สวัสดีค่า เราเป็นโรคซึมเศร้า กำลังได้รับการรักษาอยู่ แต่ว่าเราไม่ได้เป็นระดับหนักขนาดที่จะทำงานไม่ได้
เพราะเรามีเพื่อนเป็นโรคซืมเศร้า และเรารู้ตัวมาเนิ่นๆ ทำให้เวลาเพื่อมาระบาย เราเลยทราบว่าอาการของเราค่อนข้างตรงกัน
จากนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร แต่เราเริ่มไปหาหมอ เพราะเราเริ่มรับมือกับตัวเองไม่ได้ และส่งผลต่องาน จนคิดว่านี่แหละ เราควรปรึกษาหมอ
- อะไรที่เคยชอบทำ ก็ไม่อยากทำแล้ว เช่น เราเป็นหนอนหนังสือ แต่กลับอ่านหนังสือไม่จบสักเรื่องเนื่องจากเบื่อหน่าย
- ปกติเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบปาร์ตี้ แต่ปัจจุบัน เพื่อนนัดไปเจอเฉยๆก็ไม่อยากไป อยากเก็บตัว เพราะการเจอคนค่อนข้างใช้พลังงานมาก ทำให้การมาทำงานแล้วเจอคนจะเหนื่อยมากที่ต้องยิ้ม ทำตัวเป็นปกติ
- ขี้ลืมมาก ซึ่งกลายเป็นย้ำคิดย้ำทำไปเลย เช่น จำไม่ได้ว่าทำอะไรไปแล้วบาง แปรงฟันหรือยัง เพื่อนแนะนำว่าต้องจดโน้ตกันลืมงาน แต่เรามักลืมบ่อยๆว่าต้องจดว่าอะไร
- จดจ่อกับอะไรนานๆไม่ได้ เช่น เข้าไปดูหนังในโรงไม่ได้ เพราะว่าต้องใช้สมาธิกับที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป
อันนี้คืออาการเบื้องต้นที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานเฉยๆนะคะ อาการอื่นก็เหมือนคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากไป
จนเร็วๆนี้ เราได้ขออนุญาตการลากับ Manager ซึ่งเราโชคดีมาก Manager เข้าใจ (ปกติคนในบริษัทเราจะอายุเฉลี่ยระหว่าง 23-30 ค่า)
แต่บริษัทเราถ้า Manager approve แล้ว ต้องให้ HR approve อีกครั้งนึง (เราถามเพื่อนบริษัทอื่นที่ทำ HR เขาบอกว่าปกติบริษัทเขาจะจบที่ Manager)
แล้วเราใส่ Note ไปว่าหมอนัด (ถ้าคนเป็นโรคนี้จะรู้ว่า หมอต้องนัดเวลาเปลี่ยนยาเพื่อติดตามผลบ่อยๆ) เพื่อกัน manager เราลืม
แต่ว่า HR กลับ reject เราและบังคับให้ใช้ Business leave (ลากิจ) ซึ่งเราเข้าใจ ว่าปกติหมอนัดต้องเป็นลากิจ แต่เคสเราคือเรายังป่วยอยู่และต้องการใช้ลาป่วยที่มีสิทธิ์ลาได้ 30 วันมากกว่าลากิจที่ลาได้เพียง 6 วัน เราเลยไปคุยกบ HR โดยตรง HR สรุปมาว่า โอเค คุณลาได้ แต่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ทุกครั้ง (แต่ตามกฎหมายแรงงาน ถ้าลาวันเดียวไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ แต่เราสามารถขอใบรับรองแพทย์ได้ค่ะ แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องขอเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น)
และเขาเสริมมาว่า เราควรลาไปหาหมอช่วงวันหยุดมากกว่าวันทำงาน (คนที่หาหมอทางจิตเวชจะเข้าใจ ว่าคิวหมอค่อนข้างแน่น เขาจะมีคิวคนไข้ประจำในทุกๆวัน) ไม่อย่างนั้นจะกระทบกับ annual performance ซึ่งตอนที่เขาบอกเป็นช่วงที่ยาเราหมดฤทธิ์พอดี ทำให้เรารู้สึกแย่มาก เราเลยบอกเขาไปว่า เราไม่สนใจการประเมินปลายปีด้วยซ้ำ เราจะเข้มแข็งจนมีชีวิตถึงปีนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไประบายให้ manager ฟัง รวมถึงโทษตัวเองว่าควรลาออกไปอยู่ที่บ้านมั้ย (เราทำงานได้ปกติค่ะ ไม่เคยเลยเดดไลน์ ไม่กระทบงานใดๆที่ทำอยู่ และไม่ได้ทำอะไรพลาดจนงานเสียเลยสักครัง ทำงานมาทั้งปีใช้สิทธิ์ลาป่วย 5 ครั้ง ลากลับบ้านตจว. 6 ครั้ง) และโทษตัวเองว่าไม่ควรมาทำงานหรือเปล่า โทษว่าจริงๆเราก็ไม่ได้อยากเป็นโรคนี้ เพราะตั้งแต่เป็น ก็ทำให้เราสูญเสียความสามารถไปหลายๆอย่างจนทุกข์เหมือนกัน ถึงกับคิดว่าจริงๆแล้วบริษัทไม่ต้องมีเราก็ได้มั้ง (บางครั้งเราหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำที่ทำงาน)
สรุปคือ Manager เราก็ไปคุยกับหัวหน้า HR ให้ และ ผลสรุปคือ ถ้า Manager อนุญาต ก็คือจบ ซึ่งหัวหน้าเราบอกเราว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่าเราจะทำอะไรที่มหัศจรรย์กว่าคนอื่น เขาแค่อยากให้เรามาทำงาน มาเจอเพื่อนเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน และถ้าเหนื่อยอาจจะไปนั่งทำงานในห้องประจำ หรือทำงานจากที่บ้านได้ แต่เราไม่ได้อยากให้คนอื่นมองว่า เราได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น จึงพยายามทำตัวปกติค่ะ แต่อาจจะจิตตกมากตอนเย็นๆ คือเลิกงานปั๊ป เดินกลับบ้านไปร้องไห้ไป หมอเลยกำลังปรับยาให้อยู่ ตอนนี้คือพยายามทำให้ดีที่สุด มาให้ก่อนเวลาทำงานเพื่อเตรียมพร้อม (เป็นคนแรกหรือสองของทีมที่มาทำงานก่อนเสมอ) อะไรที่รู้ว่าลืมก็วางแผนล่วงหน้าเขียนใส่หลายๆโน้ตและบอกเพื่อนร่วมทีมว่า ถ้าเราลืมอะไร บอกมาได้เลย (เพื่อนในทีมเราก็น่ารักค่ะ เข้าใจทุกอย่าง)
เราไม่ได้อยากได้สิทธิพิเศษอะไรมากกว่าคนที่ทำงานปกติ แค่อยากได้รับความเข้าใจ (ที่ manager เราและทีมเรามีเท่านั้น)
แต่เราอยากทราบว่า ปกติแล้ว ทาง HR ต้องมีการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมั้ย (เราไปคุยกับพยาบาลของบริษัทมา ก็ทราบว่าจริงๆมีคนเป็นหลายคน) ซึ่งจริงๆฝ่ายบุคคลน่าจะมีการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า การอยู่ร่วมกับคนเป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างยาก เพราะต้องระมัดระวังคำพูดเสมอ (แต่สำหรับเราปมส่วนมากมาจากครอบครัว ดังนั้นถ้าไม่ใช่คำพูดจากครอบครัวเราจะไม่ค่อยเป็นอะไรเท่าไรค่ะ + ต้องอยู่ในฤทธิ์ยาด้วย) ดังนั้นถ้าคนรู้จักที่ไม่รู้จะคิดว่าเราปกติมากค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใส
เราจึงอยากทราบว่า HR บริษัทอื่นมีการรับมือกับพนักงานที่เป็นโรคนี้อย่างไรบ้างคะ
หรือว่าเพื่อนๆที่มีเพื่อนในทีมเป็นโรคซึมเศร้า สามารถแชร์ได้ค่า ว่าปฏิบัติตัวอย่างไรกับเพื่อนร่วมงานบ้าง (แต่สำหรับเรา เราให้เพื่อนปฏิบัติตัวปกติค่ะ เขาจะเข้าใจว่าถ้าเราอยากระบายจะพูดออกมาเอง)
ปล. ตอนนี้เรากับ HR ได้นัดคุยกันส่วนตัว และเข้าใจกันแล้ว เขาไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายเรามากขนาดนั้น เราจึงอยากให้ฝ่ายบุคคลได้มีการพูดคุยปรึกษากับนักจิตเวชเพื่อรับมือหรือเปล่าคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคนตอบค่า
อยากสอบถาม HR หรือเพื่อนๆที่ทำงาน ว่ามีวิธีการรับมือกับคนเป็นโรคซึมเศร้าอย่างไรบ้างคะ
เพราะเรามีเพื่อนเป็นโรคซืมเศร้า และเรารู้ตัวมาเนิ่นๆ ทำให้เวลาเพื่อมาระบาย เราเลยทราบว่าอาการของเราค่อนข้างตรงกัน
จากนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร แต่เราเริ่มไปหาหมอ เพราะเราเริ่มรับมือกับตัวเองไม่ได้ และส่งผลต่องาน จนคิดว่านี่แหละ เราควรปรึกษาหมอ
- อะไรที่เคยชอบทำ ก็ไม่อยากทำแล้ว เช่น เราเป็นหนอนหนังสือ แต่กลับอ่านหนังสือไม่จบสักเรื่องเนื่องจากเบื่อหน่าย
- ปกติเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบปาร์ตี้ แต่ปัจจุบัน เพื่อนนัดไปเจอเฉยๆก็ไม่อยากไป อยากเก็บตัว เพราะการเจอคนค่อนข้างใช้พลังงานมาก ทำให้การมาทำงานแล้วเจอคนจะเหนื่อยมากที่ต้องยิ้ม ทำตัวเป็นปกติ
- ขี้ลืมมาก ซึ่งกลายเป็นย้ำคิดย้ำทำไปเลย เช่น จำไม่ได้ว่าทำอะไรไปแล้วบาง แปรงฟันหรือยัง เพื่อนแนะนำว่าต้องจดโน้ตกันลืมงาน แต่เรามักลืมบ่อยๆว่าต้องจดว่าอะไร
- จดจ่อกับอะไรนานๆไม่ได้ เช่น เข้าไปดูหนังในโรงไม่ได้ เพราะว่าต้องใช้สมาธิกับที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป
อันนี้คืออาการเบื้องต้นที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานเฉยๆนะคะ อาการอื่นก็เหมือนคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากไป
จนเร็วๆนี้ เราได้ขออนุญาตการลากับ Manager ซึ่งเราโชคดีมาก Manager เข้าใจ (ปกติคนในบริษัทเราจะอายุเฉลี่ยระหว่าง 23-30 ค่า)
แต่บริษัทเราถ้า Manager approve แล้ว ต้องให้ HR approve อีกครั้งนึง (เราถามเพื่อนบริษัทอื่นที่ทำ HR เขาบอกว่าปกติบริษัทเขาจะจบที่ Manager)
แล้วเราใส่ Note ไปว่าหมอนัด (ถ้าคนเป็นโรคนี้จะรู้ว่า หมอต้องนัดเวลาเปลี่ยนยาเพื่อติดตามผลบ่อยๆ) เพื่อกัน manager เราลืม
แต่ว่า HR กลับ reject เราและบังคับให้ใช้ Business leave (ลากิจ) ซึ่งเราเข้าใจ ว่าปกติหมอนัดต้องเป็นลากิจ แต่เคสเราคือเรายังป่วยอยู่และต้องการใช้ลาป่วยที่มีสิทธิ์ลาได้ 30 วันมากกว่าลากิจที่ลาได้เพียง 6 วัน เราเลยไปคุยกบ HR โดยตรง HR สรุปมาว่า โอเค คุณลาได้ แต่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ทุกครั้ง (แต่ตามกฎหมายแรงงาน ถ้าลาวันเดียวไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ แต่เราสามารถขอใบรับรองแพทย์ได้ค่ะ แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องขอเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น)
และเขาเสริมมาว่า เราควรลาไปหาหมอช่วงวันหยุดมากกว่าวันทำงาน (คนที่หาหมอทางจิตเวชจะเข้าใจ ว่าคิวหมอค่อนข้างแน่น เขาจะมีคิวคนไข้ประจำในทุกๆวัน) ไม่อย่างนั้นจะกระทบกับ annual performance ซึ่งตอนที่เขาบอกเป็นช่วงที่ยาเราหมดฤทธิ์พอดี ทำให้เรารู้สึกแย่มาก เราเลยบอกเขาไปว่า เราไม่สนใจการประเมินปลายปีด้วยซ้ำ เราจะเข้มแข็งจนมีชีวิตถึงปีนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไประบายให้ manager ฟัง รวมถึงโทษตัวเองว่าควรลาออกไปอยู่ที่บ้านมั้ย (เราทำงานได้ปกติค่ะ ไม่เคยเลยเดดไลน์ ไม่กระทบงานใดๆที่ทำอยู่ และไม่ได้ทำอะไรพลาดจนงานเสียเลยสักครัง ทำงานมาทั้งปีใช้สิทธิ์ลาป่วย 5 ครั้ง ลากลับบ้านตจว. 6 ครั้ง) และโทษตัวเองว่าไม่ควรมาทำงานหรือเปล่า โทษว่าจริงๆเราก็ไม่ได้อยากเป็นโรคนี้ เพราะตั้งแต่เป็น ก็ทำให้เราสูญเสียความสามารถไปหลายๆอย่างจนทุกข์เหมือนกัน ถึงกับคิดว่าจริงๆแล้วบริษัทไม่ต้องมีเราก็ได้มั้ง (บางครั้งเราหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำที่ทำงาน)
สรุปคือ Manager เราก็ไปคุยกับหัวหน้า HR ให้ และ ผลสรุปคือ ถ้า Manager อนุญาต ก็คือจบ ซึ่งหัวหน้าเราบอกเราว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่าเราจะทำอะไรที่มหัศจรรย์กว่าคนอื่น เขาแค่อยากให้เรามาทำงาน มาเจอเพื่อนเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน และถ้าเหนื่อยอาจจะไปนั่งทำงานในห้องประจำ หรือทำงานจากที่บ้านได้ แต่เราไม่ได้อยากให้คนอื่นมองว่า เราได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น จึงพยายามทำตัวปกติค่ะ แต่อาจจะจิตตกมากตอนเย็นๆ คือเลิกงานปั๊ป เดินกลับบ้านไปร้องไห้ไป หมอเลยกำลังปรับยาให้อยู่ ตอนนี้คือพยายามทำให้ดีที่สุด มาให้ก่อนเวลาทำงานเพื่อเตรียมพร้อม (เป็นคนแรกหรือสองของทีมที่มาทำงานก่อนเสมอ) อะไรที่รู้ว่าลืมก็วางแผนล่วงหน้าเขียนใส่หลายๆโน้ตและบอกเพื่อนร่วมทีมว่า ถ้าเราลืมอะไร บอกมาได้เลย (เพื่อนในทีมเราก็น่ารักค่ะ เข้าใจทุกอย่าง)
เราไม่ได้อยากได้สิทธิพิเศษอะไรมากกว่าคนที่ทำงานปกติ แค่อยากได้รับความเข้าใจ (ที่ manager เราและทีมเรามีเท่านั้น)
แต่เราอยากทราบว่า ปกติแล้ว ทาง HR ต้องมีการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมั้ย (เราไปคุยกับพยาบาลของบริษัทมา ก็ทราบว่าจริงๆมีคนเป็นหลายคน) ซึ่งจริงๆฝ่ายบุคคลน่าจะมีการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า การอยู่ร่วมกับคนเป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างยาก เพราะต้องระมัดระวังคำพูดเสมอ (แต่สำหรับเราปมส่วนมากมาจากครอบครัว ดังนั้นถ้าไม่ใช่คำพูดจากครอบครัวเราจะไม่ค่อยเป็นอะไรเท่าไรค่ะ + ต้องอยู่ในฤทธิ์ยาด้วย) ดังนั้นถ้าคนรู้จักที่ไม่รู้จะคิดว่าเราปกติมากค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใส
เราจึงอยากทราบว่า HR บริษัทอื่นมีการรับมือกับพนักงานที่เป็นโรคนี้อย่างไรบ้างคะ
หรือว่าเพื่อนๆที่มีเพื่อนในทีมเป็นโรคซึมเศร้า สามารถแชร์ได้ค่า ว่าปฏิบัติตัวอย่างไรกับเพื่อนร่วมงานบ้าง (แต่สำหรับเรา เราให้เพื่อนปฏิบัติตัวปกติค่ะ เขาจะเข้าใจว่าถ้าเราอยากระบายจะพูดออกมาเอง)
ปล. ตอนนี้เรากับ HR ได้นัดคุยกันส่วนตัว และเข้าใจกันแล้ว เขาไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายเรามากขนาดนั้น เราจึงอยากให้ฝ่ายบุคคลได้มีการพูดคุยปรึกษากับนักจิตเวชเพื่อรับมือหรือเปล่าคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคนตอบค่า