได้มาจัดการโดยการเก็บสำรอง แลกเปลี่ยน แบ่งปัน และจำหน่ายทั้งแบบพึ่งตนเองและพึ่งพากันและกันของกลุ่มชุมชนและเครือข่าย [3]

ซึ่งสื่อสร้างสุขอุบลราชธานีเล็งเห็นความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนในเครือข่าย “โรงเรียนกินสบายใจ” ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการผลิตผักอินทรีย์และอาหารปลอดภัย จำนวนทั้งสิ้น 19 โรงเรียน ดำเนินกิจกรรมทั้งสิ้น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่หนึ่ง การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับนักพัฒนาเอกชน NGOs และนักกิจกรรม เพื่อลงพื้นที่ดำเนินการสร้างการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับผักอินทรีย์ อาหารปลอดภัย และอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนในโรงเรียน ระยะที่สอง การมอบทุนสนับสนุนในการซื้อเมล็ดพันธุ์ผักและกระบวนการปลูก/ดูแลแปลงผักและดำเนินกิจกรรมเรียนรู้ในโรงเรียน และระยะที่สาม การลงพื้นที่ติดตามการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่โรงเรียน การสัมภาษณ์ สังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม รวมถึงการสนทนาแบบไม่เป็นทางการ เพื่อให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรม กระทั่งพบบทเรียน คุณค่า หรือองค์ความรู้บางอย่างที่น่าสนใจจากการทำงานร่วมกับเครือข่ายโรงเรียน ดังนี้

คุณค่าด้านความต้องการทางกายภาพ (Physiological) นักเรียนในโรงเรียนได้รับอาหารที่มีประโยชน์จากการปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรียน เนื่องจากเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในชุมชนต้องอยู่กับผู้สูงอายุ พ่อแม่ของเด็กส่วนหนึ่งไปเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้ไม่มีเวลาดูแลลูก เด็กบางคนต้องบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับข้าว ซึ่งได้คุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเกิดโครงการปลูกผักอินทรีย์และการทำอาหารปลอดภัยในโรงเรียนทำให้เด็กได้รับประทานอาหาร หรือบางกรณีเด็กที่พ่อแม่ไม่เอาใจใส่ดูแลเรื่องการทานข้าวที่บ้านหรือการห่อข้าวไปรับประทานที่โรงเรียน เมื่อถึงเวลาพักเที่ยวเด็กจะปลีกตัวออกห่างจากเพื่อนและปล่อยให้ตัวเองหิวข้าวเพราะไม่ได้ห่อข้าวมาและไม่มีเงินซื้อข้าวรับประทาน ทางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาโดยการขอรับบริจาคข้าวสารจากคนในชุมชนเพื่อนำมาประกอบอาหารให้กับนักเรียนทุกคน เป็นต้น

คุณค่าด้านความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety) ก่อนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนจำนวนมากไม่เน้นกิจกรรมเกี่ยวกับการปลูกผักอินทรีย์ไว้สำหรับบริโภคในโรงเรียน หรือนำมาประกอบอาหารกลางวัน เนื่องจากมองว่าการที่เด็กมาโรงเรียนจะต้องเน้นกระบวนการเรียนการสอนเชิงวิชาการ แต่หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรมทำให้โรงเรียนเห็นว่าการดำเนินกิจกรรมสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ในมิติอื่นๆ ให้กับเด็กได้ อีกทั้งอาหารที่เด็กได้รับเป็นอาหารปลอดสารเคมี ปลอดภัย หรือส่วนน้อยที่ไม่สามารถผลิตได้เองในโรงเรียนยังคงซื้อจากตลาด แต่การซื้อสินค้าจากตลาดมาประกอบอาหารทำให้โรงเรียนตระหนักเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารมากขึ้น

คุณค่าด้านการยอมรับหรือการมีส่วนร่วมทางสังคม (Love and Belong) เมื่อโรงเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม นอกเหนือจากคณะทำงานโครงการได้ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน มีการเชิญโรงเรียนเครือข่ายออกมาทำกิจกรรมภายนอกโรงเรียนร่วมกับพื้นที่อื่น เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม การไปศึกษาดูงานแปลงเกษตรกร หรือการแนะนำแหล่งจำหน่ายสินค้าผักอินทรีย์ ทำให้โรงเรียนเห็นภาพโอกาสความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจกรรมที่จะทำให้โรงเรียนเกิดภาพการทำงานด้านนี้มากขึ้น

คุณค่าด้านความภาคภูมิใจหรือความต้องการยอมรับนับถือ (Esteem) การดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเกษตรกรรม อินทรีย์ หรือปศุสัตว์ในโรงเรียน นอกจากจะช่วยให้เด็กในโรงเรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมกับเพื่อนๆ และครูในโรงเรียนแล้ว ยังสามารถส่งต่อกิจกรรมไปถึงครอบครัวของนักเรียนที่เข้าร่วมได้ เนื่องจากเด็กนักเรียนเห็นว่าการปลูกผักเป็นประโยชน์ทำให้เข้าเหล่านั้นขยายพื้นที่ปลูกผักในครอบครัวของตัวเอง รวมถึงครูในโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้นำแนวคิดการปลูกผักอินทรีย์ และการบริโภคผักที่เป็นประโยชน์มากขึ้นไปพร้อมกับนักเรียน

คุณค่าของชีวิตหรือความพึงพอใจส่วนตัว (Self-Actualize) หลังจากโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรมแล้วเห็นว่ากิจกรรมที่ดำเนินการมานำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ บทเรียนบางอย่างทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว โรงเรียนมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่เกิดขึ้นหลังจากได้ดำเนินการ และมองเห็นภาพของความเชื่อมโยงและขยายผลการทำกิจกรรมปลูกผักสู่กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ เช่น การทำน้ำหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ และการคาบคุมโรคหรือแมลง รวมถึงการใช้กระทบวนการปลูกผักในพื้นที่โรงเรียนที่มีอยู่อย่างจำกัดต่อไป 

นอกจากนั้นการลงพื้นที่โรงเรียนกินสบายใจพบกรณีตัวอย่างโรงเรียนที่น่าสนใจ เช่น โรงเรียนบ้านนาเมืองเป็นตัวอย่างโรงเรียนที่ตังอยู่ในเมืองซึ่งมีพื้นที่จำกัดในการปลูกผัก โรงเรียนพยายามหาพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้ร่วมกันโดยการแบ่งหน้าที่การดูแลแปลงผักเล็กๆ ของตนเอง มีการปลูกผักต่างๆ ที่นักเรียนชอบรับประทาน เช่น ผักบุ้ง ผักกาด มะเขือ กล้วย พริก เป็นต้น หลังจากนั้นทางโรงเรียนได้นำผลผลิตของนักเรียนไปให้แม่ครัวประกอบอาหารกลางวันและให้เด็กในโรงเรียนได้ร่วมประกอบอาหาร ในอนาคตทางโรงเรียนอยากขยายกิจกรรมที่เชื่อมต่อกับชุมชนและตลาดเพิ่มมากขึ้น[4] หรือ กรณีโรงเรียนบ้านผับแล้ง โรงเรียนขนาดเล็กในชนบทสะท้อนภาพให้เห็นว่า นอกเหนือการจากปลูกผักสวนครัวที่นำไปประกอบอาหารแล้ว ทางโรงเรียนมีแผนการทำงานร่วมกับชุมชนซึ่งมีความต้องการให้เกิดพื้นที่ตลาดสีเขียวในชุมชน นอกจากนั้นโดรงเรียนยังส่งเสริมกิจกรรมการขยายพันธุ์มะนาวโดยการตอนกิ่งเพื่อสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งให้กับนักเรียน รวมถึงการนำองค์ความรู้จากโรงเรียนไปขยายผลในโรงเรียนอีกด้วย[5]

ดังนั้น จะเห็นว่ากิจกรรมต่างๆ ที่ทางโครงการพยายามดำเนินการได้สะท้อนภาพของความสำคัญมิติต่างๆ ที่เป็นผลพวงจากการทำกิจกรรมเล็กๆ ร่วมกันระหว่างนักเรียนและโรงเรียน ซึ่งเป้าหมายปลายทางในอนาคตทางโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการอยากขยายผลกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เหล่านี้จากภายในโรงเรียนออกสู่ชุมชนภายนอก และร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันในอนาคต ซึ่งเป็นบทเรียนที่เริ่มต้นจากการดำเนินกิจกรรมเล็กๆ ภายในโรงเรียนที่จะนำไปสู่การกระตุ้นความตระหนัก และการขยายพื้นที่ผักอินทรีย์หรืออาหารปลอดภัยในระดับชุมชน สังคมวงกว้างต่อไปในอนาคต

อ้างอิง
[1] สุณัฐวีย์ น้อยโสภา. (2558). “เกษตรอินทรีย์” โอกาสการส่งออกของเกษตรกรไทยในตลาดโลก.
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี. 9(18): 83-91.
[2] คริษฐ์สพล หนูพรหม. (2558). การผลิตผักอินทรีย์: Organic Vegetable Production. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
23(6), (ฉบับพิเศษ): 955-969.
[3] เพชรบุญฟักเกตุ และคณะ. (2559). การศึกษาการสร้างความมั่นคงทางอาหารของเกษตรกรอินทรีย์ 
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. 6(2): 96-104.
[4] วงสนทนากลุ่มย่อยคณะครูและนักเรียน โรงเรียนบ้านผับแล้ง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี.
[5] วงสนทนากลุ่มย่อยคณะครูและนักเรียน โรงเรียนบ้านนาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่