สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขออภัยหากกระทู้นี้ออกจะลายตา ไม่มีการจัดหน้า จัดบรรทัดใดๆ เนื่องจากพิมพ์ผ่านมือถือ เลยไม่สะดวกในการจัดการจริงๆค่ะ
ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครยูสเซอร์เพื่อมาตั้งกระทู้นี้ บอกเลยว่าค่อนข้างคิดหนัก เพราะเราค่อนข้างจิตใจเปราะบาง เราเป็นซึมเศร้าค่ะ เป็นมา 4-5 ปีแล้ว หาหมอมาก็หลายที่ บางที่ก็บอกว่าเราเป็นโรคอื่นด้วย แต่เอาเป็นว่า เรามาพูดคุยกันแค่โรคหลักๆนั่นคือซึมเศร้าก็พอค่ะ
**ดังนั้น ขอร้องนะคะ ใครที่มีความเห็นในทางลบ อยากต่อว่าเราหลังจากอ่านกระทู้นี้จบ หรืออยากป่วน อยากแซะ อยากอะไรก็ตาม ความสะใจนั้นกำลังทำร้ายคนๆนึงอย่างแสนสาหัส เราเจ็บปวดกับคำของคนทุกครั้งที่อ่านหรือได้ยิน หากไม่เห็นด้วย ไม่พอใจ เรารู้ว่การแสดงความคิดเห็นคือสิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมของมนุษย์ทุกคน แต่ถ้าจะเมตตาเรา ช่วยกดปิดกระทู้นี้โดยไม่ตอบกระทู้เราจะขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆจากใจเลย
มาค่ะ ขอเริ่มเนื้อหาจริงๆจังๆกันสักที
เราอายุยี่สิบกว่าแล้วค่ะ เรียนยังไม่จบมหาลัย ดรอปไว้ที่ปี 4 เพราะเราเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ทนอยู่หอตามลำพังไม่ไหวแล้วเช่นกัน อันดับแรกคือโรคทางจิตเวช เราป่วยมาพักใหญ่แล้วค่ะ แต่ทนเรียนมาเป็นปีๆ หวังว่าขอจบก่อนเถอะนะ จะได้ปริญญามาให้พ่อแม่ที่ส่งเราเรียนได้ชื่นใจ และจะได้ใช้หางานได้ อยากทำงาน หาเงิน มาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่บ้างเหมือนกัน
แต่แล้วก็ฝันสลาย เราเคยถึงขนาดร้องไห้ออกมากลางคลาสเรียน แทบจะกรี๊ดแล้วเหมือนสติหลุดตอนประชุมคณะแล้วรู่สึกกดดัน เคยกรีดข้อมือ และทานยานอนหลับหลายสิบเม็ดที่หอตอนกลางดึก แต่เราก็ยังไม่เคยอันตรายจนถึงแก่ชีวิตเลยสักที เราทรมานกับอะไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกที่หนีไม่พ้น แต่ก็ทนไม่ได้ นอนร้องไห้คนเดียวทุกคืน กลางวันบางทีก็โดดเรียนเพื่อขังตัวเองอยู่กับห้อง ปิดมือถือ ไม่ติดต่อใคร เราอยากกลับบ้านมาในช่วงปี 3 เทอม 2 ขอกลับทุกครั้งที่มีวันหยุด เราเรียนโครงการพิเศษที่คัดเด็กเฉพาะกลุ่ม ทางมหาลัยจึงจัดตารางเรียนให้ เราไม่สามารถจัดเอง เพื่อให้หยุดติดกันหลายๆวันได้ การกลับบ้านจึงไม่ได้เป็นไปดั่งใจนึกเท่าไหร่นัก
แต่จนแล้วจนรอด เราก็ทนไม่ไหว พ่อเลยให้เราดรอปและย้ายกลับมาบ้าน ยกเลิกสัญญาหอ ขนของกลับมาทั้งหมด เราไปหาหมอตามนัด ทานยา และอยู่บ้านโดยที่ไม่ได้ไปเรียน พ่อแม่ก็ทำงานต่อไปในทุกๆวัน เราเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน ที่จู่ๆก็ใจไม่สู้พอ แค่กลับไปเรียนให้จบยังทำไม่ได้ แล้วแบบนี้เราจะจบมั้ย? เราจะมีงานทำรึเปล่า? จะทำงานอะไรได้ล่ะ?? คิดเยอะเหมือนกัน แต่พ่อก็ยังพูดเหมือนหวังให้เราหาย ต่ออายุสถานะนักศึกษาไปก่อน อยากไปเรียนเมื่อไหร่จะได้กลับไปได้ ตอนนี้ก็พักใจ ทำใจให้สบายๆ รักษาตัวให้หายดี...
เวลาดำเนินมาตั้งแต่ช่วงกลางมกรา จนถึงราวๆตุลาของปีนั้น จู่ๆเราก็มีอาการหายใจไม่อิ่ม จากนั้นก็เริ่มเหนื่อยง่ายขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไจากเดินไปปากซอยไหว เป็นไม่ไหว เหนื่อยก่อน มันค่อยๆลดระยะทางจนกระทั่ง แค่เดินลงบันไดไปหน้าบ้านก็หอบแล้ว เราไปหาหมอมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่แรกๆเลยค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นอะไร พอมาแบบนี้ ก็ไปอีก คราวนี้ตอนตรวจร่างกายเบื้องต้น ค่าของระดับออกซิเจนในเลือดของเราต่ำ จนต้องมีการพ่นยาขยายหลอดลมและให้ออกซิเจน เรานอนอยู่ ER พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าต้องแอดมิทนะ และย้ายเราไปห้องพิเศษด้วยรถนอนในเวลาต่อมา
เรานอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาร่วมสัปดาห์ ซึ่งต้องให้ออกซิเจนตลอด พ่นยาเป็นระยะ แม่เราเป็นคนสื่อสารกับหมอ เราก็ถามว่าตกลงแล้วหนูเป็นอะไร? แต่ก็เหมือนเราจะไม่ได้คำตอบอะไรชัดเจน รู้แค่ว่าเดี๋ยวก็หาย เราอยากออกจากรพ.มาก เบื่อมากกับการนอนที่นี่ พออาทิตย์กว่าเราเริ่มดีขึ้น หายใจเองได้ เราก็ขอกลับบ้าน ระหว่างนี้ก็มีไปพบจิตแพทย์เป็นระยะค่ะ คนละโรงพยาบาลกันนะ ต้องให้แม่ขับรถพาไปอีกทีเมื่อมีนัด
พอกลับมาบ้าน เราใช้ชีวิตอยู่แบบไร้ออกซิเจนอยู่พักใหญ่ แต่มีข้อแม้หลายอย่างเพิ่มเข้ามา คือ หนึ่ง อากาศต้องเย็น เราต้องเปิดแอร์ไว้ตลอดเวลา ถ้าอากาศร้อน เราจะหายใจไม่ค่อยออก ยิ่งถ้าเหงื่อออกจะคันยุบยิบ ผื่นแดงขึ้นตามตัว สอง เราไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ อาการเหนื่อยยังไม่หายไปค่ะ เราอยู่ได้ก็จริง แต่เหนื่อยไม่ได้ ออกกำลังไม่ได้ ยืนนานๆไม่ได้ ใช้แรงไม่ได้ เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ด้วยข้อกำหนดเหล่านี้มันทำให้เรากลายเป็นเหมือนนางห้อง ที่อยู่กับห้องตลอดเวลา ไปไหนไม่ได้ ข้าวก็ข้าวก็รอพ่อหรือแม่ซื้อมาให้ เดินไปไกลสุดของวันแค่ห้องน้ำบนชั้นสอง ออกไปเที่ยวมีบ้างค่ะ เคยพยายาม แต่เหนื่อยมาก หอบมาก หลายหนก็รู้สึกตอนขึ้นรถกลับว่า จะตาย ไม่เอาแล้ว
ต่อมา เราเริ่มขอแม่เพิ่มออกซิเจนไว้ในห้อง เพราะเรายัเพราะเรายังมีอาการหายใจไม่อิ่มอยู่ มันมาเป็นพักๆ พอมีก็ไว้ใช้ตอนที่จู่ๆก็เหนื่อย ตอนหายใจไม่คล่อง แต่มันก็ยังไม่เติมเต็มสมบูรณ์ เราจึงลองขอยาพ่นแบบที่เคยใช้ตอนอยู่รพ.ดู ปรากฏว่าตอนที่พ่นมันดีมากเลย ดีแบบ เหมือนเราทึ่งว่า นี่คนเราหายใจได้เต็ทปอดขนาดนี้เลยใช่มั้ย ไม่ได้รู้ไม่ได้รู้สึกถึงมันมานานแล้ว เหมือนได้ออกไปยืนอยู่ท่ามกลางเขาใหญ่ยังไงอย่างงั้น
วกกลับมาที่ ปัจจุบันค่ะ เราทยอยหาทางแก้ปัญหาให้ตัวเอง ให้ใช้ชีวิตอยู่บ้านได้ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แม่เองก็อยากให้กลับบ้าน เพราะแม่บอกว่า นอนคืนละตั้งพันสอง อีกอย่าง ไม่มีใครว่างเฝ้า ห้องพิเศษต้องมีคนเฝ้าตลอด เราพยายามแล้วนะคะ กับการอยู่บ้าน หาอะไรมาเติมเต็มให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ แต่จนแล้วจนรอด มันก็หนีไม่พ้นความเหนื่อยและความทรมานค่ะ ไม่ใช่เหนื่อยจากการเดินนะคะ แต่เหนื่อยจากการทนใช้ชีวิตที่ป่วยอะไรเยอะแยะได้ขนาดนี้ เริ่มจากอาการทางจิตเวชที่ทรมานมากอยู่แล้ว มาที่อาการทางร่างกาย ที่ทำให้ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ปวดขาปวดแขนปวดตัวอยู่ทุกวัน ปวดหัว เวียนหัว พวกนี้เป็นเรื่องชินชา คนเฝ้าไม่มีเพราะพ่อแม่ต้องไปทำงาน แม่จะแวะเอาข้าวเช้ามาไง้ให้เผื่อ 2-3 มื้อ แล้วไป (แม่อยู่อีกบ้านนะคะ หย่ากับพ่อนานแล้ว) พ่อก็กลับห้าทุ่มแทบทุกวัน กลางคืนก็นอน แล้วหลับลึกไม่ได้ยินเสียงใดๆ เราเคยนอนไม่หลับ นอนไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยภาวะซึมเศร้าก็ดี หรือเกิดแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกก็ดี แต่ถ้าเราส่งข้อความ จะไม่มีใครตอบ โทรหาแม่ บางทีไม่ติด แต่ถ้าติด แม่ก็จะบอกว่าง่วง พรุ่งนี้แม่ต้องทำงานอีก เหนื่อย ถ้าอยู่อีกบ้านก็คือไม่มาดูแน่นอน ไล่เราไปโทรหาพ่อที่นอนอยู่ชั้นล่างอย่างเดียว ส่วนพ่อ โทรหาแล้วไม่รับ พ่อเคยบอกว่ามือถือเสียงเบา ตั้งแล้วก็ยังเบา เราพึ่งพาได้ยากมาก มันคงจะไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาและแย่นักหรอกค่ะ ถ้าวันนึง เราไม่เกิดมีอาการเวียนหัว หายใจไม่ค่อยออก โทรหาใครไม่รับเลย ไม่มีแรง ตะโกนเรียนไม่ได้ยินแน่ๆ เลยจะเดินลงไปหา แต่แค่ลุกจากเตียงเราก็ล้มหน้าทิ่มลงไปแล้ว ตอนนันคือเจ็บ และสภาพคือนอนคว่ำ มันกดหน้าอก เรายิ่งหายใจไม่ออก เราน้ำตาไหล เอามือทุบๆพื้นแรงเท่าที่แรงได้ (พื้นชั้นสองเป็นไม้ค่ะ ห้องพ่ออยู่ล่างห้องเราเลย) หวังว่าพ่อขพ่อจะได้ยิน คือมันหายใจไม่ออก ทรมานมาก จนเราได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา เปิดประตูแล้วไฟติด พ่อหิ้วพ่อหิ้วเราขึ้นมสแล้วไปนอนพักที่เตียง ก่อนจะเปิดออกซิเจนครอบให้ เราไม่รู้จะยังไงก่อนดีเลย แต่นอนจนเริ่มทุเลาก็หลับไป
เรามีเหตุการณ์ล้มอีกหลายหนค่ะ ในห้อง หน้าห้อง ห้องน้ำ ซึ่ง 95% ไม่มีคนช่วย เอาตรงๆนะคะ เราไม่โอเคกับตัวเราตอนนี้ เราไม่เห็นอนาคต เรียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้ หาเงินไม่ได้ ดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อแม่หาข้าวให้ แม่บ่นเหนื่อยๆๆทุกวัน เราเสียทุกอย่าง เพื่อน สังคม วันๆเราอยู่กับแมวของเรา คุยกับแมคุยกับแมวก็ว่าได้ค่ะ พ่อมาดึกแทบไม่ได้เจอ แม่ก็ไม่ค่อยอยากอยู่ด้วย เคยถามเหมือนกัน ไม่มาอยู่ด้วย ไม่มาค้างด้วยเท่าไหร่เลย แม่สารภาพว่า เป็นเพราะเราชอบเรียกตอนดึกแล้วแม่อยากนอนเลยไม่ค่อยอยากมา ยอมรับว่าเราผิดค่ะ แต่ปกติเวลาไม่มีคนอยู่ กลางคืนเราร้องไห้แทบจะตลอดอยู่แล้ว ความคิดฟุ้งซ่านจนแทบบ้า พอมีแม่อยู่ด้วย เราก็คิดว่าเรียกแม่ให้แม่อยู่เป็นเพื่อน คุยเป็นเพื่อน หรือปลอบสักหน่อยก็คงจะดี แต่กลับกลายเป็นว่า มันรบกวนและทำให้แม่ไม่อยากที่จะอยู่กับเรา
เราพิมพ์มายาวขนาดนี้ได้ยังไงไม่รู้ ตามจริง มันมีดีเทลต่างๆนาๆอีกมาก ที่เล่าไปทั้งวันก็คงไม่จบ อาการป่วยยิบย่อยของเรามีอีก จนบางทีเราก็ท้อ "คนเรามันจะเป็นอะไรพร้อมกันเยอะขนาดนี้วะ" เราอยากหาย แต่มันไม่หาย อยากสบาย แต่มันก็ลำบาก อยากมีคนดูแล แต่ก็ไม่อยากรบกวนพ่อแม่ (พ่อแม่ไม่ยอมมาดูด้วยแหด้วยแหละค่ะ 5555 บอกว่ามีงานทำนะ จะดูได้ยังไง คือมาตอนว่างบ้าง แต่น้อยมากๆ) เราจะขอไปนอนรพ.แม่ก็บอกว่สคืนละตั้งพันสอง ไม่ให้เราไป ถามถึงศูนย์ที่เขารับดูแล แม่บอกมีแต่เสียเดือนละตั้งเป็นหมื่น อ่า... คงไม่ได้อีก จะบอกอีกอย่างว่า ช่วงหลังๆมาเราอ๊องมาก ความจำไม่ดี บางทีทำอะไรไป ห้านาทีลืห้านาทีลืมแล้ว เคยละเมอทำนั่นนี่ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคย ชอบไปตื่นในห้องน้ำ เดินมานอนตอนไหนไม่รู้ งงมาจนถึงตอนนี้
เราเคยคิดทางออกไว้อีกทาง เป็นทางที่คิดบ่อยที่สุด คิดทุกวัน วันละ อืม... ตลอดเวลาก็ได้ ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้น่าจะพอเดาออกแล้วใช่มั้ยคะ ใช่ค่ะ เราอยากตาย...
ใจเย็นๆก่อนนะคะ เรายังไม่ได้ทำ แค่คิดไว้เฉยๆ
เราเคยพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่แบบจริงจัง เราไม่ได้จะประชดชีวิตนะ ไม่ได้อยากเจ็บ แค่อยากพ้นทุกข์ พ้นจากความเจ็บปวด พ้นจากอากพ้นจากอาการป่วยที่ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะหาย เราต้องทนอยู่โดยที่สู้กับมันอยู่คนเดียว ถึงแม่บอกว่า เราจะสู้ไปด้วยกันนะ แต่ท้ายที่สุดเราก็รู้ คนที่แบกมันไว้คือเรา ความทรมานตกอยู่กับเรา ความปั่นป่วนในหัวของซึมเศร้าก็สิงอยู่กับเรา เอาแค่กำเอาแค่กำลังใจ ในวันที่เรานอนร้องไห้ เราไม่เห็นใครจะอยู่กับเราสักคน และแน่นอนค่ะ เรา 1 ชีวิต มันเปลืองเงินนะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่ายา ค่าจิปาถะ ถ้าเราไปสบาย พ่อแม่สบายกว่านี้แน่ๆ มีเงินเก็บมากขึ้นโขเลย มันก็ดูจะโอเคหมดนะคะ โอเค มันคือกามันคือการสูญเสียสำหรับคนที่อยู่ แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆนะ เหมือนผู้ป่วยที่โดนมีดปักอก เจ็บมาก ถ้าดึงออกคือตาย แต่ทุกคนกลับสั่งให้เขาคามีดไว้ เจ็บก็ทนไป ขอแค่ให้เขายังอยู่ก็พอ แบบนี้มันแฟร์กับคนป่วยจริงๆเหรอคะ?
เรารักพ่อ รักแม่นะคะ ทุกคนเหนื่อยกับเรามาเยอะ ทุกวันนี้ก็ทำงานหาเงิน ส่วนหนึ่งก็รักษาและดูแลเรา พ่อ แม่ บ่นประจำว่าเหนื่อย แม่ก็บางทีก็บอกว่าแทบตายแน่ะ ไม่ได้นอนเลย มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกแย่ และความความด้อยค่าในตัวเอง มันบาปมากเลยจริงๆเหรอคะ ถ้าเราคิดอยากจะจากไป ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
พ่อแม่เหนื่อย เราทรมานกายและใจ ไร้เพื่อน ไม่มีโลมีโลกภายนอก พ่อแม่เองก็แทบไม่มาอยู่ข้างๆเรา...
ขอโทษที่บ่นไปเยอะขนาดนี้ มันอัดอั้นมากจริงๆค่ะ เราพูดกับใครไม่ได้ เรียกว่าไม่มีใครฟังจะเหมาะกว่า มีแมวกับเตียงนอนเป็นเพื่อน ความสุขทางใจเดียวตอนนี้ก็คือ อร BNK48 อย่าว่าเราไร้สาระเลยนะคะ การชอบไอดอลบางทีก็ทำให้ใจเฉาๆพอจะพองฟูขึ้นมาได้นะ อีกอย่างเราไม่ได้ชอบแค่หน้าตา แต่น้องเอน้องเองก็เคยเป็นซึมเศร้า แต่น้องผ่านมันมาได้ น้องจึงเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับโรคในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นไอดอลที่เรารักและนับถือในความเข้มแข็งอีกด้วย
ไม่รู้นี่คือกระทู้อะไรกันแน่ ระบายก็ใช่ จะว่าปรึกษาก็ได้ อยากปรึปรึกษาว่าเราควรทำยังไงต่อคะ มีทางเลือก ทางออกอื่นให้เราไหม ที่เราจะพ้นทุกข์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้
ของดดราม่าจริงๆนะคะ ใจเรารับไม่ไหวแล้ว
เรื่องใช้เงินอาจต้องขอตัดค่ะ คงไม่มีซัพพอร์ตขนาดนั้น
ขอบคุณที่รับฟัง ทนอ่านจนจบนะคะ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้า สำหรับใครก็ตามที่จะให้คำปรึกษา หรือให้กำลังใจกับเราด้วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
(ปัญหาสุขภาพ)ขอพื้นที่ระบาย+ปรึกษาหน่อยนะคะ
ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครยูสเซอร์เพื่อมาตั้งกระทู้นี้ บอกเลยว่าค่อนข้างคิดหนัก เพราะเราค่อนข้างจิตใจเปราะบาง เราเป็นซึมเศร้าค่ะ เป็นมา 4-5 ปีแล้ว หาหมอมาก็หลายที่ บางที่ก็บอกว่าเราเป็นโรคอื่นด้วย แต่เอาเป็นว่า เรามาพูดคุยกันแค่โรคหลักๆนั่นคือซึมเศร้าก็พอค่ะ
**ดังนั้น ขอร้องนะคะ ใครที่มีความเห็นในทางลบ อยากต่อว่าเราหลังจากอ่านกระทู้นี้จบ หรืออยากป่วน อยากแซะ อยากอะไรก็ตาม ความสะใจนั้นกำลังทำร้ายคนๆนึงอย่างแสนสาหัส เราเจ็บปวดกับคำของคนทุกครั้งที่อ่านหรือได้ยิน หากไม่เห็นด้วย ไม่พอใจ เรารู้ว่การแสดงความคิดเห็นคือสิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมของมนุษย์ทุกคน แต่ถ้าจะเมตตาเรา ช่วยกดปิดกระทู้นี้โดยไม่ตอบกระทู้เราจะขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆจากใจเลย
มาค่ะ ขอเริ่มเนื้อหาจริงๆจังๆกันสักที
เราอายุยี่สิบกว่าแล้วค่ะ เรียนยังไม่จบมหาลัย ดรอปไว้ที่ปี 4 เพราะเราเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ทนอยู่หอตามลำพังไม่ไหวแล้วเช่นกัน อันดับแรกคือโรคทางจิตเวช เราป่วยมาพักใหญ่แล้วค่ะ แต่ทนเรียนมาเป็นปีๆ หวังว่าขอจบก่อนเถอะนะ จะได้ปริญญามาให้พ่อแม่ที่ส่งเราเรียนได้ชื่นใจ และจะได้ใช้หางานได้ อยากทำงาน หาเงิน มาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่บ้างเหมือนกัน
แต่แล้วก็ฝันสลาย เราเคยถึงขนาดร้องไห้ออกมากลางคลาสเรียน แทบจะกรี๊ดแล้วเหมือนสติหลุดตอนประชุมคณะแล้วรู่สึกกดดัน เคยกรีดข้อมือ และทานยานอนหลับหลายสิบเม็ดที่หอตอนกลางดึก แต่เราก็ยังไม่เคยอันตรายจนถึงแก่ชีวิตเลยสักที เราทรมานกับอะไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกที่หนีไม่พ้น แต่ก็ทนไม่ได้ นอนร้องไห้คนเดียวทุกคืน กลางวันบางทีก็โดดเรียนเพื่อขังตัวเองอยู่กับห้อง ปิดมือถือ ไม่ติดต่อใคร เราอยากกลับบ้านมาในช่วงปี 3 เทอม 2 ขอกลับทุกครั้งที่มีวันหยุด เราเรียนโครงการพิเศษที่คัดเด็กเฉพาะกลุ่ม ทางมหาลัยจึงจัดตารางเรียนให้ เราไม่สามารถจัดเอง เพื่อให้หยุดติดกันหลายๆวันได้ การกลับบ้านจึงไม่ได้เป็นไปดั่งใจนึกเท่าไหร่นัก
แต่จนแล้วจนรอด เราก็ทนไม่ไหว พ่อเลยให้เราดรอปและย้ายกลับมาบ้าน ยกเลิกสัญญาหอ ขนของกลับมาทั้งหมด เราไปหาหมอตามนัด ทานยา และอยู่บ้านโดยที่ไม่ได้ไปเรียน พ่อแม่ก็ทำงานต่อไปในทุกๆวัน เราเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน ที่จู่ๆก็ใจไม่สู้พอ แค่กลับไปเรียนให้จบยังทำไม่ได้ แล้วแบบนี้เราจะจบมั้ย? เราจะมีงานทำรึเปล่า? จะทำงานอะไรได้ล่ะ?? คิดเยอะเหมือนกัน แต่พ่อก็ยังพูดเหมือนหวังให้เราหาย ต่ออายุสถานะนักศึกษาไปก่อน อยากไปเรียนเมื่อไหร่จะได้กลับไปได้ ตอนนี้ก็พักใจ ทำใจให้สบายๆ รักษาตัวให้หายดี...
เวลาดำเนินมาตั้งแต่ช่วงกลางมกรา จนถึงราวๆตุลาของปีนั้น จู่ๆเราก็มีอาการหายใจไม่อิ่ม จากนั้นก็เริ่มเหนื่อยง่ายขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไจากเดินไปปากซอยไหว เป็นไม่ไหว เหนื่อยก่อน มันค่อยๆลดระยะทางจนกระทั่ง แค่เดินลงบันไดไปหน้าบ้านก็หอบแล้ว เราไปหาหมอมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่แรกๆเลยค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นอะไร พอมาแบบนี้ ก็ไปอีก คราวนี้ตอนตรวจร่างกายเบื้องต้น ค่าของระดับออกซิเจนในเลือดของเราต่ำ จนต้องมีการพ่นยาขยายหลอดลมและให้ออกซิเจน เรานอนอยู่ ER พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าต้องแอดมิทนะ และย้ายเราไปห้องพิเศษด้วยรถนอนในเวลาต่อมา
เรานอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาร่วมสัปดาห์ ซึ่งต้องให้ออกซิเจนตลอด พ่นยาเป็นระยะ แม่เราเป็นคนสื่อสารกับหมอ เราก็ถามว่าตกลงแล้วหนูเป็นอะไร? แต่ก็เหมือนเราจะไม่ได้คำตอบอะไรชัดเจน รู้แค่ว่าเดี๋ยวก็หาย เราอยากออกจากรพ.มาก เบื่อมากกับการนอนที่นี่ พออาทิตย์กว่าเราเริ่มดีขึ้น หายใจเองได้ เราก็ขอกลับบ้าน ระหว่างนี้ก็มีไปพบจิตแพทย์เป็นระยะค่ะ คนละโรงพยาบาลกันนะ ต้องให้แม่ขับรถพาไปอีกทีเมื่อมีนัด
พอกลับมาบ้าน เราใช้ชีวิตอยู่แบบไร้ออกซิเจนอยู่พักใหญ่ แต่มีข้อแม้หลายอย่างเพิ่มเข้ามา คือ หนึ่ง อากาศต้องเย็น เราต้องเปิดแอร์ไว้ตลอดเวลา ถ้าอากาศร้อน เราจะหายใจไม่ค่อยออก ยิ่งถ้าเหงื่อออกจะคันยุบยิบ ผื่นแดงขึ้นตามตัว สอง เราไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ อาการเหนื่อยยังไม่หายไปค่ะ เราอยู่ได้ก็จริง แต่เหนื่อยไม่ได้ ออกกำลังไม่ได้ ยืนนานๆไม่ได้ ใช้แรงไม่ได้ เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ด้วยข้อกำหนดเหล่านี้มันทำให้เรากลายเป็นเหมือนนางห้อง ที่อยู่กับห้องตลอดเวลา ไปไหนไม่ได้ ข้าวก็ข้าวก็รอพ่อหรือแม่ซื้อมาให้ เดินไปไกลสุดของวันแค่ห้องน้ำบนชั้นสอง ออกไปเที่ยวมีบ้างค่ะ เคยพยายาม แต่เหนื่อยมาก หอบมาก หลายหนก็รู้สึกตอนขึ้นรถกลับว่า จะตาย ไม่เอาแล้ว
ต่อมา เราเริ่มขอแม่เพิ่มออกซิเจนไว้ในห้อง เพราะเรายัเพราะเรายังมีอาการหายใจไม่อิ่มอยู่ มันมาเป็นพักๆ พอมีก็ไว้ใช้ตอนที่จู่ๆก็เหนื่อย ตอนหายใจไม่คล่อง แต่มันก็ยังไม่เติมเต็มสมบูรณ์ เราจึงลองขอยาพ่นแบบที่เคยใช้ตอนอยู่รพ.ดู ปรากฏว่าตอนที่พ่นมันดีมากเลย ดีแบบ เหมือนเราทึ่งว่า นี่คนเราหายใจได้เต็ทปอดขนาดนี้เลยใช่มั้ย ไม่ได้รู้ไม่ได้รู้สึกถึงมันมานานแล้ว เหมือนได้ออกไปยืนอยู่ท่ามกลางเขาใหญ่ยังไงอย่างงั้น
วกกลับมาที่ ปัจจุบันค่ะ เราทยอยหาทางแก้ปัญหาให้ตัวเอง ให้ใช้ชีวิตอยู่บ้านได้ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แม่เองก็อยากให้กลับบ้าน เพราะแม่บอกว่า นอนคืนละตั้งพันสอง อีกอย่าง ไม่มีใครว่างเฝ้า ห้องพิเศษต้องมีคนเฝ้าตลอด เราพยายามแล้วนะคะ กับการอยู่บ้าน หาอะไรมาเติมเต็มให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ แต่จนแล้วจนรอด มันก็หนีไม่พ้นความเหนื่อยและความทรมานค่ะ ไม่ใช่เหนื่อยจากการเดินนะคะ แต่เหนื่อยจากการทนใช้ชีวิตที่ป่วยอะไรเยอะแยะได้ขนาดนี้ เริ่มจากอาการทางจิตเวชที่ทรมานมากอยู่แล้ว มาที่อาการทางร่างกาย ที่ทำให้ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ปวดขาปวดแขนปวดตัวอยู่ทุกวัน ปวดหัว เวียนหัว พวกนี้เป็นเรื่องชินชา คนเฝ้าไม่มีเพราะพ่อแม่ต้องไปทำงาน แม่จะแวะเอาข้าวเช้ามาไง้ให้เผื่อ 2-3 มื้อ แล้วไป (แม่อยู่อีกบ้านนะคะ หย่ากับพ่อนานแล้ว) พ่อก็กลับห้าทุ่มแทบทุกวัน กลางคืนก็นอน แล้วหลับลึกไม่ได้ยินเสียงใดๆ เราเคยนอนไม่หลับ นอนไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยภาวะซึมเศร้าก็ดี หรือเกิดแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกก็ดี แต่ถ้าเราส่งข้อความ จะไม่มีใครตอบ โทรหาแม่ บางทีไม่ติด แต่ถ้าติด แม่ก็จะบอกว่าง่วง พรุ่งนี้แม่ต้องทำงานอีก เหนื่อย ถ้าอยู่อีกบ้านก็คือไม่มาดูแน่นอน ไล่เราไปโทรหาพ่อที่นอนอยู่ชั้นล่างอย่างเดียว ส่วนพ่อ โทรหาแล้วไม่รับ พ่อเคยบอกว่ามือถือเสียงเบา ตั้งแล้วก็ยังเบา เราพึ่งพาได้ยากมาก มันคงจะไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาและแย่นักหรอกค่ะ ถ้าวันนึง เราไม่เกิดมีอาการเวียนหัว หายใจไม่ค่อยออก โทรหาใครไม่รับเลย ไม่มีแรง ตะโกนเรียนไม่ได้ยินแน่ๆ เลยจะเดินลงไปหา แต่แค่ลุกจากเตียงเราก็ล้มหน้าทิ่มลงไปแล้ว ตอนนันคือเจ็บ และสภาพคือนอนคว่ำ มันกดหน้าอก เรายิ่งหายใจไม่ออก เราน้ำตาไหล เอามือทุบๆพื้นแรงเท่าที่แรงได้ (พื้นชั้นสองเป็นไม้ค่ะ ห้องพ่ออยู่ล่างห้องเราเลย) หวังว่าพ่อขพ่อจะได้ยิน คือมันหายใจไม่ออก ทรมานมาก จนเราได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา เปิดประตูแล้วไฟติด พ่อหิ้วพ่อหิ้วเราขึ้นมสแล้วไปนอนพักที่เตียง ก่อนจะเปิดออกซิเจนครอบให้ เราไม่รู้จะยังไงก่อนดีเลย แต่นอนจนเริ่มทุเลาก็หลับไป
เรามีเหตุการณ์ล้มอีกหลายหนค่ะ ในห้อง หน้าห้อง ห้องน้ำ ซึ่ง 95% ไม่มีคนช่วย เอาตรงๆนะคะ เราไม่โอเคกับตัวเราตอนนี้ เราไม่เห็นอนาคต เรียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้ หาเงินไม่ได้ ดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อแม่หาข้าวให้ แม่บ่นเหนื่อยๆๆทุกวัน เราเสียทุกอย่าง เพื่อน สังคม วันๆเราอยู่กับแมวของเรา คุยกับแมคุยกับแมวก็ว่าได้ค่ะ พ่อมาดึกแทบไม่ได้เจอ แม่ก็ไม่ค่อยอยากอยู่ด้วย เคยถามเหมือนกัน ไม่มาอยู่ด้วย ไม่มาค้างด้วยเท่าไหร่เลย แม่สารภาพว่า เป็นเพราะเราชอบเรียกตอนดึกแล้วแม่อยากนอนเลยไม่ค่อยอยากมา ยอมรับว่าเราผิดค่ะ แต่ปกติเวลาไม่มีคนอยู่ กลางคืนเราร้องไห้แทบจะตลอดอยู่แล้ว ความคิดฟุ้งซ่านจนแทบบ้า พอมีแม่อยู่ด้วย เราก็คิดว่าเรียกแม่ให้แม่อยู่เป็นเพื่อน คุยเป็นเพื่อน หรือปลอบสักหน่อยก็คงจะดี แต่กลับกลายเป็นว่า มันรบกวนและทำให้แม่ไม่อยากที่จะอยู่กับเรา
เราพิมพ์มายาวขนาดนี้ได้ยังไงไม่รู้ ตามจริง มันมีดีเทลต่างๆนาๆอีกมาก ที่เล่าไปทั้งวันก็คงไม่จบ อาการป่วยยิบย่อยของเรามีอีก จนบางทีเราก็ท้อ "คนเรามันจะเป็นอะไรพร้อมกันเยอะขนาดนี้วะ" เราอยากหาย แต่มันไม่หาย อยากสบาย แต่มันก็ลำบาก อยากมีคนดูแล แต่ก็ไม่อยากรบกวนพ่อแม่ (พ่อแม่ไม่ยอมมาดูด้วยแหด้วยแหละค่ะ 5555 บอกว่ามีงานทำนะ จะดูได้ยังไง คือมาตอนว่างบ้าง แต่น้อยมากๆ) เราจะขอไปนอนรพ.แม่ก็บอกว่สคืนละตั้งพันสอง ไม่ให้เราไป ถามถึงศูนย์ที่เขารับดูแล แม่บอกมีแต่เสียเดือนละตั้งเป็นหมื่น อ่า... คงไม่ได้อีก จะบอกอีกอย่างว่า ช่วงหลังๆมาเราอ๊องมาก ความจำไม่ดี บางทีทำอะไรไป ห้านาทีลืห้านาทีลืมแล้ว เคยละเมอทำนั่นนี่ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคย ชอบไปตื่นในห้องน้ำ เดินมานอนตอนไหนไม่รู้ งงมาจนถึงตอนนี้
เราเคยคิดทางออกไว้อีกทาง เป็นทางที่คิดบ่อยที่สุด คิดทุกวัน วันละ อืม... ตลอดเวลาก็ได้ ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้น่าจะพอเดาออกแล้วใช่มั้ยคะ ใช่ค่ะ เราอยากตาย...
ใจเย็นๆก่อนนะคะ เรายังไม่ได้ทำ แค่คิดไว้เฉยๆ
เราเคยพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่แบบจริงจัง เราไม่ได้จะประชดชีวิตนะ ไม่ได้อยากเจ็บ แค่อยากพ้นทุกข์ พ้นจากความเจ็บปวด พ้นจากอากพ้นจากอาการป่วยที่ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะหาย เราต้องทนอยู่โดยที่สู้กับมันอยู่คนเดียว ถึงแม่บอกว่า เราจะสู้ไปด้วยกันนะ แต่ท้ายที่สุดเราก็รู้ คนที่แบกมันไว้คือเรา ความทรมานตกอยู่กับเรา ความปั่นป่วนในหัวของซึมเศร้าก็สิงอยู่กับเรา เอาแค่กำเอาแค่กำลังใจ ในวันที่เรานอนร้องไห้ เราไม่เห็นใครจะอยู่กับเราสักคน และแน่นอนค่ะ เรา 1 ชีวิต มันเปลืองเงินนะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่ายา ค่าจิปาถะ ถ้าเราไปสบาย พ่อแม่สบายกว่านี้แน่ๆ มีเงินเก็บมากขึ้นโขเลย มันก็ดูจะโอเคหมดนะคะ โอเค มันคือกามันคือการสูญเสียสำหรับคนที่อยู่ แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆนะ เหมือนผู้ป่วยที่โดนมีดปักอก เจ็บมาก ถ้าดึงออกคือตาย แต่ทุกคนกลับสั่งให้เขาคามีดไว้ เจ็บก็ทนไป ขอแค่ให้เขายังอยู่ก็พอ แบบนี้มันแฟร์กับคนป่วยจริงๆเหรอคะ?
เรารักพ่อ รักแม่นะคะ ทุกคนเหนื่อยกับเรามาเยอะ ทุกวันนี้ก็ทำงานหาเงิน ส่วนหนึ่งก็รักษาและดูแลเรา พ่อ แม่ บ่นประจำว่าเหนื่อย แม่ก็บางทีก็บอกว่าแทบตายแน่ะ ไม่ได้นอนเลย มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกแย่ และความความด้อยค่าในตัวเอง มันบาปมากเลยจริงๆเหรอคะ ถ้าเราคิดอยากจะจากไป ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
พ่อแม่เหนื่อย เราทรมานกายและใจ ไร้เพื่อน ไม่มีโลมีโลกภายนอก พ่อแม่เองก็แทบไม่มาอยู่ข้างๆเรา...
ขอโทษที่บ่นไปเยอะขนาดนี้ มันอัดอั้นมากจริงๆค่ะ เราพูดกับใครไม่ได้ เรียกว่าไม่มีใครฟังจะเหมาะกว่า มีแมวกับเตียงนอนเป็นเพื่อน ความสุขทางใจเดียวตอนนี้ก็คือ อร BNK48 อย่าว่าเราไร้สาระเลยนะคะ การชอบไอดอลบางทีก็ทำให้ใจเฉาๆพอจะพองฟูขึ้นมาได้นะ อีกอย่างเราไม่ได้ชอบแค่หน้าตา แต่น้องเอน้องเองก็เคยเป็นซึมเศร้า แต่น้องผ่านมันมาได้ น้องจึงเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับโรคในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นไอดอลที่เรารักและนับถือในความเข้มแข็งอีกด้วย
ไม่รู้นี่คือกระทู้อะไรกันแน่ ระบายก็ใช่ จะว่าปรึกษาก็ได้ อยากปรึปรึกษาว่าเราควรทำยังไงต่อคะ มีทางเลือก ทางออกอื่นให้เราไหม ที่เราจะพ้นทุกข์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้
ของดดราม่าจริงๆนะคะ ใจเรารับไม่ไหวแล้ว
เรื่องใช้เงินอาจต้องขอตัดค่ะ คงไม่มีซัพพอร์ตขนาดนั้น
ขอบคุณที่รับฟัง ทนอ่านจนจบนะคะ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้า สำหรับใครก็ตามที่จะให้คำปรึกษา หรือให้กำลังใจกับเราด้วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ