รอแสงตะวันส่องมาที่ฉัน EP 18 "กลับมาก็สายเกินไป"

      หลังจากจบม.6 ผมไม่ได้สอบเอนทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวเรียน เพราะผมเล่นฟุตบอลให้จังหวัด ให้เขต จนไม่มีเวลาอ่านหนังสือแต่ผมได้โควต้านักกีฬาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ตอนนั้นผมก็ยังคงเล่นฟุตบอลในระดับสโมสรบอถ้วยของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอยู่ด้วย แต่ตอนเรียนที่นี่ผมได้เกรดเฉลี่ยสูงที่สุดของสาขา  ผมจะได้เป็นผู้นำเพื่อนอยู่บ่อยๆทั้งเรื่องเรียนและเรื่องกิจกรรม ช่วงนั้นผมเรียนม.รามคำแหงควบคู่กันไปกับที่นี่ครับ แต่คนละสาขาก็จะเหนื่อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนหน่อย แต่ผมเชื่อว่า“ถ้าเราทำอะไรมากกว่าคนอื่น เราจะมีโอกาสเลือกมากกว่า”

      ช่วงวันหยุด ผมจะหางานทำพิเศษขนของในบิ๊กซี โลตัส เป็นเด็กเสริฟร้านเอ็มเค ร้านหมูกระทะ รับจ้างทำสวน ผมทำไปเรื่อยครับเพื่อจะได้เงินมาใช้ในชีวิตมหาวิทยาลัย พ่อก็ยังคงโอนเงินให้ผมทุกเดือน และผมจะได้เงินจากที่กู้เรียนด้วยครับ ส่วนแม่ก็หายไปจากชีวิตผมแล้วครับช่วงนี้ แม่อาจจะติดต่อผมไม่ได้ เพราะผมย้ายมาเช่าหออยู่กับเพื่อนในกรุงเทพฯ ผมบอกแค่พ่อกับพ่อบุญธรรมเท่านั้นว่าผมอยู่ไหน

      ผมเช่าหออยู่กับเพื่อนอีกสองคนนอกมหาวิทยาลัยเป็นหอรวม ห้องตรงข้ามห้องผมเป็นนักศึกษาผู้หญิงมาเช่าอยู่สองคน พวกเราเริ่มทักทายพูดคุยกัยเริ่มสนิทกันมากขึ้น เดินไปเรียนพร้อมกัน 5 คน คนหนึ่งผมเรียกเธอว่าตัวเล็กส่วนเธอจะเรียกผมว่าพี่ และก็เพื่อนผู้หญิงอีกคนเธอแอบชอบผม เธอมักจะโทรมาคุยกับผมโทรศัพท์ระหว่างห้องจะโทรฟรี ตัวเล็กจะชอบแซวเธอว่าแอบชอบพี่เขาเหรอ เธอก็จะเขินอาย ส่วนผมไม่ได้สนใจใครเพราะตอนนั้นผมแอบชอบสาวห้องอื่นอยู่ แต่สุดท้ายรู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว ผมก็เลยกินแห้วเลยไม่ได้คุยกับเธอ

      ก่อนจะจบปีหนึ่ง ตัวเล็กและเพื่อนของเธอจะต้องย้ายหอพัก ผมรู้สึกใจหวิวๆ เริ่มรู้สึกตัวว่า ไม่อยากให้พวกเธอย้ายไปเลยอยากเจอกันเหมือนเดิมทุกวัน ที่ผ่านมาหนึ่งปี ผมสนิทตัวเล็กมากขึ้นเราคุยกันได้ทุกเรื่อง หนึ่งวันก่อนเธอจะย้ายไปผมจับมือเธอ แล้วมองตาเธอบอกกับเธอว่า พี่พึ่งรู้ตัวว่าพี่ชอบเธอไม่ได้แบบเป็นพี่แล้วนะ ตัวเล็กยิ้มแล้วตอบผมว่า เค้าก็ไม่ต่างจากพี่หรอก ผมยิ้มด้วยความดีใจมาก แล้วดึงเธอเข้ามากอด ส่วนเพื่อนสาวของตัวเล็กก็จะเศร้าๆหน่อยแต่เธอก็เข้าใจ และยังพูดคุยกับผมดีเหมือนเคย

      ชีวิตผมทั้งเรื่องการเรียนเรื่องส่วนตัวดีขึ้น ผมมีตัวเล็กคอยดูแลให้กำลังใจกัน ผมจะเจอตัวเล็กทุกวันหลังเลิกเรียน แต่ผมก็ยังคงอยู่หอกับเพื่อนสามคนส่วนตัวเล็กย้ายไปอยู่กับแม่ที่บ้านญาติ ส่วนเพื่อนของเธอก็ไปอยู่หอหญิง ส่วนกีฬาฟุตบอลผมเริ่มจะแย่ลง ผมเจ็บเข่ารุนแรง และเรื้อรัง เล่นได้ไม่ดีเหมือนเดิม วงการฟุตบอลตอนนั้น น่าเบื่อมากเจอแต่มีเด็กเส้นเยอะไปหมดและกีฬาฟุตบอลก็ยังไม่เป็นอาชีพเหมือนสมัยนี้ ผมเริ่มคิดว่าผมหันมาตั้งใจเรียนดีกว่าจะได้มีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้อย่างมั่นคง และที่สำคัญที่สุดยายของผมท่านกำลัง รอดูความสำเร็จของผมอยู่

      ผมทำงานพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ และทุ่มเทกับการเรียนขึ้น เกรดเฉลี่ยผมดีขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของสาขา ผมไม่ไปซ้อมทั้งฟุตบอลสโมสร ฟุตบอลมหาวิทยาลัย เล่นแค่ฟุตบอลคณะที่แข่งขันภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น และก็เป็นโค้ชทีมฟุตบอลของคณะที่ผมเรียน ผมกำลังมีความสุขกับชีวิตช่วงนี้

      และแล้วกลับมีเรื่องที่ทำให้ผมเศร้าที่สุดในชีวิตผม เกิดขึ้นในคืนที่ผมกำลังจะฉลองวันเกิดของตัวเล็ก สายของลูกสาวของป้าผม โทรมาบอกว่า “ยายของผมเสียแล้ว จากโรคมะเร็ง มาส่งยายด้วยนะ ก่อนยายเสียยายถามหาผม ยายบอกว่าผมอยู่ไหน ไหนบอกจะพายายไปอยู่ด้วย ทำไมไม่เห็นมา” ผมตกใจมาก น้ำตาไหล ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ทำไมยายป่วยหนักขนาดนี้ ไม่เห็นมีใครบอกผมเลย วันนั้นผมขอไม่ฉลองวันเกิดกับตัวเล็ก ผมขอโทษตัวเล็กและกลับหอไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อจะเดินทางไปหายายที่ต่างจังหวัด ผมนอนร้องไห้ดูรูปยายที่ผมติดตัวไว้เสมอตั้งแต่จากยายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ผมนอนร้องไห้จนจนหลับไป คืนนั้นผมรู้สึกเหมือนผมฝันกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเหมือนยายมานอนข้างๆผม ผมนอนหนุนแขนยาย และก็มีเสียงหมาเห่า ผมไม่ได้สนใจแล้วก็หลับต่อจนเช้า ผมไปมหาวิทยาลัยช่วงเช้า เพื่อขออาจารย์สอบทีหลัง ผมขอเดินทางไปกราบยายเป็นครั้งสุดท้าย  เพราะทางญาติจะเก็บร่างอันไร้วิญญาณของยายผมไว้แค่สามวันแล้วจะเผาเลย ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์ที่ใครๆก็บอกว่าดุที่สุดในคณะกลับอนุญาตผมอย่างง่ายดาย

      ช่วงนั้นผมอายุประมาณ 19 ปี เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งรถทัวร์ไปบ้านยายคนเดียว ขึ้นรถจากหมอชิต ในช่วงเย็นของวัน ความรู้สึกผมตอนนั้นผมยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากให้มันเป็นความจริง ผมนั่งร้องไห้ตลอดเส้นทาง คิดถึงคุณยายผู้หญิงคนที่ผมรักสุดหัวใจ มันคือความจริงที่ต้องเจอสักวัน แต่ในวันนี้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งของผมไม่อาจจะรับได้ ยายจากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา ไม่ได้พูดคุยหรือบอกลากันเลยแม้เพียงสักคำ ผมตั้งใจเรียน อดทนกับความลำบากทุกอย่าง และสัญญาว่าเรียนจบจะเลี้ยงดูยาย จะพายายมาอยู่ด้วย แต่ในวันนี้ผมทำตาสัญญาที่ไห้ไว้กับยาไม่ได้ ผมได้แต่โทษตัวเอง อีกไม่กี่ปีผมก็จะเรียนจบแล้ว ผมจะได้หางานที่ดีทำ แล้วดูแลยาย เลี้ยงดูยายได้ ทำไมยายไม่รอผม ทำไมต้องเขียนบทชีวิตที่ทรมานใจผมมาก ทำไมต้องเอาลมหายใจคุณยายผมไปตอนนี้ด้วย
     
      เหตุการณ์ครั้งนี้ผมไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนมันเร็วเกินไป เป็นครั้งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต ผมเดินทางไปถึงบ้านยาย สถานที่ที่เคยเลี้ยงดูผมตอนช่วงอายุ 5-6 ขวบ ผมจากไปตอนอายุ 7 ขวบ  ผมเดินเข้าบ้านเหลียวมองไปรอบๆ เห็นคุณตา คู่ชีวิตของยายผม นั่งตาแดงที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาไม่ต่างอะไรกับผมเลยตานั่งอยู่ที่หน้าโลงศพยาย ผมคุกเข่าลง ไหว้คุณตา แล้วจุดธุปไหว้ยาย คุณป้าเดินเข้ามาปลอบ บอกว่า “อย่าร้องไห้นะลูก เดี๋ยวยายจะเป็นห่วง จะไปไม่สบาย” แต่ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมก้มหน้าน้ำตาไหลต่อหน้าโลงศพยาย ตาเข้ามากอดผม พูดกับผมว่า “ยายไปดีแล้วลูก ตาชวนคุย ยายก็พูดไม่ได้แล้ว อย่าร้องเลยลูก” ผมพยายามกลั่นน้ำตาไว้ เช็ดหน้า แล้วมองไปรอบบ้าน บ้านดูโทรมลงมาก ไม่เหมือนสมัยที่ผมอยู่ตอนเด็ก ตอนนี้ผมอายุ 19 ปี ผมจากที่นี่ไป 12 ปี สัตว์ที่ตายายเคยมีมากมายเต็มบ้านก็น้อยลง ม้าก็ขายไป ควายก็เหลือไม่กี่ตัว  ตาดูลำบากกว่าเมื่อก่อน ดูชราขึ้น ยายเสียตอนอายุ 70 กว่าปี ผมมัวแต่พยายามตามหาสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต แต่บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมมองเห็นธรรมข้อนี้แล้ว ผู้แก่ผู้เถ้า หรือคนที่เรารักและเคารพอาจจะอยู่รอดูความสำเร็จ ที่พวกเรากำลังไขว่คว้าหากันอยู่ไม่ไหว ซึ่งก็ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ เวลาไม่เคยรอใครจริงๆ ให้เวลาใส่ใจกับคนที่เรารักในทุกๆวันนะครับ อย่ารอจนถึงวันที่สายเกินไป เพราะเราไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้อีก

       รุ่งขึ้น ผมโกนหัวบวชหน้าไฟ เพื่อส่งดวงวิญญาณยายขึ้นสวรรค์ ยายอาจจะสบายมีความสุขกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ได้ เหมือนที่ญาติๆทุกคน คอยบอกผมว่า อย่าร้องไห้เดี๋ยวยายจะเป็นห่วง แล้วกังวลใจไปแบบไม่สบาย ผมพยายามทำใจ หยุดร้องไห้ ผมเริ่มตั้งสติในผ้าเหลือง นี่เป็นการห่มผ้าเหลืองครั้งแรกในชีวิตผม คือสิ่งเดียวที่ผมทำให้ยายได้ ก่อนส่งร่างไร้วิญญาณของยาย เข้าเตาเพลิงที่ร้อน ผมวางดอกไม้จันทน์ แล้วมองที่ใบหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความที่กลัวคุณยายยายจะเป็นห่วง แล้วหลับไม่สบาย ผมพยายามกลั้นน้ำตาเป็นอย่างมากในนาทีนั้น จนรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจขัดๆ แล้วบอกยายว่า “หลับให้สบายนะครับยายผมมาส่งยายไปสวรรค์นะ ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว ผมจะตั้งใจเรียนอีก 2 ปี ผมก็เรียนจบแล้ว ตามที่สัญญากับยายไว้ ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ ผมลายายตรงนี้นะ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ยายเกิดมาไม่ลำบากอีกหรือเกิดมาอยู่กับผมอีกนะ มาเป็นลูกผมก็ได้ ผมรักยายที่สุดนะครับ” ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่น้ำตาจะไหล แล้วยืนมองดูควันไฟจากร่างของคุณยายลอยขึ้นไปบนฟ้า พร้อมภาวนาให้ยายไปอยู่บนสวรรค์หรือไปเกิดในภพภูมิที่ดีไม่ลำบากเหมือนชาตินี้อีก........เรื่องราวต่อจากนี้ชีวิตของเด็กบ้านนอกบ้านแตกอย่างผมจะเป็นอย่างไร...

(โปรดติดตามต่อไปตอนจบนะครับ...)

ใกล้จันทร์ moonstar

ย้อนอ่านตอนที่ 1- 17 ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้
https://pantip.com/profile/4843470#topics
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่