5 วัน 4 คืนที่นาฬิกาชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลง จากนอนดึกตื่นสาย นอนเร็วตื่นเช้า จะต้องเปลี่ยนไปแบบว่านอนทุกเวลาที่อยู่บนรถ ตื่นดึก เดินยามวิกาล พักผ่อนอีกทีตอนสายๆก็เป็นไปได้ เป็นไปได้อย่างงัยลองดูกันครับ........

"โบรโม่" ภูเขาไฟที่เป็น 1 ในเป้าหมายของใครหลายๆคน การได้มายืนรอดูแสงแรกที่สาดส่องจากด้านบนนี้ไม่ธรรมดาทีเดียวครับ

หมอกเคลื่อนตัวปกคลุมพื้นที่ด้านล่างหลังจากเมื่อคืนฝนตกลงมา สร้างอีก 1 บรรยากาศได้เป็นอย่างดีครับ

จากมุมด้านบนของ "คาวาอีเจี้ยน" อีกหนึ่งภูเขาไฟที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ

ด้านล่างปากปล่อง "คาวาอีเจี้ยน" ภูเขาไฟที่ยังไม่หยุดปะทุจนถึงปัจจุบัน

มุมพระอาทิตย์ตกบริเวณ Tanah Lot ที่ใครหลายๆคนอยากมายืนมอง

Ulun Danu Beratan วิหารกลางน้ำที่สวยงามด้วยฉากด้านหลังถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขารอบด้าน

บนจุดชมวิว King Kong Hill ที่ใครหลายๆคนใช้เพื่อชื่นชม"โบรโม่"จากระยะไกล
จังหวะแรกของการเริ่มต้นการเดินทาง ผมแอบถอนหายใจเบาๆ บ่นกับตัวเองว่า “ซวยแล้วตรู เจอกันตี 4 ต้องตื่นกี่โมงว่ะเนี่ย แล้ววันอื่นๆยังงัยว่ะเนี่ย มีออกเดินทางบางวันตี 1 ด้วย” แต่ถึงอย่างนั้นเวลาตี 4 ตรง ผมก็ก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ เตรียมพร้อมกับการพบเจอหมู่มวลสมาชิกเพื่อนร่วมทางตลอด 5 วัน 4
คืนของผม
หน้าตาในจังหวะแรกของการพบกัน บางคนมาด้วยอารมณ์มึนๆ บางคนคล้ายคนยังไม่ตื่น บางคนและรวมถึงผมด้วยแอบหลบสายตาด้วยแว่นกันแดดสีดำเข้ม
เราใช้เวลาไม่นานในการทักทายกันเบาๆตามประสาคนยังไม่รู้จักกันมากนัก และนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่เช้าเกินไปสำหรับการเริ่มต้นแนะนำตัวเพื่อทำการรู้จักกันอย่างเป็นทางการก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อโหลดสัมภาระที่เตรียมมา

เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องสายการบินแอร์เอเชียดังขึ้น เราทั้งหมด 16 ชีวิต พาตัวเองขึ้นไปยังที่นั่งตามหมายเลขที่นั่ง มีการเคลื่อนย้ายกันบ้างเพื่อความลงตัว ส่วนตัวผมแอบย้ายไปนั่งในแถวที่ไม่มีผู้โดยสาร เพื่อเตรียมจะนอนเก็บแรงให้พร้อมกับการเดินทางที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ หัวพิงข้างกระจก หมอนรองคอเข้าประจำที่ แว่นตากันแดดพร้อมประจำตำแหน่ง ก่อนที่ผู้โดยสารจะขึ้นเครื่องครบ สวิตซ์ชีวิตผมดับลงไปชั่วคราว ไม่มีความรู้สึกชั่วขณะ มารู้สึกอีกทีตอนล้อเครื่องบินกระแทกเบาๆที่สนามบินเดปาซาร์ นั้นแปลว่าการเดินทางได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าสำหรับการเดินทางที่ผมหายไปจากชาวโลก ก็ถือว่าเป็นการเติมพลังได้มาในระดับหนึ่ง สนามบินขนาดไม่ใหญ่มากของบาหลี แต่ดูยังค่อนข้าวงใหม่ๆอยู่คล้ายว่าเพิ่งจะมีการสร้างเพิ่มเติม หรือการขยับขยายรองรับการมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมารอรับเราอยู่เบื้องหน้า
ใช้เวลาไม่นานกับการกรอกเอกสารเข้าเมืองการตรวจคนเข้าเมือง และการรอรับกระเป๋าเดินทาง เราเดินออกไปยังด้านนอกของสนามบินรอรถที่จะมารับเพื่อไปยังร้านอาหาร รถตู้ขนาดพอดีกับที่นั่ง 16 ที่นั่ง พร้อมด้วยรถอีก 1 คันที่จะใช้เป็นรถในการขนมเสบียงต่างๆของพวกเรามาจอดรอรับเป็นที่เรียบร้อย
ร้านอาหารที่เราจะไปกินข้าวกลางวันกันเป็นมื้อแรกของการเดินทางเป็นร้านอาหารง่ายๆ แบบมองแล้วชี้สั่งเลยว่าจะเอาอะไร อาหารในภาพที่ไม่คุ้นตา
รสชาติที่ไม่ค่อนแน่ใจ ถูกชี้นิ้วสั่งให้ตักใส่จานอยู่หลายอย่างนั่งพินิจพิจารณาอยู่ซักครู่ก่อนเริ่มกิน “เฮ้ย ใช้ได้นี่”
ระหว่างกินไปในบรรยากาศของร้านที่เตรียมไปด้วยผู้คนก็จะมีดนตรีร้องสดกล่อมเราไปด้วยอีกต่างหาก เมื่อนักร้องเห็นเราร้องตามกันได้ก็จะมีการเชื้อเชิญให้เราขึ้นไปร้องร่วมกันบ้าง
ใช้เวลากินข้าวกลางวันไม่นาน โปรแกรมการท่องเที่ยวก็เริ่มต้นขึ้น
จุดหมายปลายทางแรกของการเดินทางมาครั้งนี้ของเราคือ Tanah Lot ลักษณะเป็นวิหารที่อยู่กลางทะเล (หมายถึงตั้งอยู่บนโขดหินขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าจะขึ้นไปยังวิหารบนเกาะนั้นต้องเดินข้ามน้ำทะเลไปถึงจะขึ้นได้ โดยตั้งอยู่ไม่ห่างจากฝั่งมากนักจะเดินทางได้ง่ายขึ้นในเวลาที่น้ำทะเลลง)
การจะไปถึงยัง Tanah Lot เราจะใช้เวลาเดินทางซึ่งจริงแล้วหากมองตามระยะทางก็ดูเหมือนจะไม่ไกลมาก แต่ด้วยสภาพการจราจรบนเกาะบาหลี ถนนหนทางที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เราต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานขึ้นมากกว่า 1 ชั่วโมงจากร้านอาหาร

ณ จุดหมายปลายทางแรกของวันและของการเดินทางเราจะใช้เวลาเพื่อรอการถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่นั้น เราไปถึง Tanah Lot ช่วงประมาณ 4 โมงเย็น นั้นแปลว่าเรามีเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษก่อนที่พระอาทิตย์จะตกช่วง 6 โมง 24 นาที
จากลานจอดรถ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าผ่านร้านขายของฝากจำนวนไม่มาก จะเห็นเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ด้านหน้า ฉากด้านหลังเป็นทะเลที่ไกลสุดตา

ผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน หากเดินไปทางซ้ายมือจะเป็นเส้นทางไปยังวิหารกลางน้ำ Tanah Lot ซึ่งมีโขดหินขนาดใหญ่ที่เราจะเห็นผู้คนมากมายต่างไปยืนถ่ายรูปบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เพราะฉากด้านหลังที่เป็น 1 ใน Signature ของบาหลีที่ใครมายืนจะต้องมาดูเป็นฉากสำคัญ

ผมโชคดีในวันที่ผมไปถึงที่บาหลีกำลังมีพิธีกรรมทางศาสนา ผู้คนมากมายแต่งตัวตามสไตล์บาหลี ในมือถือตะกล้าขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านในมีดอกไม้ของสักการะจำนวนหนึ่ง
ผู้คนต่อแถวเรียงรายตามแนวชายหาดเตรียมขึ้นไปยังวิหารกลางน้ำนั้นมีหางแถวด้านล่างนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่เมื่อถึงรอบคนที่อยู่ด้านบนทยอยลงมาด้านล่าง เจ้าหน้าที่ด้านล่างก็จะจัดแถวทยอยให้ผู้คนจากด้านล่างเดินขึ้นไปยังวัดด้านบน

คนภายนอกอย่างผมอาจจะไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้ เพราะถูกสงวนไว้ให้เฉพาะคนท้องถิ่น แต่ภาพที่เห็นก็ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่ได้เห็นแรงศรัทธาของผู้คนจำนวนมากทีเดียวที่มารอต่อแถว เพื่อขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านบน

ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก กรุ๊ปของผมหลังจากใช้เวลาในการถ่ายรูปกับ Tanah Lot พักใหญ่ก็เริ่มทยอยเดินขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง ทางขวาของซุ้มประตูที่จะเป็นมุมสูง มุมที่ผู้คนจำนวนมากจะรอไปดูพระอาทิตย์ตกดิน

ผู้คนเริ่มที่จะจับจองพื้นที่ตามแนวสันเขาเพื่อหามุมในการถ่ายรูปกันอย่างอิสระ จริงๆแล้วกรุ๊ปผมมีแผนที่จะลงไปถ่ายรูปด้านล่างซึ่งจะได้มุมมองที่มีแสงพระอาทิตย์รอดผ่านหินโค้งที่ปลายแหลม ถือว่าเป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่ แต่ในวันนั้น ระดับน้ำทะเลที่ค่อนข้างสูง ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาท่วมจุดที่เราอยากจะไปยืนถ่ายรูปกัน

จุดเล็กๆในรูปคือฝูงค้างคาวที่บินออกมาจากถ้ำด้านล่างเป็นแสน เป็นล้านตัว

เราตัดสินใจที่จะปักหลักหามุมสวยๆถ่ายรูปจากด้านบน และก็ไม่ได้ผิดหวัง มุมจากด้านบนจากแสงพระอาทิตย์ที่ค่อยๆต่ำลง ผมว่าสวยงามไม่น้อยกว่าด้านล่าง
ช่วงที่เรายืนคอยแสงอาทิตย์เข้าประจำตำแหน่ง มีเสียงพูดออกมาว่าเดี๋ยวจะมีค้างคาวฝูงใหญ่ บินออกมาเป็นแสนเป็นล้านตัว จะเห็นเป็นสายๆของฝูงค้างคาวที่หลับใหลในช่วงกลางวันภายในถ้ำใต้จุดที่เรายืนรอดูพระอาทิตย์ตกดิน ทุกอย่างเหมือนจะลงตัวพระอาทิตย์คล้อยตัวต่ำลงฝูงค้างคาวเริ่มบินออกจากถ้ำเป็นสายยาวสุดลูกตาตามคำบอกเล่าของคนที่เคยมาก่อนหน้านี้จริง
เราใช้เวลาอีกซักพักใหญ่จนพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า แรงที่ลดลงเปลี่ยนไปเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยังที่พัก เพื่อการเดินอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

อ้อ สำหรับค่ำคืนแรกบนเกาะบาหลี กรุ๊ปเราพักค้างคืนที่ Handara Golf hotel ที่เป็นสนามกอล์ฟ โดย 1 ในไฮไลท์สำคัญของที่นี่ คือ ซุ้มประตูที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นบาหลีอย่างสวยงามและยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดหมายปลายทางในช่วงเช้าที่เราจะไปดูแสงแรกของวันในวันรุ่งขึ้น
อินโดฯ นอนน้อย แต่มันส์มาก “บาหลี-อีเจี้ยน-โบรโม่”
จังหวะแรกของการเริ่มต้นการเดินทาง ผมแอบถอนหายใจเบาๆ บ่นกับตัวเองว่า “ซวยแล้วตรู เจอกันตี 4 ต้องตื่นกี่โมงว่ะเนี่ย แล้ววันอื่นๆยังงัยว่ะเนี่ย มีออกเดินทางบางวันตี 1 ด้วย” แต่ถึงอย่างนั้นเวลาตี 4 ตรง ผมก็ก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ เตรียมพร้อมกับการพบเจอหมู่มวลสมาชิกเพื่อนร่วมทางตลอด 5 วัน 4
คืนของผม
หน้าตาในจังหวะแรกของการพบกัน บางคนมาด้วยอารมณ์มึนๆ บางคนคล้ายคนยังไม่ตื่น บางคนและรวมถึงผมด้วยแอบหลบสายตาด้วยแว่นกันแดดสีดำเข้ม
เราใช้เวลาไม่นานในการทักทายกันเบาๆตามประสาคนยังไม่รู้จักกันมากนัก และนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่เช้าเกินไปสำหรับการเริ่มต้นแนะนำตัวเพื่อทำการรู้จักกันอย่างเป็นทางการก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อโหลดสัมภาระที่เตรียมมา
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ หัวพิงข้างกระจก หมอนรองคอเข้าประจำที่ แว่นตากันแดดพร้อมประจำตำแหน่ง ก่อนที่ผู้โดยสารจะขึ้นเครื่องครบ สวิตซ์ชีวิตผมดับลงไปชั่วคราว ไม่มีความรู้สึกชั่วขณะ มารู้สึกอีกทีตอนล้อเครื่องบินกระแทกเบาๆที่สนามบินเดปาซาร์ นั้นแปลว่าการเดินทางได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าสำหรับการเดินทางที่ผมหายไปจากชาวโลก ก็ถือว่าเป็นการเติมพลังได้มาในระดับหนึ่ง สนามบินขนาดไม่ใหญ่มากของบาหลี แต่ดูยังค่อนข้าวงใหม่ๆอยู่คล้ายว่าเพิ่งจะมีการสร้างเพิ่มเติม หรือการขยับขยายรองรับการมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมารอรับเราอยู่เบื้องหน้า
ใช้เวลาไม่นานกับการกรอกเอกสารเข้าเมืองการตรวจคนเข้าเมือง และการรอรับกระเป๋าเดินทาง เราเดินออกไปยังด้านนอกของสนามบินรอรถที่จะมารับเพื่อไปยังร้านอาหาร รถตู้ขนาดพอดีกับที่นั่ง 16 ที่นั่ง พร้อมด้วยรถอีก 1 คันที่จะใช้เป็นรถในการขนมเสบียงต่างๆของพวกเรามาจอดรอรับเป็นที่เรียบร้อย
ร้านอาหารที่เราจะไปกินข้าวกลางวันกันเป็นมื้อแรกของการเดินทางเป็นร้านอาหารง่ายๆ แบบมองแล้วชี้สั่งเลยว่าจะเอาอะไร อาหารในภาพที่ไม่คุ้นตา
รสชาติที่ไม่ค่อนแน่ใจ ถูกชี้นิ้วสั่งให้ตักใส่จานอยู่หลายอย่างนั่งพินิจพิจารณาอยู่ซักครู่ก่อนเริ่มกิน “เฮ้ย ใช้ได้นี่”
ระหว่างกินไปในบรรยากาศของร้านที่เตรียมไปด้วยผู้คนก็จะมีดนตรีร้องสดกล่อมเราไปด้วยอีกต่างหาก เมื่อนักร้องเห็นเราร้องตามกันได้ก็จะมีการเชื้อเชิญให้เราขึ้นไปร้องร่วมกันบ้าง
ใช้เวลากินข้าวกลางวันไม่นาน โปรแกรมการท่องเที่ยวก็เริ่มต้นขึ้น
จุดหมายปลายทางแรกของการเดินทางมาครั้งนี้ของเราคือ Tanah Lot ลักษณะเป็นวิหารที่อยู่กลางทะเล (หมายถึงตั้งอยู่บนโขดหินขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าจะขึ้นไปยังวิหารบนเกาะนั้นต้องเดินข้ามน้ำทะเลไปถึงจะขึ้นได้ โดยตั้งอยู่ไม่ห่างจากฝั่งมากนักจะเดินทางได้ง่ายขึ้นในเวลาที่น้ำทะเลลง)
การจะไปถึงยัง Tanah Lot เราจะใช้เวลาเดินทางซึ่งจริงแล้วหากมองตามระยะทางก็ดูเหมือนจะไม่ไกลมาก แต่ด้วยสภาพการจราจรบนเกาะบาหลี ถนนหนทางที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เราต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานขึ้นมากกว่า 1 ชั่วโมงจากร้านอาหาร
ณ จุดหมายปลายทางแรกของวันและของการเดินทางเราจะใช้เวลาเพื่อรอการถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่นั้น เราไปถึง Tanah Lot ช่วงประมาณ 4 โมงเย็น นั้นแปลว่าเรามีเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษก่อนที่พระอาทิตย์จะตกช่วง 6 โมง 24 นาที
จากลานจอดรถ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าผ่านร้านขายของฝากจำนวนไม่มาก จะเห็นเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ด้านหน้า ฉากด้านหลังเป็นทะเลที่ไกลสุดตา
ผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน หากเดินไปทางซ้ายมือจะเป็นเส้นทางไปยังวิหารกลางน้ำ Tanah Lot ซึ่งมีโขดหินขนาดใหญ่ที่เราจะเห็นผู้คนมากมายต่างไปยืนถ่ายรูปบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เพราะฉากด้านหลังที่เป็น 1 ใน Signature ของบาหลีที่ใครมายืนจะต้องมาดูเป็นฉากสำคัญ
ผมโชคดีในวันที่ผมไปถึงที่บาหลีกำลังมีพิธีกรรมทางศาสนา ผู้คนมากมายแต่งตัวตามสไตล์บาหลี ในมือถือตะกล้าขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านในมีดอกไม้ของสักการะจำนวนหนึ่ง
ผู้คนต่อแถวเรียงรายตามแนวชายหาดเตรียมขึ้นไปยังวิหารกลางน้ำนั้นมีหางแถวด้านล่างนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่เมื่อถึงรอบคนที่อยู่ด้านบนทยอยลงมาด้านล่าง เจ้าหน้าที่ด้านล่างก็จะจัดแถวทยอยให้ผู้คนจากด้านล่างเดินขึ้นไปยังวัดด้านบน
คนภายนอกอย่างผมอาจจะไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้ เพราะถูกสงวนไว้ให้เฉพาะคนท้องถิ่น แต่ภาพที่เห็นก็ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่ได้เห็นแรงศรัทธาของผู้คนจำนวนมากทีเดียวที่มารอต่อแถว เพื่อขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านบน
ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก กรุ๊ปของผมหลังจากใช้เวลาในการถ่ายรูปกับ Tanah Lot พักใหญ่ก็เริ่มทยอยเดินขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง ทางขวาของซุ้มประตูที่จะเป็นมุมสูง มุมที่ผู้คนจำนวนมากจะรอไปดูพระอาทิตย์ตกดิน
ผู้คนเริ่มที่จะจับจองพื้นที่ตามแนวสันเขาเพื่อหามุมในการถ่ายรูปกันอย่างอิสระ จริงๆแล้วกรุ๊ปผมมีแผนที่จะลงไปถ่ายรูปด้านล่างซึ่งจะได้มุมมองที่มีแสงพระอาทิตย์รอดผ่านหินโค้งที่ปลายแหลม ถือว่าเป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่ แต่ในวันนั้น ระดับน้ำทะเลที่ค่อนข้างสูง ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาท่วมจุดที่เราอยากจะไปยืนถ่ายรูปกัน
เราตัดสินใจที่จะปักหลักหามุมสวยๆถ่ายรูปจากด้านบน และก็ไม่ได้ผิดหวัง มุมจากด้านบนจากแสงพระอาทิตย์ที่ค่อยๆต่ำลง ผมว่าสวยงามไม่น้อยกว่าด้านล่าง
ช่วงที่เรายืนคอยแสงอาทิตย์เข้าประจำตำแหน่ง มีเสียงพูดออกมาว่าเดี๋ยวจะมีค้างคาวฝูงใหญ่ บินออกมาเป็นแสนเป็นล้านตัว จะเห็นเป็นสายๆของฝูงค้างคาวที่หลับใหลในช่วงกลางวันภายในถ้ำใต้จุดที่เรายืนรอดูพระอาทิตย์ตกดิน ทุกอย่างเหมือนจะลงตัวพระอาทิตย์คล้อยตัวต่ำลงฝูงค้างคาวเริ่มบินออกจากถ้ำเป็นสายยาวสุดลูกตาตามคำบอกเล่าของคนที่เคยมาก่อนหน้านี้จริง
เราใช้เวลาอีกซักพักใหญ่จนพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า แรงที่ลดลงเปลี่ยนไปเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยังที่พัก เพื่อการเดินอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น