มันไม่แฟร์! ทำไมคนที่ทำงานน้อยกว่า แย่กว่า ถึงได้ค่าจ้างเท่ากับเรา หรือมากกว่าเรา?
เรื่องที่ชวนเสียใจและผิดหวังมากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับคนทำงาน คือเมื่อเรารู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเราที่ทำงานน้อยกว่าเรา หรือ มาทีหลังเรา หรือ อายุน้อยกว่าเรา หรือ ประสบการณ์น้อยกว่าเรา หรือ ขยันน้อยกว่าเรา หรือ ฉลาดน้อยกว่าเรา กลับได้รับค่าจ้างที่เท่ากับหรือมากกว่าเรา
มีตัวอย่างตอนหนึ่งจากคำตรัสของพระเยซู เรื่องคนทำงานในสวนองุ่น ที่จะช่วยให้เราเห็นมุมมองเรื่องค่าตอบแทน และความคิดของนายจ้างได้ชัดเจน
พระคำนี้มาจากมัทธิว 20:1-15 (
https://www.bible.com/th/bible/174/MAT.20.THSV11) เป็นเรื่องของเจ้าของสวนที่ออกไปจ้างคนงานมาทำงานที่สวนตั้งแต่เช้าตรู่ และตกลงค่าจ้างกับคนงานไว้ที่ "หนึ่งเดนาริอันต่อวัน" จากนั้นเจ้าของสวนก็ออกไปหาคนงานมาทำงานในสวนเพิ่มอีก ในเวลา 9 โมงเช้า, เที่ยง, บ่าย 3 โมง, และ 5 โมงเย็น
เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้างตอนพลบค่ำ กลุ่มคนงานที่เริ่มเข้ามาทำงานตอน 5 โมงเย็น เข้าคิวรับค่าจ้างก่อน โดยได้ไปคนละหนึ่งเดนาริอัน ทำให้คนงานกลุ่มแรกที่เข้ามาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่คิดว่า เขาน่าจะได้ค่าจ้างมากกว่าหนึ่งเดนาริอันแน่ๆ
แต่เมื่อเขาได้รับค่าจ้าง เขาได้รับ "หนึ่งเดนาริอัน" ตามที่นายจ้างตกลงไว้ ความไม่พอใจจึงเกิดขึ้น และ ณ จุดนั้น คนงานได้บ่นต่อว่าเจ้าของสวน เพราะเขาทำงานกรำแดดมาทั้งวัน แต่ทำไมถึงได้เงินเท่ากับคนที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ... พวกเขากำลังโวยวายว่า มันไม่แฟร์!
... ในฐานะลูกจ้าง เรามักเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ และหากเรามั่นใจว่า เรามีแต้มต่อบางอย่างที่เหนือกว่าเพื่อน นั่นคือ นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เรามากกว่า
แต่ในมุมมองของนายจ้าง โดยเฉพาะเจ้าของสวนในพระคำนี้ เขายืนยันที่จะจ่ายค่าจ้างให้ "หนึ่งเดนาริอัน" กับคนกลุ่มแรกที่ทำงานแต่เช้า เพราะนั่นคือข้อตกลงที่ทำขึ้นแบบ 1 ต่อ 1 ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างกลุ่มนี้เท่านั้น ส่วนเจ้าของสวนจะไปจ่ายค่าจ้างให้กับคนอื่นอย่างไร ย่อมเป็นสิทธิ์ของเจ้าของสวนเอง และลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายการใช้จ่ายเงินของเจ้าของสวนด้วย
ดังนั้น หากเวลานี้ คุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนงานกลุ่มแรกที่ดูเหมือนว่าจะได้รับค่าจ้างที่ไม่แฟร์ ความจริงคือ ถ้าคุณได้ค่าจ้างตามที่คุณตกลงกับนายจ้างไว้ นั่นคือ "มันถูกต้องแล้ว" เพราะมีการจ่ายค่าจ้างตามคำมั่นสัญญา และคุณไม่ควรตำหนินายจ้าง หรืออิจฉาเพื่อน หากเผอิญคุณได้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมงานของคุณบางคน ที่แย่กว่าคุณ แต่กลับได้รับค่าจ้างที่เท่ากับหรือมากกว่าคุณ
แล้วถ้าอย่างนั้นเราต้องยอมรับสภาพแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือ? คำตอบคือ "ไม่" ค่าจ้างคือข้อตกลงเฉพาะนายจ้างกับคุณ คุณสามารถขอการทรงนำจากพระเจ้าเพื่อหาแนวทางพัฒนาตนเองจนมีฝีมือ หรือทักษะสำคัญที่โดดเด่น แล้วนำสิ่งที่คุณมีไปเจรจากับนายจ้างอีกครั้ง เพื่อกำหนดข้อตกลงกันใหม่ (ยกเว้นว่านายจ้างจะมองเห็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของคุณ แล้วมอบค่าจ้างเพิ่มให้คุณเอง) หรือการหางานใหม่เพื่อสร้างข้อตกลงใหม่ ก็สามารถเป็นทางเลือกของคุณได้เช่นกัน
สำคัญที่สุด อย่าโกรธนายจ้าง อย่าโกรธเพื่อนร่วมงาน และอย่าคิดว่ามันไม่แฟร์ ทุกอย่างถูกต้องแล้วหากนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้คุณตามข้อตกลง เขาจะทำอย่างไรกับเงินของเขาก็ได้ แต่สำหรับคุณ คุณมีทางเลือกที่จะขอเจรจานายจ้างเดิม หรือกับนายจ้างใหม่ หรือคุณจะยอมรับกับค่าจ้างที่ได้ แล้วทำงานต่อไป แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้คุณทำงานรับใช้นายจ้างอย่างเต็มที่ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าผ่านการทำงานของเรา

ขอพระเจ้าอวยพร
#เพจข่าวดี
https://www.facebook.com/GoodNewsTH/
#บทความคริสเตียน
มันไม่แฟร์! ทำไมคนที่ทำงานน้อยกว่า แย่กว่า ถึงได้ค่าจ้างเท่ากับหรือดีกว่าเรา? (บทความหนุนใจสำหรับคริสเตียน)
เรื่องที่ชวนเสียใจและผิดหวังมากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับคนทำงาน คือเมื่อเรารู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเราที่ทำงานน้อยกว่าเรา หรือ มาทีหลังเรา หรือ อายุน้อยกว่าเรา หรือ ประสบการณ์น้อยกว่าเรา หรือ ขยันน้อยกว่าเรา หรือ ฉลาดน้อยกว่าเรา กลับได้รับค่าจ้างที่เท่ากับหรือมากกว่าเรา
มีตัวอย่างตอนหนึ่งจากคำตรัสของพระเยซู เรื่องคนทำงานในสวนองุ่น ที่จะช่วยให้เราเห็นมุมมองเรื่องค่าตอบแทน และความคิดของนายจ้างได้ชัดเจน
พระคำนี้มาจากมัทธิว 20:1-15 (https://www.bible.com/th/bible/174/MAT.20.THSV11) เป็นเรื่องของเจ้าของสวนที่ออกไปจ้างคนงานมาทำงานที่สวนตั้งแต่เช้าตรู่ และตกลงค่าจ้างกับคนงานไว้ที่ "หนึ่งเดนาริอันต่อวัน" จากนั้นเจ้าของสวนก็ออกไปหาคนงานมาทำงานในสวนเพิ่มอีก ในเวลา 9 โมงเช้า, เที่ยง, บ่าย 3 โมง, และ 5 โมงเย็น
เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้างตอนพลบค่ำ กลุ่มคนงานที่เริ่มเข้ามาทำงานตอน 5 โมงเย็น เข้าคิวรับค่าจ้างก่อน โดยได้ไปคนละหนึ่งเดนาริอัน ทำให้คนงานกลุ่มแรกที่เข้ามาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่คิดว่า เขาน่าจะได้ค่าจ้างมากกว่าหนึ่งเดนาริอันแน่ๆ
แต่เมื่อเขาได้รับค่าจ้าง เขาได้รับ "หนึ่งเดนาริอัน" ตามที่นายจ้างตกลงไว้ ความไม่พอใจจึงเกิดขึ้น และ ณ จุดนั้น คนงานได้บ่นต่อว่าเจ้าของสวน เพราะเขาทำงานกรำแดดมาทั้งวัน แต่ทำไมถึงได้เงินเท่ากับคนที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ... พวกเขากำลังโวยวายว่า มันไม่แฟร์!
... ในฐานะลูกจ้าง เรามักเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ และหากเรามั่นใจว่า เรามีแต้มต่อบางอย่างที่เหนือกว่าเพื่อน นั่นคือ นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เรามากกว่า
แต่ในมุมมองของนายจ้าง โดยเฉพาะเจ้าของสวนในพระคำนี้ เขายืนยันที่จะจ่ายค่าจ้างให้ "หนึ่งเดนาริอัน" กับคนกลุ่มแรกที่ทำงานแต่เช้า เพราะนั่นคือข้อตกลงที่ทำขึ้นแบบ 1 ต่อ 1 ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างกลุ่มนี้เท่านั้น ส่วนเจ้าของสวนจะไปจ่ายค่าจ้างให้กับคนอื่นอย่างไร ย่อมเป็นสิทธิ์ของเจ้าของสวนเอง และลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายการใช้จ่ายเงินของเจ้าของสวนด้วย
ดังนั้น หากเวลานี้ คุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนงานกลุ่มแรกที่ดูเหมือนว่าจะได้รับค่าจ้างที่ไม่แฟร์ ความจริงคือ ถ้าคุณได้ค่าจ้างตามที่คุณตกลงกับนายจ้างไว้ นั่นคือ "มันถูกต้องแล้ว" เพราะมีการจ่ายค่าจ้างตามคำมั่นสัญญา และคุณไม่ควรตำหนินายจ้าง หรืออิจฉาเพื่อน หากเผอิญคุณได้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมงานของคุณบางคน ที่แย่กว่าคุณ แต่กลับได้รับค่าจ้างที่เท่ากับหรือมากกว่าคุณ
แล้วถ้าอย่างนั้นเราต้องยอมรับสภาพแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือ? คำตอบคือ "ไม่" ค่าจ้างคือข้อตกลงเฉพาะนายจ้างกับคุณ คุณสามารถขอการทรงนำจากพระเจ้าเพื่อหาแนวทางพัฒนาตนเองจนมีฝีมือ หรือทักษะสำคัญที่โดดเด่น แล้วนำสิ่งที่คุณมีไปเจรจากับนายจ้างอีกครั้ง เพื่อกำหนดข้อตกลงกันใหม่ (ยกเว้นว่านายจ้างจะมองเห็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของคุณ แล้วมอบค่าจ้างเพิ่มให้คุณเอง) หรือการหางานใหม่เพื่อสร้างข้อตกลงใหม่ ก็สามารถเป็นทางเลือกของคุณได้เช่นกัน
สำคัญที่สุด อย่าโกรธนายจ้าง อย่าโกรธเพื่อนร่วมงาน และอย่าคิดว่ามันไม่แฟร์ ทุกอย่างถูกต้องแล้วหากนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้คุณตามข้อตกลง เขาจะทำอย่างไรกับเงินของเขาก็ได้ แต่สำหรับคุณ คุณมีทางเลือกที่จะขอเจรจานายจ้างเดิม หรือกับนายจ้างใหม่ หรือคุณจะยอมรับกับค่าจ้างที่ได้ แล้วทำงานต่อไป แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้คุณทำงานรับใช้นายจ้างอย่างเต็มที่ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าผ่านการทำงานของเรา
ขอพระเจ้าอวยพร
#เพจข่าวดี https://www.facebook.com/GoodNewsTH/
#บทความคริสเตียน