ประวัติศาสตร์บรรพบุรุษไทย ก่อนจะได้มาซึ่งอโยธยา โดยจะเริ่มตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยที่สถาปนา "กรุงอโยธยา"
เนื้อหาหลักๆ จะดำเนินไปที่ ๒ อาณาจักรสำคัญ คือ “กรุงสุพรรณภูมิ” กับ “กรุงละโว้”
เนื้อหาทั้งหมด เกิดจากการค้นคว้าเรียบเรียงประติดประต่อ จากแหล่งข้อมูลของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีหลากหลายท่าน และที่สำคัญ “ไม่อิงประวัติศาสตร์กระแสหลัก” แต่เมื่ออ่านจบจะรู้ว่า “ชาวสุวรรณภูมิ ยิ่งใหญ่แค่ไหน”
คำว่า “ไทย” มีรากศัพท์มาจากคำว่า ไต หรือ ไท เมื่อผันเป็นบาลีจะได้ ทยฺย อ่านว่า ทัยยะ หรือก็คือ “ไทย” มีความหมายว่า อิสรภาพ และอีกนัยคือ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก
“ไท” คำนี้เป็นคำไทยแท้ที่เกิดจากการสร้างคำที่เรียก “การลากคำเข้าวัด” ซึ่งเป็นการลากความวิธีหนึ่ง ตามหลักคติชนวิทยา คนไทยเป็นชนชาติที่นับถือกันว่า “ภาษาบาลี” ซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล เมื่อคนไทยต้องการตั้งชื่อประเทศว่า “ไท” ซึ่งเป็นคำไทยแท้ จึงเติมตัว “ย” เข้าไปข้างท้าย เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคำในภาษาบาลี-สันสกฤต และเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อของตน ภาษาไทยจึงหมายถึงภาษาของชนชาติไทยผู้เป็นไทนั่นเอง
บรรพบุรุษของชาวไทย
ในแผ่นดินสุวรรณภูมินั้น มีผู้คนอาศัยอยู่ก่อนแต่เดิมแล้วเป็นพันปี ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบันด้วย โดยเฉพาะทางภาคกลางของไทย เรียกได้ ๒ ชนชาติใหญ่ๆ คือ “ชาวขอม” และ “ชาวมอญ” แล้วบรรพบุรุษอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเข้ามาภายหลังและนำภาษาตระกูลไทมาด้วย โดยภาษาตระกูลนี้จะมีอิทธิพลกับผู้คนในแถบใจกลางสุวรรณภูมิเป็นอย่างมากจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ชนชาติที่ว่านี้ก็คือ “ชาวไท”
ชาวไท เป็นชื่อเรียกโดยรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดกลุ่มภาษาตระกูลไท โดยคนไทนั้นกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคสุวรรณภูมิมาช้านาน รับประทานข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นิยมปลูกเรือนเสาสูง มีใต้ถุน อาศัยทั้งในที่ราบลุ่มและบนภูเขา ประเพณีศพเป็นวิธีเผาจนเป็นเถ้าแล้วเก็บอัฐิไว้ให้ลูกหลานบูชา ศาสนาดั้งเดิมเป็นศาสนาผี นับถือบรรพบุรุษและบูชาพญาแถน (ผีฟ้า หรือเสื้อเมือง) มีประเพณีสำคัญคือ ประเพณีสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีเฉลิมฉลองวสันตวิษุวัตและการขึ้นปีใหม่
ทั้งนี้ คำเรียก ไต เป็นคำที่กลุ่มชนตระกูลไทใหญ่ใช้เรียกตนเอง ส่วน ไท เป็นคำเดียวกัน แต่เป็นสำเนียงของชาวไทน้อย และ ไทสยาม บางครั้ง การใช้คำ ไต-ไท ในวงแคบจะหมายถึงเฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาในกลุ่มภาษาไท (ไม่รวมกลุ่มภาษากะได เช่น ลักเกีย แสก คำ ต้ง หลี เจียมาว ฯลฯ)
เดิมชาวไทอาศัยอยู่บริเวณจีนตอนใต้
และเขตวัฒนธรรมไท-กะได
ศาสตราจารย์ เก็ดนีย์ เจ้าของทฤษฎี ให้เหตุผลประกอบด้วยทฤษฏีทางภาษาว่า ภาษาเกิดที่ใด จะมีภาษาท้องถิ่นมากหลายชนิดเกิดขึ้นแถบบริเวณนั้น เพราะอยู่มานานจนแตกต่างกันออกไป แต่ในดินแดนที่ใหม่กว่าภาษาจะไม่ต่างกันมาก โดยยกตัวอย่างภาษาอังกฤษบนเกาะอังกฤษ มีสำเนียงถิ่นมากและบางถิ่นอาจฟังไม่เข้าใจกัน แต่ขณะที่ภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกา มีสำเนียงถิ่นน้อยมากและพูดฟังเข้าใจกันได้โดยตลอด
เปรียบเทียบกับชาวจ้วงในมนฑลกวางสี แม้มีระยะห่างกันเพียง ๒๐ กิโลเมตร แต่ก็แยกสำเนียงถิ่นออกเป็นจ้วงเหนือและจ้วงใต้ ซึ่งสำเนียงบางคำต่างกันมากและฟังกันไม่รู้เรื่องทั้งหมด ขณะที่ภาษาถิ่นในไทย (ภาษาไทยกลาง) และภาษาถิ่นในลาว (ภาษาลาว) กลับฟังเข้าใจกันได้ตลอดมากกว่า ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับของนักภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ในปัจจุบันมากที่สุด
ประเด็นสำคัญ : บริเวณแถบประเทศจีนตอนใต้นั้น ในอดีตสมัยโบราณถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ ส่วนอารยธรรมชาวจีนจริงๆ นั้น จะอยู่เหนือขึ้นไปอีก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คนไทจึงไม่ได้มาจากบริเวณจีนตอนใต้ แต่คนไทเป็นคนทางภาคเหนือของอุษาคเนย์ต่างหาก หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เป็น “ชาวอุษาคเนย์” หรือ “ชาวสุวรรณภูมิ” แท้ๆ มาแต่เดิมแล้ว
คำว่า “อุษาคเนย์”
ไมเคิล ไรท์ ฝรั่งชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อไทยในบัตรประจำตัวประชาชนไทยว่า “เมฆ มณีวาจา” คือผู้คิดหรือผูกคำว่า “อุษาคเนย์” ซึ่งทั้งงดงามและมีความหมาย เอาไว้ให้คนไทยใช้เรียกแทนคำว่า “เอเชียอาคเนย์” หรือ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่ยาวยืดยาด ทว่าคนจำนวนมากดันไปเข้าใจว่า นี่เป็นการประดิดประดอยคำให้ดูหรูหราเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ไมเคิล ไรท์ผูกคำนี้ด้วยหลักคิดที่น่าสนใจ เขาอธิบายว่า “เอเชีย” (Asia) เป็นภาษาอังกฤษ ส่วน “อาคเนย์” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่าตะวันออกเฉียงใต้ การนำสองคำมารวมกันเป็น “เอเชียอาคเนย์” จึงเป็นการสมาสข้ามภาษา ซึ่งผิดหลักการทางภาษา
เขาจึงนึกถึงคำว่า “อุษา” ในภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นชื่อนางฟ้าที่มีนิ้วสีชมพู มีหน้าที่คลี่พระวิสูตรแห่งราตรีกาล เปิดทางให้สุริยเทพเสด็จขึ้นฟ้า ประทานชีวิตและความสำราญแก่สรรพสัตว์ ที่ค่อยๆ ขยี้ตาตื่นจากความหลับใหล
ไมเคิล ไรท์ ตีความว่า “อุษา” หมายถึงตะวันออก เมื่อนำมาสนธิกับ “อาคเนย์” กลายเป็น “อุษาคเนย์” แปลว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญคือคำในภาษายุโรปที่แปลว่าตะวันออก เช่น East Aus Asia ฯลฯ ล้วนมาจากรากศัพท์ภาษาอินโด-ยูโรเปียน ว่า “Awes” หรือ “Aus” ซึ่งตรงกับ “อุษา” ในภาษาสันสกฤต
ดังนั้น “อุษาคเนย์” จึงกระชับสละสลวยและมีหลักการทางภาษา จึงมีผู้ขานรับคำนี้ไปใช้อย่างกว้างขวาง อีกทั้งไมเคิล ไรท์ยังเสนอว่าควรเรียกชื่อ “ทวีปเอเชีย” ในภาษาไทยว่า “อุษาทวีป” อีกด้วย แต่ถึงอย่างนี้คำเรียกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่มีมาแต่โบราณกาลนั่นคือ “สุวรรณภูมิ” แปลความหมายเป็นไทยได้ว่า “อู่ทอง หรือ ดินแดนแห่งทองคำ”
ดินแดน “สุวรรณภูมิ”
“สุวรรณภูมิ” เป็นชื่อเรียกดินแดนที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์โบราณหลายฉบับในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งคำว่าสุวรรณภูมินี้มีความหมายว่า “แผ่นดินทอง”
ดินแดนสุวรรณภูมิ จึงแปลว่า ดินแดนแห่งทองคำ หมายถึงดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปรากฏในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา ส่วนมากปรากฏในคัมภีร์ชาดก (เรื่องราวที่มีอดีตมายาวนาน) เช่น “มหาชนกชาดก” กล่าวถึงพระมหาชนกเดินทางมาค้าขายที่สุวรรณภูมิ แต่เรือแตกกลางทะเล
ในสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๔ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ได้ส่งพระธรรมทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ โดยมี “พระโสณเถระ” และ “พระอุตตรเถระ” เป็นประธาน เมื่อท่านมาถึง ได้ปราบผีเสื้อสมุทรที่ชอบเบียดเบียนชาวสุวรรณภูมิ ทำให้ชาวสุวรรณภูมิเลื่อมใส จากนั้นท่านได้แสดงพรหมชาลสูตร เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนปราบผีเสื้อสมุทร ท่านได้สวดพระปริตรป้องกันเกาะสุวรรณภูมิไว้ จึงมีคำเรียก สุวรรณภูมิ อีกชื่อหนึ่งว่า “สุวรรณทวีป” แปลว่า “เกาะทอง” เมื่อสันนิษฐานจากสองคำนี้ ทำให้ได้ข้อสรุปอย่างน้อย ๒ อย่าง คือ
๑. สุวรรณภูมิ คือ ดินแดนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ ยุคสมัยปัจจุบันประกอบไปด้วย ไทย,กัมพูชา,ลาว,พม่า,เวียดนาม และมาเลเซียตะวันตก
๒. สุวรรณทวีป คือ เกาะที่อยู่ติดกับสุวรรณภูมิ ยุคสมัยปัจจุบันประกอบไปด้วย บรูไน,มาเลเซียตะวันออก,ติมอร์-เลสเต,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,สิงคโปร์,เกาะคริสต์มาส และหมู่เกาะโคโคส (คีลิง)
เนื่องจากใน “ชาดก” กล่าวว่า สุวรรณภูมิอยู่ทางทิศตะวันออกของชมพูทวีป (อินเดีย) เมื่อพิจารณาจากแผนที่โลก จึงน่าจะสันนิษฐานได้ต่อไปว่า สุวรรณภูมิ คือส่วนที่เป็นแผ่นดิน ได้แก่ ประเทศพม่า ลาว ไทย กัมพูชา ส่วนสุวรรณทวีปซึ่งเป็นเกาะ น่าจะได้แก่ เกาะชวา สุมาตรา หรืออินโดนีเซีย ตลอดทั้งฟิลิปปินส์ เมื่อพิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาพบว่า เมืองอู่ทอง และเมืองนครปฐมสมัยทวารวดี มีอายุเก่าแก่ที่สุดและร่วมสมัยกัน คือ ราวพุทธศตวรรษที่ ๖
ซึ่งหลายคนอาจเชื่อหรือไม่เชื่อว่า “คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา” จะเป็นเรื่องจริง
แต่คนต่างชาติอีกซีกโลกหนึ่งรู้จัก “สุวรรณภูมิ” มาช้านาน อย่างน้อยก็ก่อนที่ “ปโตเลมี” ซึ่งเป็นชาวกรีกโดยกำเนิด แต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และเป็นนักดาราศาสตร์และนักภูมิศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก จะเกิดมาลืมตามองดูโลก เมื่อประมาณ พ.ศ. ๖๓๓
ซึ่งในแผนที่ปโตเลมี (Ptolemy's Map) ได้ระบุว่า ดินแดนในแถบ ประเทศ พม่า กัมพูชา ลาว และไทย คือ “Aurea Chersonesus” หรือ “แผ่นดินทอง”
หรือแม้แต่ในแผนที่ ที่เขียนขึ้นในยุคกรุงศรีอยุธยาโดยชาวต่างชาติ ก็เรียกดินแดนแถบนี้ในภาษาละตินว่า “Regio Aurea” ซึ่งแปลว่า “แผ่นดินทอง” หรือสุวรรณภูมิ ซึ่งตรงกับพื้นที่บริเวณประเทศไทยและเพื่อนบ้านในปัจจุบัน
นี่คือ เหตุผลที่คนอีกฟากโลกหนึ่ง เสี่ยงตายข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อ “แสวงโชค” ยังดินแดนที่นี่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผ่นดินไทยของเรา มาตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มี อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก หรือภาพถ่ายทางดาวเทียม…
มหาอุษาคเนย์ บุตรแห่งอโยธา
เนื้อหาหลักๆ จะดำเนินไปที่ ๒ อาณาจักรสำคัญ คือ “กรุงสุพรรณภูมิ” กับ “กรุงละโว้”
เนื้อหาทั้งหมด เกิดจากการค้นคว้าเรียบเรียงประติดประต่อ จากแหล่งข้อมูลของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีหลากหลายท่าน และที่สำคัญ “ไม่อิงประวัติศาสตร์กระแสหลัก” แต่เมื่ออ่านจบจะรู้ว่า “ชาวสุวรรณภูมิ ยิ่งใหญ่แค่ไหน”