เมื่อก่อนผมขับแต่รถยนต์ใน กทม. ผมก็ด่ามอเตอร์ไซค์นะครับว่าทำไมขับขี่น่ากลัว หวาดเสียว และ ไม่เคารถกฏจราจร และมีทัศนคติที่ไม่ดีกับรถมอเตอร์ไซค์เยอะมากๆ
แต่พอ ตัวเองตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์มาขับใน กทม. ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจปัญหาของมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาเลยครับ...
ข้อดีของมอเตอร์ไซค์
1. มอเตอร์ไซค์ เป็นรถที่ใช้พื้นที่น้อยบนถนน ขนาดของมอเตอร์ไซค์บนถนน เมื่อเทียบกับรถยนต์ 1 คัน พบว่า 1 มอเตอร์ไซค์บรรทุกได้ 2 คน รถยนต์ 1 คันบรรทุกได้ 4-5 คน และพื้นที่มอเตอร์ไซค์ต่อรถยนต์เท่ากับ 1/4 คือ มอเตอร์ไซค์ 4 คันใช้พื้นที่บนถนนเท่ากับรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นเมื่อเอามาเทียบจะได้เท่ากับ มอเตอร์ไซค์ สามารถลำเลียงคนได้ถึง 8 คน ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารถยนต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ใน กทม. ส่วนใหญ่มักจะขับคนเดียว ซึ่งนั่นทำให้ประสิทธิภาพต่อการบรรทุก "แย่" กว่า และกินพื้นที่บนถนนมากกว่ามอเตอร์ไซค์ถึง 4 เท่าตัว
* ไปหาข้อมูลลองคำนวณขนาดพื้นที่วัดเป็น ตรม. แล้วพบว่า มอเตอร์ไซค์ ใช้พื้นที่ 1.4 ตรม.(new r15) เทียบกับรถยนต์ ใช้พื้นที่ 8.5 ตรม.(new civic 2019) ซึ่งไม่นับระยะเว้นของรถแต่ละคัน เท่ากับว่า รถยนต์ 1 คัน ใช้พื้นที่เท่ากับมอเตอร์ไซค์ถึง 6 คัน (ไม่นับระยะเว้นรถแต่ละคันนะครับคิดเฉพาะการใช้พื้นที่บนถนน) ลองจินตนาการเวลารถติด ถ้าทุกคนขี่แต่มอเตอร์ไซค์ แทนที่ท้ายแถวจากห้าแยกลาดพร้าวมาทาง JJ จะรองรับมอเตอร์ไซค์ ได้ถึง200-300 คัน แต่ถ้าเป็นรถยนต์ อาจจะรองรับได้แค่ 50-60 คันเท่านั้น ถ้าเทียบกันเชิงเศรษฐศาสตร์ต่อการลำเลียง "คน" แค่ 1 คนเท่ากันถือว่ารถยนต์นั้นเอาเปรียบพื้นที่บนถนนเยอะมากๆ นี้ผมเทียบแค่รถยนต์เล็กพวกแนวซีดานนะครับ...ถ้าเป็นพวก alphard อะไรแบบนั้นจะยิ่งใช้พื้นที่บนถนนมากกว่านี้อีก
** นี้ยังไม่ได้เทียบกับน้ำหนักกดพื้นของรถเลยนะครับ... เพราะในแง่ของการใช้งานพื้นถนน น้ำหนักกดทับ กับ พื้นที่ใช้สอย ควรต้องนำมาคำนวณภาษีกันใหม่เลย คือ รถที่ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันแต่ความเสียหายต่อพื้นที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง...รถบรรทุก 6 ล้อ ที่มีน้ำหนักมาก วิ่งรถเปล่าเข้าเมืองเพื่อรับส่งของเล็กๆ เอาแค่ขนาดกับน้ำหนักที่กระทำต่อพื้นถนนก็เอาเปรียบรถอย่างอื่นมากๆแล้ว...
*** ภาษีของรถชนิดต่างๆ ควรต้องกลับมาคำนวณกันใหม่เพื่อโฟกัสไปที่การใช้งานที่แท้จริง ไม่ควรคำนวนจาก ขนาดของเครื่องยนต์อีกต่อไป แต่ควรจะต้องคำนวณจาก อัตราความสิ้นเปลืองที่แท้จริงเพื่อผลักดันให้รัฐสนับสนุนผู้ที่นำรถที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาจำหน่ายให้มากกว่านี้ อัตราภาษีนำเข้า และ ภาษีรายปี น่าจะต้องเปลี่ยนการคำนวณใหม่ โดยคิดปัจจัยจาก
1.) พื้นที่บนถนนคือ รถยิ่งขนาดเล็กควรต้องยิ่งเสียภาษีน้อย
2. )น้ำหนักรถ คือ รถที่ยิ่งน้ำหนักเบา ย่อมทำให้เกิดความเสียหายกับถนนน้อย ประหยัดงบประมาณในการซ่อมถนนมหาศาล
3. ) อัตราความสิ้นเปลือง คือ ยิ่งอัตราสิ้นเปลืองต่ำยิ่งต้องเสียภาษีน้อย
4. ) ภาษีมลพิษ รถยิ่งสร้างมลพิษต่ำควรต้องเสียภาษีน้อย
2. มอเตอร์ไซค์ เป็นยานยนต์ที่ประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์เยอะมากอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ราวๆ 30-50 km/L ซึ่งรถยนต์ที่วิ่งในเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่ 8-12 km/L (ถ้าขับขี่ในเมืองนะครับไม่นับออกต่างจังหวัด) ดังนั้นเมื่อเอามาเทียบกับนิสัยแบบคนไทยคือ 1 คน ต่อ 1 คันทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันต่อคนต่อลิตรของรถยนต์ เลวร้ายกว่าขี่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก
3. มอเตอร์ไซค์สร้างมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ เพราะด้วยขนาดเครื่องยนต์และ ไม่ต้องมีระบบแอร์...
4. หาพื้นที่จอดได้เร็ว และ ง่ายกว่ารถยนต์และกีดขว้างขอบทางน้อยกว่ารถยนต์เยอะมาก
5. รถมอเตอร์ไซค์ที่พับกระจกได้ได้เปรียบเวลาแทรกระหว่างรถติด
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อเสียของมอเตอร์ไซค์
1. มอเตอร์ไซค์ต้องอาศัยการทรงตัว ดังนั้นการเอาขาลงพื้นตอนหยุดจึงทำให้รถหนักกว่าตอนขับขี่ ไม่เหมือนรถยนต์คือจะจอดหรือจะวิ่งมีค่าเท่ากัน ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เข้าใจว่าทำไมมอเตอร์ไซค์ต้องเลี้ยงตัวไม่ให้ขาแตะพื้นตลอด...ตอนนี้รู้แล้ว
2. การจอดหรือหยุดรถจะทำให้แดดเผา และ ร้อนที่ผิวมากกว่าตอนที่รถวิ่งอย่างมากถ้าไม่ได้ใส่เสื้อการ์ดนี้ร้อนมาก จึงอยากรณรงค์ให้มอเตอร์ไซค์ทุกคันถ้าเป็นไปได้ ใส่เสื้อการ์ด และ ถุงมือ จะช่วยได้พอสมควร ดังนั้นการจอดรถจะทำให้ หนัก และ ร้อนมาก...
3. กลิ่นต่างๆ ทั้งควัน ฝุ่น ถ้าไม่ได้ใส่ชุดครบ และ ไม่มีหมวกกันน็อค ทำให้ชุดมีกลิ่นเหม็น ยิ่งถ้าต้องใส่ชุดทำงานไปทำงานต่อ กลิ่นควันรถติดเสื้อผ้าจะดูไม่ดีกับงานที่ต้องพบปะลูกค้าเป็นอย่างมาก
4. มอเตอร์ไซค์แนว sport เข้าที่จอดรถบางแห่งไม่ได้เพราะระยะวงเลี้ยวกว้างเกินไป(รถมอเตอร์ไซค์ปกติจะหักวงเลี้ยวได้เกือบ 40 องศา แต่พวกทรง sport จะหักได้แค่ไม่เกิน 30และด้วยล้อที่ใหญ่กว่าทำให้ยิ่งหักหัวรถยาก) เพราะส่วนใหญ่คนออกแบบที่จอดรถมอเตอร์ไซค์มักจะออกแบบทางเข้าออกเล็กและจุดวกกลับหาที่จอดเล็ก ต้องทำระบบที่จอดดีๆหน่อย อย่างที่ the mall บางกะปิ ออกแบบดีทำให้แม้ช่องเข้าจะเล็กแต่ระบบการเข้าช่องจอดเป็นแบบหันไปทางเดียวและถ้าจะออกก็ออกช่องเดียวทำให้รถแนว sport สามารถจอดได้ (หลายห้างไม่ค่อยคิด) บางห้างกำหนดขนาดช่องจอดรถ Bigbike แยกออกมา แต่มักจะกำหนดด้วย CC ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ CC น้อยกว่า 300 cc แต่เป็นทรง sport เข้าจอดไม่ได้..
5. ฝนตกมอเตอร์ไซค์จะขับขี่ยากมากๆเพราะไม่เห็นหลุมที่ถูกน้ำขังปิดเอาไว้บางหลุมลึกมาก ไม่ใช่เพียงแต่หลุมเท่านั้นพวกฝาท่อที่ระดับต่างจากพื้นถนนมากๆ ถ้าขี่ไปโดนขอบพอดีมีโอกาสอุบัติเหตุได้สูงมากๆซึ่งต่างกับรถยนต์ไม่ค่อยกระเทือนกับพวกฝาท่อเท่าไหร่ต่อให้ขับทับอย่างมากก็ยางแตก แต่มอเตอร์ไซค์ถ้าล้มแล้วโดนทับซ้ำก็ไม่รอด...และการหาที่หลบฝนในบางครั้งทำได้ยากเพราะการจราจรที่แออัดทำให้ออกจากถนนบางจุดไม่ได้เลย
6. การบรรทุกของ ได้จำกัดมากๆ ถ้าไม่ติดกระเป๋าเสริมแทบจะซื้อของอะไรมาเหมือนตอนขับรถยนต์ไม่ได้เลย ยิ่งพวกของยาวๆ อย่างพวกหลอดยาว หรือ แม้แต่ขนมปังฝรั่งเศสแบบนี้ขนยาก
*** โอกาสในการโดนตำรวจเรียกตรวจบ่อยกว่ารถยนต์ แต่เนื่องจากไม่ว่าขับขี่รถแบบไหนผมจะทำให้ถูกกฏจราจรแทบทุกอย่าง ที่กฏหมายกำหนดดังนั้นผมเลยไม่เคยถูกเรียกเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ขับขี่ไม่ว่าจะรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์
--------------------------------------------------------------------------
ใครมีอะไรเสริมข้อดีข้อเสียของมอเตอร์ไซค์ในเมืองหลวงลองแชร์ประสบการณ์กันดูครับ ส่วนผมตอนแรกที่ยังไม่กล้าขี่มอเตอร์ไซค์ในเมืองหลวงเพราะว่าไม่ชินทางและไม่เคยขี่มานานมากแล้วตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย...อีกอย่าง ที่บ้านแฟนค่อนข้างจะ anti มอเตอร์ไซค์อย่างแรง รถยนต์ในบ้านเต็มไปหมดแต่ไม่ค่อยมีคนขับไปไหนส่วนใหญ่ก็เป็นผมอีกนั่นแหล่ะที่ต้องขับไปส่ง ตอนนี้มีทางเลือกค่อนข้างเยอะในการเดินทาง เช่น ใกล้ๆ ก็จักรยาน ไกลหน่อยก็มอเตอร์ไซค์ ถ้าซื้อของเยอะแบกไม่ไหวก็รถยนต์ ออกต่างจังหวัดก็รถยนต์ อะไรแบบนี้....
จริงๆโดยส่วนตัวผมอยากให้ทุกบ้านใน กทม. มีรถทั้ง 3 แบบติดไว้เลยครับ...จะทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้นอย่างมาก ตอนนี้ส่วนใหญ่การเดินทางใน กทม. ใช้ มอเตอร์ไซค์ราวๆ 35 % , จักรยาน 10%, รถยนต์ 35 % , รถสาธารณะ 20%
"เล่าสู่กันฟัง จากมุมมอง ของคนที่ขับรถยนต์ในกทม. แล้ว ทดลองหันมาขับขี่สองล้อ"
แต่พอ ตัวเองตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์มาขับใน กทม. ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจปัญหาของมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาเลยครับ...
ข้อดีของมอเตอร์ไซค์
1. มอเตอร์ไซค์ เป็นรถที่ใช้พื้นที่น้อยบนถนน ขนาดของมอเตอร์ไซค์บนถนน เมื่อเทียบกับรถยนต์ 1 คัน พบว่า 1 มอเตอร์ไซค์บรรทุกได้ 2 คน รถยนต์ 1 คันบรรทุกได้ 4-5 คน และพื้นที่มอเตอร์ไซค์ต่อรถยนต์เท่ากับ 1/4 คือ มอเตอร์ไซค์ 4 คันใช้พื้นที่บนถนนเท่ากับรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นเมื่อเอามาเทียบจะได้เท่ากับ มอเตอร์ไซค์ สามารถลำเลียงคนได้ถึง 8 คน ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารถยนต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ใน กทม. ส่วนใหญ่มักจะขับคนเดียว ซึ่งนั่นทำให้ประสิทธิภาพต่อการบรรทุก "แย่" กว่า และกินพื้นที่บนถนนมากกว่ามอเตอร์ไซค์ถึง 4 เท่าตัว
* ไปหาข้อมูลลองคำนวณขนาดพื้นที่วัดเป็น ตรม. แล้วพบว่า มอเตอร์ไซค์ ใช้พื้นที่ 1.4 ตรม.(new r15) เทียบกับรถยนต์ ใช้พื้นที่ 8.5 ตรม.(new civic 2019) ซึ่งไม่นับระยะเว้นของรถแต่ละคัน เท่ากับว่า รถยนต์ 1 คัน ใช้พื้นที่เท่ากับมอเตอร์ไซค์ถึง 6 คัน (ไม่นับระยะเว้นรถแต่ละคันนะครับคิดเฉพาะการใช้พื้นที่บนถนน) ลองจินตนาการเวลารถติด ถ้าทุกคนขี่แต่มอเตอร์ไซค์ แทนที่ท้ายแถวจากห้าแยกลาดพร้าวมาทาง JJ จะรองรับมอเตอร์ไซค์ ได้ถึง200-300 คัน แต่ถ้าเป็นรถยนต์ อาจจะรองรับได้แค่ 50-60 คันเท่านั้น ถ้าเทียบกันเชิงเศรษฐศาสตร์ต่อการลำเลียง "คน" แค่ 1 คนเท่ากันถือว่ารถยนต์นั้นเอาเปรียบพื้นที่บนถนนเยอะมากๆ นี้ผมเทียบแค่รถยนต์เล็กพวกแนวซีดานนะครับ...ถ้าเป็นพวก alphard อะไรแบบนั้นจะยิ่งใช้พื้นที่บนถนนมากกว่านี้อีก
** นี้ยังไม่ได้เทียบกับน้ำหนักกดพื้นของรถเลยนะครับ... เพราะในแง่ของการใช้งานพื้นถนน น้ำหนักกดทับ กับ พื้นที่ใช้สอย ควรต้องนำมาคำนวณภาษีกันใหม่เลย คือ รถที่ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันแต่ความเสียหายต่อพื้นที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง...รถบรรทุก 6 ล้อ ที่มีน้ำหนักมาก วิ่งรถเปล่าเข้าเมืองเพื่อรับส่งของเล็กๆ เอาแค่ขนาดกับน้ำหนักที่กระทำต่อพื้นถนนก็เอาเปรียบรถอย่างอื่นมากๆแล้ว...
*** ภาษีของรถชนิดต่างๆ ควรต้องกลับมาคำนวณกันใหม่เพื่อโฟกัสไปที่การใช้งานที่แท้จริง ไม่ควรคำนวนจาก ขนาดของเครื่องยนต์อีกต่อไป แต่ควรจะต้องคำนวณจาก อัตราความสิ้นเปลืองที่แท้จริงเพื่อผลักดันให้รัฐสนับสนุนผู้ที่นำรถที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาจำหน่ายให้มากกว่านี้ อัตราภาษีนำเข้า และ ภาษีรายปี น่าจะต้องเปลี่ยนการคำนวณใหม่ โดยคิดปัจจัยจาก
1.) พื้นที่บนถนนคือ รถยิ่งขนาดเล็กควรต้องยิ่งเสียภาษีน้อย
2. )น้ำหนักรถ คือ รถที่ยิ่งน้ำหนักเบา ย่อมทำให้เกิดความเสียหายกับถนนน้อย ประหยัดงบประมาณในการซ่อมถนนมหาศาล
3. ) อัตราความสิ้นเปลือง คือ ยิ่งอัตราสิ้นเปลืองต่ำยิ่งต้องเสียภาษีน้อย
4. ) ภาษีมลพิษ รถยิ่งสร้างมลพิษต่ำควรต้องเสียภาษีน้อย
2. มอเตอร์ไซค์ เป็นยานยนต์ที่ประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์เยอะมากอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ราวๆ 30-50 km/L ซึ่งรถยนต์ที่วิ่งในเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่ 8-12 km/L (ถ้าขับขี่ในเมืองนะครับไม่นับออกต่างจังหวัด) ดังนั้นเมื่อเอามาเทียบกับนิสัยแบบคนไทยคือ 1 คน ต่อ 1 คันทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันต่อคนต่อลิตรของรถยนต์ เลวร้ายกว่าขี่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก
3. มอเตอร์ไซค์สร้างมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ เพราะด้วยขนาดเครื่องยนต์และ ไม่ต้องมีระบบแอร์...
4. หาพื้นที่จอดได้เร็ว และ ง่ายกว่ารถยนต์และกีดขว้างขอบทางน้อยกว่ารถยนต์เยอะมาก
5. รถมอเตอร์ไซค์ที่พับกระจกได้ได้เปรียบเวลาแทรกระหว่างรถติด
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อเสียของมอเตอร์ไซค์
1. มอเตอร์ไซค์ต้องอาศัยการทรงตัว ดังนั้นการเอาขาลงพื้นตอนหยุดจึงทำให้รถหนักกว่าตอนขับขี่ ไม่เหมือนรถยนต์คือจะจอดหรือจะวิ่งมีค่าเท่ากัน ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เข้าใจว่าทำไมมอเตอร์ไซค์ต้องเลี้ยงตัวไม่ให้ขาแตะพื้นตลอด...ตอนนี้รู้แล้ว
2. การจอดหรือหยุดรถจะทำให้แดดเผา และ ร้อนที่ผิวมากกว่าตอนที่รถวิ่งอย่างมากถ้าไม่ได้ใส่เสื้อการ์ดนี้ร้อนมาก จึงอยากรณรงค์ให้มอเตอร์ไซค์ทุกคันถ้าเป็นไปได้ ใส่เสื้อการ์ด และ ถุงมือ จะช่วยได้พอสมควร ดังนั้นการจอดรถจะทำให้ หนัก และ ร้อนมาก...
3. กลิ่นต่างๆ ทั้งควัน ฝุ่น ถ้าไม่ได้ใส่ชุดครบ และ ไม่มีหมวกกันน็อค ทำให้ชุดมีกลิ่นเหม็น ยิ่งถ้าต้องใส่ชุดทำงานไปทำงานต่อ กลิ่นควันรถติดเสื้อผ้าจะดูไม่ดีกับงานที่ต้องพบปะลูกค้าเป็นอย่างมาก
4. มอเตอร์ไซค์แนว sport เข้าที่จอดรถบางแห่งไม่ได้เพราะระยะวงเลี้ยวกว้างเกินไป(รถมอเตอร์ไซค์ปกติจะหักวงเลี้ยวได้เกือบ 40 องศา แต่พวกทรง sport จะหักได้แค่ไม่เกิน 30และด้วยล้อที่ใหญ่กว่าทำให้ยิ่งหักหัวรถยาก) เพราะส่วนใหญ่คนออกแบบที่จอดรถมอเตอร์ไซค์มักจะออกแบบทางเข้าออกเล็กและจุดวกกลับหาที่จอดเล็ก ต้องทำระบบที่จอดดีๆหน่อย อย่างที่ the mall บางกะปิ ออกแบบดีทำให้แม้ช่องเข้าจะเล็กแต่ระบบการเข้าช่องจอดเป็นแบบหันไปทางเดียวและถ้าจะออกก็ออกช่องเดียวทำให้รถแนว sport สามารถจอดได้ (หลายห้างไม่ค่อยคิด) บางห้างกำหนดขนาดช่องจอดรถ Bigbike แยกออกมา แต่มักจะกำหนดด้วย CC ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ CC น้อยกว่า 300 cc แต่เป็นทรง sport เข้าจอดไม่ได้..
5. ฝนตกมอเตอร์ไซค์จะขับขี่ยากมากๆเพราะไม่เห็นหลุมที่ถูกน้ำขังปิดเอาไว้บางหลุมลึกมาก ไม่ใช่เพียงแต่หลุมเท่านั้นพวกฝาท่อที่ระดับต่างจากพื้นถนนมากๆ ถ้าขี่ไปโดนขอบพอดีมีโอกาสอุบัติเหตุได้สูงมากๆซึ่งต่างกับรถยนต์ไม่ค่อยกระเทือนกับพวกฝาท่อเท่าไหร่ต่อให้ขับทับอย่างมากก็ยางแตก แต่มอเตอร์ไซค์ถ้าล้มแล้วโดนทับซ้ำก็ไม่รอด...และการหาที่หลบฝนในบางครั้งทำได้ยากเพราะการจราจรที่แออัดทำให้ออกจากถนนบางจุดไม่ได้เลย
6. การบรรทุกของ ได้จำกัดมากๆ ถ้าไม่ติดกระเป๋าเสริมแทบจะซื้อของอะไรมาเหมือนตอนขับรถยนต์ไม่ได้เลย ยิ่งพวกของยาวๆ อย่างพวกหลอดยาว หรือ แม้แต่ขนมปังฝรั่งเศสแบบนี้ขนยาก
*** โอกาสในการโดนตำรวจเรียกตรวจบ่อยกว่ารถยนต์ แต่เนื่องจากไม่ว่าขับขี่รถแบบไหนผมจะทำให้ถูกกฏจราจรแทบทุกอย่าง ที่กฏหมายกำหนดดังนั้นผมเลยไม่เคยถูกเรียกเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ขับขี่ไม่ว่าจะรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์
--------------------------------------------------------------------------
ใครมีอะไรเสริมข้อดีข้อเสียของมอเตอร์ไซค์ในเมืองหลวงลองแชร์ประสบการณ์กันดูครับ ส่วนผมตอนแรกที่ยังไม่กล้าขี่มอเตอร์ไซค์ในเมืองหลวงเพราะว่าไม่ชินทางและไม่เคยขี่มานานมากแล้วตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย...อีกอย่าง ที่บ้านแฟนค่อนข้างจะ anti มอเตอร์ไซค์อย่างแรง รถยนต์ในบ้านเต็มไปหมดแต่ไม่ค่อยมีคนขับไปไหนส่วนใหญ่ก็เป็นผมอีกนั่นแหล่ะที่ต้องขับไปส่ง ตอนนี้มีทางเลือกค่อนข้างเยอะในการเดินทาง เช่น ใกล้ๆ ก็จักรยาน ไกลหน่อยก็มอเตอร์ไซค์ ถ้าซื้อของเยอะแบกไม่ไหวก็รถยนต์ ออกต่างจังหวัดก็รถยนต์ อะไรแบบนี้....
จริงๆโดยส่วนตัวผมอยากให้ทุกบ้านใน กทม. มีรถทั้ง 3 แบบติดไว้เลยครับ...จะทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้นอย่างมาก ตอนนี้ส่วนใหญ่การเดินทางใน กทม. ใช้ มอเตอร์ไซค์ราวๆ 35 % , จักรยาน 10%, รถยนต์ 35 % , รถสาธารณะ 20%