[CR] Coconutkiwis: 14 days Greece-Malta on a budget Ep.2: Malta ประเทศน่ารักๆ มันยากที่จะไม่ตกหลุมรัก

ประเทศมอลต้า (Malta) เป็นประเทศเล็กๆที่ถือว่ามีครบทั้งความสวยงามทางธรรมชาติ สถาปัตยกรรม เงียบสงบตอนกลางวัน แล้วคึกคักตอนกลางคืน ถือว่าเป็นประเทศที่ควรมาอย่างยิ่งตอนยังมีแรง  วัยรุ่น (ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจก็ได้) ถ้าได้ผ่านมาแถวๆยุโรปใต้ได้โปรดแวะมาประเทศนี้เถอะ รับรองว่าMalta จะไม่ทำให้ผิดหวัง

ที่มาที่ไปคือก่อนมา Malta เราไปแวะ Greece กันมาก่อน https://pantip.com/topic/39113315

ทริปยุโรปของเราเป็นทริป low cost ค่ะ เน้นประหยัด บินตรงจาก Greece -Malta มันแพง เราเลยตัดสินใจบินจาก Athens โดย Aegean Airlines มาลงที่ Bari,Italy เราต้องเปลี่ยนเครื่องเป็น Ryanair ในอีก 6 ชม. ข้างหน้า เพื่อไป Malta หมายความว่าเราจะมีเวลา 6 ชม ในอิตาลี เย้!!  เราก็ไม่รอช้าค่ะ นั่งรถไฟเข้าเมืองโดยไม่คิดหน้าคิดหลังใดๆทั้งสิ้น Pizza!! Gelato!! หลั่นล๊า หลั่นล๊า มือนึงถือพิซซ่า มือนึงถือไอติม โอ๊ยไอติมที่นี่มันดีนะเธอ พิซซ่ามันอร่อยนะแก.... ได้เวลาละ พวกเรากลับไปสนามบิน Check in กันเถอะ ไปถึงสนามบินเหลือเวลาอีก 1.45 ชม. ก่อน boarding

จนท. ก็ตรวจนู้นตรวจนี่ มีวีซ่ามั้ย อะไรยังไงผ่านไป 15 นาทีได้ (คือตรวจละเอียด) สรุปโอเควีซ่าไม่มีปัญหา

จนท. : ยูทำ online checkin มารึยัง ?

นทท. : อ๋อ ยังอ่ะยู พวกเราก็จะมา checkin นี่ไงให้ยูออกตั๋วไง

จนท. : ยูไม่ checkin online ไอออกตั๋วให้ไม่ได้ มันเป็นกฎของสายการบิน ยูต้อง checkin ล่วงหน้ามาก่อน 2ชม. อย่างกรณีนี้ถ้าจะให้ไอออกตั๋วยูต้องไปจ่าย 55ยูโร ที่เคาน์เตอร์ตรงนู้น แล้วเอาใบเสร็จมานะ ไอจะออกตั๋วให้

นทท. : !@#$%!@#$!

สรุปทริป low cost ของเราเจอกฎสายการบิน low cost เข้าไปจ้ะ ค่าตั๋ว ยูโร เจอค่าออกตั๋วไปอีก 55ยูโร เห็นว่าเป็นกฎใหม่ของสายการบิน อยากจะร้องโฮโฮโฮดังๆ ว่าเรามาทำอะไรที่อิตาลี (คือ Ryanair ส่งเมลมาตลอดเลย จะเช่ารถมั้ย แนะนำที่เที่ยวที่น่าสนใจ แต่ไม่มีบอกให้ checkin online ซักเมล!!!)

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ จะไปไหนก็ศึกษากฎของแต่ละสายการบิน( โดยเฉพาะสายการบินที่เราเพิ่งขึ้นครั้งแรก) ไว้ด้วยละกันนะคะ จะได้ไม่เจ็บเหมือนที่เราเจ็บ ฮือออ

เอาล่ะค่ะ ในที่สุด เราก็ได้นำทุกท่านมาถึง Malta แล้ววววว ภูมิใจนำเสนอมาก

Greece-Malta Itinerary
Day 1-Day 9: Greece (Santorini & Milos)
Day 10: ขับรถเล่นรอบเกาะ Gozo > หน้าผาที่สูงสุดบนเกาะ Ta'Cenc Cliffs > ตามรอย game of thrones ไป Azure Window > โบสถ์ Ta' Pinu > หาด Dahlet Qorrot
Day 11: Sliema - Valletta Ferry > เดินเล่น Valletta เมืองหลวงของ Malta
Day 12: ล่องเรือ Catamaran ไป Comino & The Blue Lagoon > ปาร์ตี้ Marco Polo Hostel
Day 13: Shopping ย่าน Sliema > หมู่บ้านชาวประมง Marsaxlokk
Day 14: เดินทางกลับ BKK

** ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสรุปข้างล่างนะ **

อธิบายลักษณะประเทศง่ายๆนิดนึงว่าประเทศ Malta ประกอบไปด้วย 3 เกาะหลัก นั่นก็คือ Malta, Gozo และ Comino แค่นี้แหละ เที่ยวไม่หลงแน่นอน (จริงๆมีอีก 2 เกาะคือ โคมินอตโต (Cominotto) และฟิลฟลา (Filfla) แต่ไม่มีคนอาศัยอยู่)

ออกจากสนามบินก็มุ่งหารถไปท่าเรือ Gozo ส่วนใครที่นอนในเมืองรถก็มีไปทุกที่นะ
ข้ามเรือมาถึง Gozo เสร็จเรียบร้อยเข้าที่พักช่วงดึกๆพอดี 
Day 10:  จริงๆวันนี้เราออกไปหารถเช่าขับตั้งแต่เช้าแต่เลยมาจนเที่ยงแล้วไม่มีร้านไหนมีรถให้เช่าเลย ทุกร้านบอกรถหมด หรือไม่ก็ต้องจองล้วงหน้า สรุปคือต้อง check out แล้วนั่งรถเมล์กลับไปที่ท่าเรือเพื่อไปหารถเช่า (การนั่งรถเมล์เป็นอะไรที่ทรมานมาก เพราะว่าช่วงบ่ายเหมือนเด็กนักเรียนเพิ่งเลิกเรียน ทั้งคันจะเต็มแน่นไปด้วยเด็กนักเรียน แล้วพวกเราก็ต้องแบกกระเป๋าเดินทาง หอบน้ำขวดใหญ่ที่ซื้อมาเยอะแล้วกินไม่หมด เวลาคนจะขึ้นจะลงเบียดมาก ขาเกร็งยันกระเป๋าเดินทางไม่ให้ไหล ส่วนแขนก็ต้องคอยหนีบน้ำไม่ให้ร่วง หมดพลังมากถึงมากที่สุด) กว่าจะหารถได้หมดเวลาไปแล้วครึ่งวัน

ใครที่ไม่ได้นอนค้างที่เกาะGozo มาแบบเช้าเย็นกลับก็ได้นะ จริงๆเหมือนเค้าจะมีรถเมล์พาเที่ยวตามจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวชอบไปอยู่ (จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนพวกเรา ฮือออ)

เราก็จะแวะเที่ยวกันแบบเร็วๆ ครึ่งวันเก็บได้มา 4 ที่ บวกกับแวะกินนู้นกินนี่ตามทาง (ไอติมกับขนมปังอร่อย)

ที่แรกเลยคือ Ta'Cenc Cliffs ความสูงประมาณ 150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นหน้าผาที่สูงที่สุดบนเกาะ Gozo แต่คือทางเข้ามันอยู่ลึกๆเหมือนกันนะ ถ้านั่งรถเมล์อาจจะต้องเดินเข้ามาไกลหน่อย

จุดหมายที่ 2 Azure Window ใครดู game of thrones (แต่นี่ก็ไม่ได้ดู) จะต้องคุ้นๆกับซุ้มหน้าผานี้ ที่เค้าบอกมันจะมีลักษณะคล้ายหน้าต่างมองไปแล้วเห็นวิวทะเล แต่ไหนอ่ะหน้าต่าง? มันไม่มีแล้วจ้า สรุปคือโดนพายุพัดกระหน่ำซุ้มหน้าต่างความสูง 50 เมตร พังทลายหายไปในพริบตา ธรรมชาติบางทีก็ช่างโหดร้ายและหน้ากลัวจริงๆ
จุดที่ 3 โบสถ์ Ta' Pinu จริงๆแล้ว เกาะGozo จะมีโบสถ์อยู่เยอะมาก (ประมาณ 40 กว่าแห่ง) ส่วนมากจะเป็นโบสถ์เล็กๆที่หาได้ตามในเมือง เราเลยเลือกมาโบสถ์ Ta' Pinu ซึ่งมีที่ตั้งแยกออกมาจากตัวเมือง ให้ไปยากๆหน่อย (ก็เช่ารถมาแล้วหนิ) แล้วโบสถ์นี้ก็ดูค่อนข้างจะอลังการดีด้วย
จุดหมายสุดท้ายแล้วก่อนจะ say goodbye เกาะGozo พวกเราอยากจะเอาร่างจุ่มน้ำคลายร้อนกันที่ไหนซักที่ ก็เลยลองหาดูว่าหาดไหนเงียบๆคนไม่ค่อยเยอะ ก็ไปเจอหาดที่ชื่อว่า Dahlet Qorrot เป็นหาดหินนะ ขับรถลงเขาเลี้ยวไปเลียวมาทางชันพอสมควร

Day 11: เราข้ามมาถึงเกาะ Malta กันแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะพักกันที่ Hostel ถูกและ location ดี มีครัวกลางให้ทำอาหาร รูปล่างเป็น Hostel ย่าน Sliema ชื่อว่า Two Pillows Boutique Hostel อยู่ตรงท่าเรือ Ferry ที่จะข้ามไป Valletta แล้วก็เป็นที่ขึ้นเรือไปเกาะ Gozo และ Comino ด้วย

วันนี้เราจะข้าม Ferry ไป Valletta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศกัน คือจะบอกว่าประเทศนี้บ้านเมืองเค้าจะเป็นแนวสีเหลืองๆครีมๆไปหมดเลย ทั้งตัวตึกตัวบ้าน สถานที่ราชการต่างๆ ตั้งแต่ออกจากสนามบินมา ทุกอย่างที่เห็นเป็นสีเหลืองครีมไปหมด
แต่ถ้ามองดีๆ ตามบ้านเรือนที่เห็นคือตึกเค้าจะทาออกสีเหลืองครีมแต่ขอบหน้าต่างกับประตูจะเป็นสี colorful น่ารักสดใส
ในช่วงยุคสมัยการล่าอาณานิคม Malta เค้าก็ป๊อปปูล่ามากๆ ใครๆก็อยากจะได้ เพราะลักษณะที่ตั้งเป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเล เหมาะมากกับการใช้เป็นฐานทัพ ตกอยู่ภายใต้การปกครองมาแล้วทั้งโรมัน ฝ่ายมุสลิมตุรกี ซิซิลี ฝรั่งเศษ รวมถึงอังกฤษก่อนที่จะได้รับเอกราช
ด้วยความหนื่อยสะสม  (จากทริปกรีซ) เราก็อยู่แบบชิลๆกันมา 2 วันละ หลังจากข้ามกลับจาก Valletta มาฝั่ง Sliema เราเลยวางแผนกันว่าเราต้องหาไรทำให้ตื่นตัวกันบ้าง อย่างที่บอกว่ารอบๆที่พักย่าน Sliema ของเรานั้นเต็มไปด้วยเรือที่พร้อมออกเดินทางไปเกาะต่างๆมากมาย (จริงๆก็มีไปอยู่ 2เกาะ)  เดินไปเดินมาก็มาเจอกับ Captain Morgan Catamaran Cruise เค้าจะพาเราข้ามไป Blue lagoon ที่เกาะ Comino นู้นนน ถามไปถามมาได้ข้อมูลมาว่า เรือออกสายๆ กลับมาเย็นๆ มีข้าวกลางวันให้ และตลอดเวลาที่อยู่บนเรือคือ น้ำฟรี เบียร์ฟรีจ้า ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจกันได้ทันที

Day 12: 10.30 เรือก็ออกเดินทาง นั่งๆนอนๆ ดูวิว และเหมือน ณ จุดนี้ฝรั่งทุกคนพร้อมใจกันมาอาบแดด ผ่านไปประมาณเกือบ 2 ชม ก็ถึงเกาะ Comino
อ้อ ลืมบอก เรือ Captain Morgan มีบริการแค่ช่วงเดือน Jun - Sep แค่นั้นนะ มาช่วงเดือนนอกเหนือจากนี้ไม่เจอจ้า
พอเริ่มใกล้เขต Blue lagoon น้ำทะเลก็เปลี่ยนสีเป็นฟ้าอมเขียวขึ้นเรื่อยๆ สีน้ำที่นี่เค้าเรียกว่าสี azure blue มันคือฟ้าเฉดไหนไม่รู้ รู้แต่ฟ้า azure นี่ทำเอาหลายคนกรี๊ดกร๊าดหนักมาก (รวมถึงเราด้วย) คือมันสวยแบบสวยมากไม่รู้จะบรรยายยังไงให้สวยเท่าความสวยที่เห็น สวยแบบอยู่ๆก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่เห็นแก่ของกินฟรี น้ำฟรี เบียร์ฟรี แล้วตัดสินใจซื้อตั๋วเรือมา

   
เรือกลับมาถึงท่าประมาณ 6 โมงเย็น พวกเราก็รีบกลับไปเอาของ เพราะคืนนี้เราจะย้ายไปนอน Marco Polo Party Hostel ย่าน St.Julians กัน ทำไม Party Hostel ใช่แล้วววว ที่นี่เค้าปาร์ตี้กันทุ๊กคืนนนนน และนั่นก็คือแพลนของพวกเราคืนนี้นั่นเอง 
** ใครชอบปาร์ตี้มาแถว St.Julians นะ จะมีถนนสายปาร์ตี้อารมณ์ประมาณข้าวสาร (แต่แค่ไม่มีรถเข็นขายของ) **    

Day 13: วันนี้ตื่นมาในคอนเซปท์ที่ว่า No Plan Is The Best Plan เลยหาที่เดินไปเรื่อยเปื่อย แวะซื้อขนมปังร้านสะดวกซื้อ แล้วก็เดินไปเดินมาจาก St.Julians เดินกลับไปย่าน Sliema เปิด map ก็ 3 กิโลเองแกร๊ เดินก็เดินจ้ะ จริงๆแถว Sliema มีร้านให้ช็อปปิ้งเยอะอยู่ แต่ตอนเรานอนอยู่แถวนี้เราไม่ได้มีเวลาช็อปเลย ไหนๆวันนี้ไม่ได้ทำไรแล้วก็ถือโอกาสช็อปเลยแล้วกัน

ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ถือโอกาสนั่งรถเมล์เล่นแล้วก็แวะไปดูหมู่บ้านชาวประมงแล้วก็ท่าเรือ Marsaxlokk จริงๆก็ไม่มีไรมากนะ เหมือนเป็นที่จอดเรือมากกว่า แต่ก็มีเรือรูปทรงน่ารักๆอยู่เหมือนกัน  ** รถเมล์ที่นี่ 2-3 eruo อย่าทิ้งตั๋วนะ มันขึ้นลงได้ฟรีต่อไปอีก  2 ชม. สายไหนก็ได้ **

Day 14: ต้องกลับแล้วจริงๆหรอเนี่ย อยากอยู่ต่อ..... ก่อนกลับขอแวะกินอาหารทะเลซักหน่อย มาเมืองติดทะเลจะไม่ได้กินอาหารทะเลได้ยังไง!!!

Follow more on social;
FB : Coconut.kiwis
IG : coconutkiwis
ชื่อสินค้า:   เที่ยวต่างประเทศ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่