เฟ้นหาหุ้นคุณค่าลงทุนระยะยาว ... จังหวะที่ดีของการลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า"
.
หากถามนักลงทุนแนวโมเมนตัม แน่นอนที่สุดว่า เขาชื่นชอบช่วงเวลาที่หอมหวาน คือ ช่วงที่หุ้นขึ้นอย่างแรง หรือช่วงที่หุ้นเด้งทางเทคนิค จากการตกต่ำแบบไม่คาดคิด และเขาชอบที่จะรันเทรนด์ ไปเรื่อย ๆ ตลอดรอบการขึ้นของหุ้น
.
แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าพันธุ์แท้ หรือ Value Investor ตัวจริง เขาไม่ใคร่จะชอบจังหวะแบบนั้น จังหวะที่พวกเขาชอบก็คือ ช่วงที่หุ้นตกต่ำรุนแรง และกินเวลานานหน่อย หรือช่วงที่ผู้คนในตลาดหุ้นต่างหวาดกลัวหุ้น อยากจะกลับไปทำงานประจำมากกว่าเป็นนักลงทุนอิสระเต็มตัว
.
จังหวะที่ดีของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า เป็นอย่างไร ? คำถามนี้ถามง่าย แต่ตอบยากมาก ๆ เพราะไม่มีใครรู้สภาวะตลาดได้อย่างแท้จริง ลองมาดูกันคร่าว ๆ ว่า จังหวะดังกล่าวควรเป็นอย่างไร ?
.
จังหวะแรก ... “ช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมา 10-20% ในห้วงระยะเวลาอันสั้น”
.
สำหรับจังหวะแบบนี้ ถือว่าน่าคิดเหมือนกัน เพราะหากตลาดตกต่ำลง 10% อาจไม่ถึงขั้นแพนิก แต่หากตลาดตกลงมาถึง 20% อาจเรียกว่าใกล้เคียงล่ะครับ
.
จังหวะแบบนี้ จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อาจเกิดขึ้นในรอบปี หรือรอบ 2-3 ปี ... โดยนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะเข้าไปจับจ้องหุ้นที่สนใจ ว่ามันลดราคาลงมามากน้อยแค่ไหน เพราะหุ้นที่ตกลงมามาก ราคาที่เราจ่ายจะกำหนดผลตอบแทนของเราในอนาคต หากเราไม่ตาถั่วจนเกินไป ไปเลือกหุ้นผิดตัว โอกาสที่เปิดช่องออกมาก็ดูน่าสนใจมิใช่น้อย
.
จังหวะที่สอง ... “ช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นวิกฤติ”
.
ช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นวิกฤติ ... ช่วงวิกฤติต้องบอกว่าการเกิดขึ้นจะเป็นรอบใหญ่ โดยปกติแต่ละรอบจะอยู่ในช่วง 10-12 ปี ขึ้นไป ช่วงแบบนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนสามารถเปลี่ยนสถานะกันได้เลยทีเดียว
.
ในภาวะวิกฤติตลาดหุ้นอาจตกลงมากว่า 30-50% หรือมากกว่านั้น ... เวลาแบบนี้นักลงทุนเน้นคุณค่าที่เก่งมาก ๆ ก่อนหน้าเกิดวิกฤติจะตุนเงินสดไว้เต็มพอร์ต (เงินสดถือเป็นการลงทุนที่ดีโดยเฉพาะช่วงเกิดวิกฤติ) และเมื่อวิกฤติมาถึงเขาก็ซัดจัดเต็ม
.
คำถามก็คือ ... เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเกิดวิกฤติ ผมคิดว่าไม่มีใครรู้จริง การเกิดวิฤกติมักมาจากเรื่องที่เราคาดไม่ถึง และเมื่อมันมา คนที่ถือเงินสดย่อมได้เปรียบ
.
จังหวะที่สาม ... “ไม่สนใจภาวะตลาด แต่สนใจหุ้นคุณค่าเท่านั้น”
.
จังหวะแบบนี้หลายคนก็ทำเป็นประจำ คือ เราจะไม่สนใจภาวะตลาดโดยรวม จะสนใจก็แต่ราคาหุ้นที่เราหมายตาว่ามันตกต่ำลงมาถึงจุดที่ปลอดภัยที่จะซื้อหรือไม่ก็เท่านั้น
.
จุดปลอดภัย หรือราคาหุ้นที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เป็นอะไรที่นักลงทุนเน้นคุณค่าจับจ้องตาไม่กระพริบ บางครั้งหุ้นตกลงมาต่ำมาก ราคาถูกมาก ๆ แต่นักลงทุนเน้นคุณค่าก็จะยังไม่ซื้อ ถ้ามันไม่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งมักจะอ้างอิงจากราคาที่ตกต่ำต่อราคาลงมาอีก 20-30%
.
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ ... จังหวะที่ดีของนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า สรุปใจความแล้วต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำเสมอ จะไม่ซื้อหุ้นราคาแพงเด็ดขาด เขามักจะท่องไว้ในใจเสมอว่า ... “ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ” และการซื้อหุ้นที่ราคาใด ๆ ก็ตาม จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนของเราในอนาคตนั่นเองครับ #นายแว่นลงทุน
.

จังหวะที่ดีของการลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" ... อ่านเล่น ๆ วันหยุดครับ สบาย ๆ
.
หากถามนักลงทุนแนวโมเมนตัม แน่นอนที่สุดว่า เขาชื่นชอบช่วงเวลาที่หอมหวาน คือ ช่วงที่หุ้นขึ้นอย่างแรง หรือช่วงที่หุ้นเด้งทางเทคนิค จากการตกต่ำแบบไม่คาดคิด และเขาชอบที่จะรันเทรนด์ ไปเรื่อย ๆ ตลอดรอบการขึ้นของหุ้น
.
แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าพันธุ์แท้ หรือ Value Investor ตัวจริง เขาไม่ใคร่จะชอบจังหวะแบบนั้น จังหวะที่พวกเขาชอบก็คือ ช่วงที่หุ้นตกต่ำรุนแรง และกินเวลานานหน่อย หรือช่วงที่ผู้คนในตลาดหุ้นต่างหวาดกลัวหุ้น อยากจะกลับไปทำงานประจำมากกว่าเป็นนักลงทุนอิสระเต็มตัว
.
จังหวะที่ดีของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า เป็นอย่างไร ? คำถามนี้ถามง่าย แต่ตอบยากมาก ๆ เพราะไม่มีใครรู้สภาวะตลาดได้อย่างแท้จริง ลองมาดูกันคร่าว ๆ ว่า จังหวะดังกล่าวควรเป็นอย่างไร ?
.
จังหวะแรก ... “ช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมา 10-20% ในห้วงระยะเวลาอันสั้น”
.
สำหรับจังหวะแบบนี้ ถือว่าน่าคิดเหมือนกัน เพราะหากตลาดตกต่ำลง 10% อาจไม่ถึงขั้นแพนิก แต่หากตลาดตกลงมาถึง 20% อาจเรียกว่าใกล้เคียงล่ะครับ
.
จังหวะแบบนี้ จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อาจเกิดขึ้นในรอบปี หรือรอบ 2-3 ปี ... โดยนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะเข้าไปจับจ้องหุ้นที่สนใจ ว่ามันลดราคาลงมามากน้อยแค่ไหน เพราะหุ้นที่ตกลงมามาก ราคาที่เราจ่ายจะกำหนดผลตอบแทนของเราในอนาคต หากเราไม่ตาถั่วจนเกินไป ไปเลือกหุ้นผิดตัว โอกาสที่เปิดช่องออกมาก็ดูน่าสนใจมิใช่น้อย
.
จังหวะที่สอง ... “ช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นวิกฤติ”
.
ช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นวิกฤติ ... ช่วงวิกฤติต้องบอกว่าการเกิดขึ้นจะเป็นรอบใหญ่ โดยปกติแต่ละรอบจะอยู่ในช่วง 10-12 ปี ขึ้นไป ช่วงแบบนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนสามารถเปลี่ยนสถานะกันได้เลยทีเดียว
.
ในภาวะวิกฤติตลาดหุ้นอาจตกลงมากว่า 30-50% หรือมากกว่านั้น ... เวลาแบบนี้นักลงทุนเน้นคุณค่าที่เก่งมาก ๆ ก่อนหน้าเกิดวิกฤติจะตุนเงินสดไว้เต็มพอร์ต (เงินสดถือเป็นการลงทุนที่ดีโดยเฉพาะช่วงเกิดวิกฤติ) และเมื่อวิกฤติมาถึงเขาก็ซัดจัดเต็ม
.
คำถามก็คือ ... เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเกิดวิกฤติ ผมคิดว่าไม่มีใครรู้จริง การเกิดวิฤกติมักมาจากเรื่องที่เราคาดไม่ถึง และเมื่อมันมา คนที่ถือเงินสดย่อมได้เปรียบ
.
จังหวะที่สาม ... “ไม่สนใจภาวะตลาด แต่สนใจหุ้นคุณค่าเท่านั้น”
.
จังหวะแบบนี้หลายคนก็ทำเป็นประจำ คือ เราจะไม่สนใจภาวะตลาดโดยรวม จะสนใจก็แต่ราคาหุ้นที่เราหมายตาว่ามันตกต่ำลงมาถึงจุดที่ปลอดภัยที่จะซื้อหรือไม่ก็เท่านั้น
.
จุดปลอดภัย หรือราคาหุ้นที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เป็นอะไรที่นักลงทุนเน้นคุณค่าจับจ้องตาไม่กระพริบ บางครั้งหุ้นตกลงมาต่ำมาก ราคาถูกมาก ๆ แต่นักลงทุนเน้นคุณค่าก็จะยังไม่ซื้อ ถ้ามันไม่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งมักจะอ้างอิงจากราคาที่ตกต่ำต่อราคาลงมาอีก 20-30%
.
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ ... จังหวะที่ดีของนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า สรุปใจความแล้วต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำเสมอ จะไม่ซื้อหุ้นราคาแพงเด็ดขาด เขามักจะท่องไว้ในใจเสมอว่า ... “ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ” และการซื้อหุ้นที่ราคาใด ๆ ก็ตาม จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนของเราในอนาคตนั่นเองครับ #นายแว่นลงทุน
.