Midsommar (2019) วิเคราะห์จิตใจและความหมายของความสัมพันธ์ที่จบลงในกองไฟ

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
กระทู้สนทนา
ฉากเปิดของ Midsommar คือภาพของพื้นอันเงียบสงบปกคลุมไปด้วยหิมะที่ฉายให้ดูไปพร้อมๆกับเสียงเพลงขับกล่อม ตัดมาเป็นฉากบ้านเรือนในตัวเมืองพร้อมเสียงโทรศัพท์ดัง ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแดนี่พยายามติดต่อครอบครัวของเธอเองเพราะกังวลเรื่องอาการป่วยไบโพล่าของน้องสาว ทั้งสองฉากมีความแตกต่างกันชัดเจนและช่วยให้เราเข้าได้ถึงภาวะอันน่าอึดอัดในจิตใจของแดนี่ 

แม้ใช้เวลาอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครในบ้านได้เลย ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาแฟนหนุ่มของเธอ คริสเตียน ความจริงแล้วแดนี่พยายามจะระบายความอัดอั้นในใจให้แฟนฟัง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำสั่งสอนจากคริสเตียนที่จะว่าไปแล้วก็ฟังดูมีเหตุผล เขาบอกให้เธอใช้ตรรกะมากขึ้นในงานตัดสินใจสิ่งต่าง และแดนี่เหตุก็เหมือนจะเห็นด้วย ภาพพจน์ของตัวละครแดนี่เริ่มชัดเจนขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่ปราศจากความมั่นคงทางอารมณ์และต้องการหาที่พึ่งพาที่เธอสามารถระบายความทุกข์ออกไปได้ แต่การอยู่กับคริสเตียนนั้นทำให้เธอยิ่งต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ลึกยิ่งกว่าเดิม 

ทางฝรั่งคริสเตียนก็เหมือนจะเริ่มรำคาญกับพฤติกรรมที่เรียกร้องความเอาใจใส่ของแดนี่ เพื่อนๆรอบตัวเขาเองโโยเฉพาะมาร์คก็ยุ่ยงให้ทั้งคู่เลิกๆกันไปสะ เพราะคริสเตียนเองก็ยังเป็นชายหนุ่มกลัดมันที่อยากจะมีช่วงเวลาเร้าร้อนกับสาวๆมากกว่านี้ แต่ทั้งหมดก็ไม่อาจเกิดเมื่อคริสเตียนได้รู้ข่าวในอีกไม่กี่นาทีถัดมาว่าน้องสาวของแดนี่ลงมือฆ่าพ่อแม่และฆ่าตัวตายตาม สุดท้ายแล้วคริสเตียมต้องจำใจอยู่กับแดนี่ต่อเพื่อให้เธอพ้นสภาพทุกข์ใจนี้ไปก่อน 

ฉากเปิดด้วยเครดิตยังคงเป็นหิมะอยู่แต่คราวนี้มันไม่ร่วงหล่นนุ่มนวลเหมือนแรกแต่เป็นพายุหิมะที่พัดกระหน่ำพร้อมกับเสียงดนตรีที่แสนจะหลอนหู เวลาผ่านแดนี่ยังคงไม่หายจากอาการบอบช่ำ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังอยากจะรักษาตัวเองให้หาย เธอไปงานปาร์ตี้กับคริสเตียนและได้รู้ว่าเขาและเพื่อนกำลังจะไปเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดของเพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งชื่อเพลเล่ในสวีเดน ณ พื้นที่ที่เรียกว่าฮอร์กา แดนี่รู้สึกผิดหวังที่คริสเตียนไม่ได้บอกเรื่องนี้และพยายามจะบอกความรู้สึกนี้กับเขา แต่กลายเป็นว่าคริสเตียนพยายามจะเดินหนีจากปัณหานี้ 

ความกลัวที่จะสูญเสียเขาทำให้เธอต้องเก็บงำความรู้สึกต่อไป แดนี่นัดเจอเพื่อนคริสเตียนเพื่อบอกพวกเขาว่าเธอจะไปสวีเดนด้วยและเพลเล่พยายามจะแสดงความเสียใจกับการตายของครอบครัวเธอ นั่นทำให้อาการพานิค แอทแทคของเธอกำเริบขึ้นมากอีกครั้ง และการเดินทางของตัวละครก็เริ่มขึ้น ตอนนี้เรามีตัวเองผู้หญิงที่ต้องการความมั่นคงทางอารมณ์แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเพื่อเธอ แถมยังไม่สามารถกำหนดทิศทางชีวิตของตัวเองได้ ต้องปล่อยให้คริสเตียนเป็นคนชี้นำทุกเรื่อง นอกจากนี้โรคพานิค แอทแทคก็สามารถกำเริบขึ้นมาตอนไหนก็ได้เพราะการเก็บกดทุกสิ่งเอาไว้

ในที่สุดทุกคนก็มาถึงหมู่บ้านที่เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย แดนี่รู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายเป็นครั้งแรก แม้ทุกอย่างจะดูสวยงามกลิ่นของความน่าสะพรึ่งก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้ผ่านภาพที่เต็มไปด้วยแสงและสีสัน ผู้กำกับ Ari Aster เองก็รอให้เราเห็นความน่ากลัวไม่ไหลจึงเผยฉากการสังเวยมนุษย์ให้เราดูแบบโคลสอัพกับเลยทีเดียว เป็นครั้งที่สองแล้วที่แดนี่ต้องสะเทือนใจกับความตายและอาการพานิค แอทแทคของเธอก็เริ่มขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเพลเล่อยู่ด้วยเพื่อบอกเธอว่าเธอไม่ได้อยู่ลำพังเพราะเขาเองก็เคยสูญเสียและเขาเข้าใจเธอดีทุกอย่าง นั่นทำให้เธอสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

คริสเตียนและจอชเพื่อนอีกคนของเขาเริ่มเผยความตั้งใจของตัวเองออกมา ทั้งคู่ต่างหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองแต่มีแค่จอชที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมในฮอร์กา แต่คริสเตียนเพิ่งเริ่มสนใจเรื่องนี้เพราะสิ่งที่ได้เห็นจนทั้งคู่เริ่มมีปากเสียง แม้แต่ในกลุ่มเพื่อนเราก็ยังเห็นความไม่ลงรอยกัน สุดท้ายแล้วไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องเรียกร้องบางอย่าง อย่างก่อนหน้านี้การที่เพื่อนของคริสเตียนยุ่ให้เขาเลิกกันแฟนก็เป็นเพราะความต้องการส่วนตัวที่รำคาญในตัวแดนี่ ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วง ยิ่งเวลาผ่านไปแดนี่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลังและโดดเดี่ยวยิ่งกว่าที่ผ่านมา

ในขณะที่เริ่มศึกษาเรื่องราวของที่แห่งนี้จอชได้เรียนรู้เกี่ยวกับการมีสัมพันธ์ร่วมสายเลือดในชุมชนทำให้เกิดผู้พิการขึ้นมาซึ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยแพร่ประเพณีของชุมชนนี้ด้วยความเชื่อว่าผู้ที่แตกต่างสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น (ตรงนี้เดี๋ยวกลับมาพูดถึงอีกรอบ) ความอยากรู้ของจอชทำให้เขาแอบเข้าไปถ่ายรูปสิ่งของต้องห้ามก่อนที่จะถูกขัดจังหวะโดยร่างที่ดูเหมือนมาร์ค กว่าจะรู้ตัวว่านั่นนั่นคือใบหน้าของมาร์คที่ถูกถลกหนังออกมาจอชก็โดนฆ่าไปแล้ว

ในวันต่อผู้หญิงทุกคนรวมถึงแดนี่ก็ไปร่วมงานเต้นรำเพื่อค้นหาเพทีแห่งการเก็บเกี่ยว ในขณะเดียวกันคริสเตียนก็ถูกกระตุ้นให้มีเซ็กส์กับสาวแปลกหน้าผมแดงโดยคนในชุมชน บางอย่างในเครื่องดื่มทำให้ทั้งคู่เคลิ้มไปกับสิ่งรอบกาย แดนี่สนุกและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน เธอเต้นจะได้รับตำแหน่งมา ส่วนคริสเตียนก็ตัดสินใจร่วมเพศกับสาวผมแดงต่อหน้าคณะประสานเสียงจนเกิดเป็นฉากที่เหว่อมากที่สุดในหนังก่อนที่แดนี่จะมาเห็นเข้า

อาการพานิค แอทแทคของเธอกลับมาอีกครั้งเพราะสิ่งที่เห็น แต่ในครั้งนี้ทุกครั้งเมื่อเธอกรีดร้องคนรอบตัวเธอก็ร้องตามไปด้วย อาจจะดูสั่นประสาทไปบ้างแต่แดนี่ได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของเธอได้ในที่สุด คริสเตียนสับสนและพยายามจะหนีแต่ก็ถูกจับและวางยาให้ไปไหนไม่ได้ ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าทุกคนที่เดินทางมาถูกใช้ในสังเวยของพิธีกรรมเก่าแก่ ในฐานะเทพีแดนี่สามารถเลือกให้เครื่องสังเวยรายสุดท้ายเป็นคนในชุมชนเองหรือคริสเตียน

สุดท้ายแดนี่เลือกจบความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยการปล่อยให้คริสเตียนเข้ารับการบูชายัญ และถึงแม้จะเต็มไปด้วยความเสียใจในตอนแรกแดนี่ก็เผยรอยยิ้มออกมาในตอนจบ ในที่สุดเธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด เธอได้ปลดปล่อยสิ่งที่เก็บงำไว้ทั้งหมดและยังมีคนที่อยู่เพื่อแบ่งปันมันร่วมกับเธอ  อารมณ์ที่ดูไร้เหตุผลสำหรับคริสเตียนกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับสำหรับทุกคนในที่แห่งนี้ท่ามกลางงานฉลองและพิธีกรรมที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมาอธิบาย เหมือนกับผู้เผยแพร่คำสอนพิกลพิการที่คนอื่นมองเห็ยความพิเศษในตัวและทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ และเหนืออื่นนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ควบคุมชีวิตของตัวเอง ที่ผ่านมาเป็นแดนี่เองที่ตัดสินใจมายังฮอร์กา เธอเต้นจนได้เป็นเทพีเก็บเกี่ยว และเธอได้ตัดสินใจเลือกจะจบความสัมพันธ์กับคริสเตียนด้วยตัวเอง เธอจึงได้พบครอบครัวและบ้านที่ตามหา

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่