มากันนอกกระแสกันบ้าง กับร้านอาหารไทยโบราณที่กว่าเราจะไปถึงต้องเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเลยทีเดียว เพราะร้านแห่งนี้ไม่สามารถเข้าได้ทางรถยนต์ แต่การบริการของเจ้าหน้าที่ดีเยี่ยม บรรยากาศก็ดี อาหารรสชาติใช้ได้ ราคาไม่แรงเท่าไหร่ ใครว่างๆไปลองกันได้นะคะ
และเช่นเคยฝากติดตามเพจ >>
FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
Praya Dining - พระยา ไดนิ่ง
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2466 ในยุคสมัยของรัชกาลที่ ๖ เป็นช่วงเวลาที่สยามมีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อรับราชการรวมไปถึงเหล่าศิลปินชาวอิตาเลียนจำนวนมาก สองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนั้นคือ Galileo Chini และ Carlo Rigoli ทั้งคู่รู้จักกันในงานแสดงศิลปะ ณ กรุงปารีส บรัสเซลส์ และเวนิส ก่อนที่จะชักชวนกันมาทำงานที่ประเทศสยาม โดยฝากผลงานทิ้งไว้มากมาย เช่น ภาพตกแต่งพระอุโบสถวัดราชาธิวาส พระที่นั่งบรมพิมาน วังบางขุนพรหม ในช่วงเวลาเดียวกันพระยาชลภูมิพานิช (ยศเดิม หลวงชลภูมิพานิช) ข้าราชการเชื้อสายจีนได้สมรสกับนางสาวส่วนผู้เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระราชินีนาถ ฝ่ายชายตั้งใจสร้างเรือนหอหลังใหญ่เพื่อมอบให้กับหญิงผู้เป็นที่รักและได้รับพระราชทานสถาปนิกชาวอิตาเลียนทั้งสองคนมาเป็นผู้ออกแบบ โดยมีที่ดินตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรีบริเวณระหว่างสะพานพระรามแปดและสะพานพระปิ่นเกล้า ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Palladian architecture มีสองชั้น ก่อด้วยอิฐปูน มีเชิงแบบขนมปังขิงโค้งมน ช่องลมฉลุลายโปร่งแบบจีน ออกแบบให้หันหน้าเข้าฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาดูสง่างาม ครั้นเเล้วเสร็จได้ตั้งชื่อให้ว่า “บ้านบางยี่ขัน” พระยาชลภูมิพานิชอยู่อาศัยจนมีลูกสิบคนและถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2481 ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 การคมนาคมในกรุงเทพได้เปลี่ยนจากการเดินทางด้วยเรือไปใช้รถยนต์เป็นหลักทำให้บ้านบางยี่ขันที่สามารถเข้าออกได้ด้วยเรือเท่านั้นไม่สะดวกต่อการอยู่อาศัย นายปานจิตต์ อเนกวณิช บุตรชายคนที่ 7 ผู้ถือครองโฉนดที่ดินจึงได้ขายบ้านและย้ายไปอยู่ในย่านสุขุมวิทฝั่งกรุงเทพฯ กรรมสิทธิ์ของบ้านถูกโอนไปให้กลุ่มมุสลิมบางกอกน้อยและโรงเรียนราชการุญตามลำดับ
หลังจากโรงเรียนราชการุญปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2521 ตัวอาคารก็ถูกปล่อยทิ้งร้างในสภาพหลังคาบางส่วนพังยุบ ผนังมีเชื้อราขึ้น น้ำท่วมขังภายใน จนกระทั่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิชัย พิทักษ์วรรัตน์ และภรรยาเข้าไปบูรณะบ้านหลังนี้โดยให้คงลักษณะของเดิมไว้ให้มากที่สุด วัสดุก่อสร้างทั้งหมดต้องขนส่งทางเรือ กินเวลามากกว่า 20 เดือนจึงเเล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2552 และเปิดเป็นโรงแรมในชื่อ “พระยา พาลาซโซ่” ในปัจจุบัน หลังจากคุณวิชัยเสียชีวิตลงกรรมสิทธิ์และงานบริหารโรงแรมถูกขายให้กับเครือตรีสรา เจ้าของรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาวในเมืองภูเก็ตและเป็นที่ตั้งของ PRU ห้องอาหารระดับหนึ่งดาวมิชลินแห่งเดียวในเมืองอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2554 โรงแรมพระยา พาลาซโซ่ได้เปิดห้องอาหารเป็นของตัวเองในชื่อ พระยา ไดนิ่ง และได้รับเสียงตอบรับได้เชิงบวกเป็นอย่างมากรวมถึงได้รับรางวัลร้านอาหารไทยยอดเยี่ยมจาก Thailand Tatler อีกด้วย
การมาทานอาหารที่นี่ควรจองล่วงหน้าเนื่องจากโรงแรมและร้านอาหารสามารถเข้าออกไปทางเรือเท่านั้น โดยลูกค้าต้องขับรถไปจอดที่บริเวณวัดราชาธิวาสฝั่งกรุงเทพ จากนั้นโทรแจ้งทางโรงแรมโดยจะส่งเรือมารับที่ท่าน้ำของวัดภายในระยะเวลา 15 นาที เมื่อมาถึงท่าน้ำของโรงแรมที่ฝั่งธนบุรีจะมีพนักงานต้อนรับคอยนำทางเราเดินผ่านอาคารหลักเข้าสู่ห้องอาหาร ภายในตกแต่งแบบไทยเน้นใช้โทนสีแดงเป็นหลัก บนผนังมีการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ เมนูอาหารที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารไทยโบราณจำเเนกตามยุคสมัย เริ่มจากสมัยสุโขทัยที่มักเป็นเมนูที่เรียบง่าย ยังไม่มีวิธีการปรุงที่ซับซ้อนเช่น “หลนปู” และ “หลนปลาเค็ม” ทานกับผักเคียงสดๆ ถัดมาคือสมัยอยุธยาที่เริ่มมีอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา มีการใส่เครื่องปรุงที่นำเข้ามาจากต่างประเทศลงไปในอาหารเช่นมะละกอ สับปะรด มะเขือเทศ ถั่ว โดยเฉพาะพริกที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยในเวลาต่อมาดังจะเห็นได้จากเมนู “น้ำพริกกะปิ” หรือ “แกงมัสมั่น” นอกจากนี้อาหารหวานรสเลิศอย่าง “อินทนิล” ก็ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน สุดท้ายในยุคสมัยรัตนโกสินทร์เป็นยุคที่อาหารไทยทวีความซับซ้อนขึ้นอย่างมาก อาหารกลายเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวันเห็นได้จากการประพันธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน รวมไปถึงตำราการทำอาหารต่างๆ มีการนำเทคนิคการผัด การทอด การปรุงเเต่งด้วยเครื่องเทศที่หลากหลาย มีการก่อกำเนิดของสตรีทฟู้ด และอาหารสูตรชาววัง ทำให้ยุคสมัยนี้ถูกแบ่งออกตามรัชสมัยของพระเจ้าแผ่นดิน โดยพระยา ไดนิ่ง ได้รวบรวมเมนูขึ้นชื่อที่หาทานได้ยากมาไว้ในเมนู เช่น ล่าเตียง แสร้งว่า กระทงทอง ยำทวาย หมูผัดส้มเสี้ยว เป็นต้น
รสชาติอาหารถือว่าอยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจ อาหารทุกจานที่เราสั่งมาทานรสชาติดีทั้งหมด ไม่มีจานไหนด้อยเลย ราคาไม่แพงเทียบกับห้องอาหารระดับเดียวกัน บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากๆ พนักงานมีความรู้ในรายละเอียดของอาหารพอสมควร บริการดีตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว และเป็นอีกหนึ่งร้านที่มีเอกลักษณ์และดีพอสำหรับการบรรจุไว้ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพอย่างแน่นอน
เมนูวันนี้
Menu Classified by Ancient Thai Era
- แตงโมปลาแห้ง (Complimentary)
“Pla Haeng Tang Mo”
Amuse bouche
- ข้าวตังหน้าตั้ง (Complimentary)
“Khao Tang Na Tung”
Amuse bouche
Ayuththaya (1351 to 1767)
- กุ้งโสร่ง (280++)
“Goong Sarong”
Deep-fried prawns wrapped with vermicelli noodles
- อินทนิล (180++)
“Inthanil”
Sago balls with young coconut meat in coconut milk
King Rama II of Rattanakosin (1809 to 1824)
- ล่าเตียง (250++)
“La Tiang”
From by gone era, a rarely seen today, snack of pork shrimp and peanuts wrapped in egg mesh
- บัวลอยลูกตาล (180++)
“Bua Loy Look Tarn”
Rice flour balls in coconut milk
King Rama IV of Rattanakosin (1851 to 1868)
- กระทงทอง (190++)
“Kratong Thong”
Marinated minced chicken and vegetables served in a crispy golden cups
- ต้มยำกุ้ง (380++)
“Tom Yum Kung”
Sour spicy soup with fresh river prawns
King Rama V of Rattanakosin (1868 to 1910)
- หมี่กรอบ (290++)
“Mee Krob”
Crispy vermicelli with tamarind sauce
- แกงจืดลูกเงาะ (280++)
“Look Ngor Soup”
Clear herbal soup with minced pork and glass noodle
- หมูผัดส้มเสี้ยว (350++)
“Mu Pad Som Siew”
Stir fried pork with our forgotten yellow chili paste recipe
- ปลาดุกผัดพริกขิง (250++)
“Pla Duk Phad Prik Khing”
Spicy cat fish stir fried with curry paste
- ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ (750++)
“Chu Chee Kung Mae Nam”
Deep-fried river prawns with red curry sauce
- ไข่ลูกเขย (190++)
“Kai Look Koey”
Eggs “son in law” style with tamarind sauce and fried onions
- ข้าวหอมมะลิ (50++)
‘Kao Hom Mali”
Steamed jasmine rice
- ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (60++)
“Kao Riceberry”
Steamed rice berry
อาหารไทยโบราณรสเลิศ บรรยากาศส่วนตัว ราคาจับต้องได้ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เราประทับใจมากจริงๆ
รสชาติ : 7/10
ราคา : 8/10
ความคุ้มค่า : 8/10
บรรยากาศ : 8/10
บริการ : 7/10
ความประทับใจโดยรวม : 8/10

พระยาชลภูมิพานิช (ยศเดิม หลวงชลภูมิพานิช) ข้าราชการเชื้อสายจีนได้สมรสกับนางสาวส่วนผู้เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระราชินีนาถ ฝ่ายชายตั้งใจสร้างเรือนหอหลังใหญ่เพื่อมอบให้กับหญิงผู้เป็นที่รักและได้รับพระราชทานสถาปนิกคือ Galileo Chini และ Carlo Rigoli มาเป็นผู้ออกแบบโดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรีบริเวณระหว่างสะพานพระรามแปดและสะพานพระปิ่นเกล้า

ภายในตกแต่งแบบไทยเน้นใช้โทนสีแดงเป็นหลัก บนผนังมีการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕

- ปลาแห้งแตงโม (Complimentary)
“Pla Haeng Tang Mo”
Amuse bouche
ปลาแห้งแตงโม เมนูที่หน้าตาดูเป็นอาหารไทยร่วมสมัย แท้จริงแล้วมีประวัติค่อนข้างยาวนาน โดยเป็นอาหารว่างชาววัง นิยมทานกันช่วงฤดูร้อนในหมู่ขุนนางและพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีบันทึกเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ปรากฎหลักฐานชัดเจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งทำพระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต และฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจัดเมนูปลาแห้งแตงนำเสิร์ฟพระสงฆ์กว่าสองพันรูป ควบคู่กับแกงพะแนง หมูผัดกุ้ง ไข่เจียว ลูกชิ้น มะเขือชุบไข่ทอด และกุ้งต้ม สำหรับเมนูปลาแห้งเเตงโมที่นี่คัดสรรค์แตงโมที่มีน้ำฉ่ำ มีรสหวานอ่อนๆตัดกับรสเค็มของปลาแห้งได้อย่างลงตัว ทานแล้วช่วยเรียกความสดชื่นก่อนเข้าอาหารจานถัดไปได้เป็นอย่างดี
- ข้าวตังหน้าตั้ง (Complimentary)
“Khao Tang Na Tung”
Amuse bouche
ข้าวตัง เมนูอาหารว่างชาววังของเจ้านายชั้นสูงที่มีบริวารจำนวนมากจนต้องหุงข้าวทานกันหม้อใหญ่ทำให้เหลือข้าวก้นหม้อติดกระทะเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการคิดค้นเมนูที่สามารถนำข้าวก้นหม้อนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เริ่มจากการแซะข้าวออกมาเป็นแผ่นๆ ตากแห้ง แล้วนำไปทอดจนกรอบฟู มีสีเหลืองอ่อนๆ ทานคู่กับหน้าด้านบนทำจากเนื้อหมูสับ ถั่วลิสง และน้ำกะทิ ให้รสหวานมัน มีกลิ่นหอม เหมาะกับการเสิร์ฟเป็นอาหารทานเล่น นอกจากนี้ข้าวตังหน้าตั้งยังมีปรากฎในกาพย์เห่ชมเครื่องว่าง แสดงถึงการเป็นเครื่องว่างของชาววังในยุคสมัยนั้นอีกด้วย

- ล่าเตียง (250++)
“La Tiang”
From by gone era, a rarely seen today, snack of pork shrimp and peanuts wrapped in egg mesh
ล่าเตียง อาหารว่างไทยชาววังโบราณ เป็นเมนูที่มีปรากฎอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนต์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งเมนูที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจัดถวายพระสงฆ์เมื่อครั้งทำพระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต และฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามคู่กันกับปลาแห้งแตงโมอีกด้วย โดยล่าเตียงของร้านพระยา ไดนิ่ง ทำออกได้สวยงามและปราณีตมาก ไส้ในสุกทั่วถึงกันทั้งหมด เนื้อหมูยังคงนุ่ม มีรสหวานธรรมชาติ ไม่แข็งหรือสุกจนเกินไป มีรสเเละกลิ่นของผักสมุนไพรต่างๆ การห่อไข่เป็นตาข่ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูสวยงามมากๆ และจัดเป็นหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเลยถ้ามาทานอาหารที่นี่
ติดตามต่อในคอมเม้นนะคะ
ปล.ฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
[CR] Praya Dining พระยา ไดนิ่ง ทานอาหารไทยชาววังในอดีตบ้านบางยี่ขัน
และเช่นเคยฝากติดตามเพจ >>
FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
Praya Dining - พระยา ไดนิ่ง
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2466 ในยุคสมัยของรัชกาลที่ ๖ เป็นช่วงเวลาที่สยามมีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อรับราชการรวมไปถึงเหล่าศิลปินชาวอิตาเลียนจำนวนมาก สองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนั้นคือ Galileo Chini และ Carlo Rigoli ทั้งคู่รู้จักกันในงานแสดงศิลปะ ณ กรุงปารีส บรัสเซลส์ และเวนิส ก่อนที่จะชักชวนกันมาทำงานที่ประเทศสยาม โดยฝากผลงานทิ้งไว้มากมาย เช่น ภาพตกแต่งพระอุโบสถวัดราชาธิวาส พระที่นั่งบรมพิมาน วังบางขุนพรหม ในช่วงเวลาเดียวกันพระยาชลภูมิพานิช (ยศเดิม หลวงชลภูมิพานิช) ข้าราชการเชื้อสายจีนได้สมรสกับนางสาวส่วนผู้เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระราชินีนาถ ฝ่ายชายตั้งใจสร้างเรือนหอหลังใหญ่เพื่อมอบให้กับหญิงผู้เป็นที่รักและได้รับพระราชทานสถาปนิกชาวอิตาเลียนทั้งสองคนมาเป็นผู้ออกแบบ โดยมีที่ดินตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรีบริเวณระหว่างสะพานพระรามแปดและสะพานพระปิ่นเกล้า ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Palladian architecture มีสองชั้น ก่อด้วยอิฐปูน มีเชิงแบบขนมปังขิงโค้งมน ช่องลมฉลุลายโปร่งแบบจีน ออกแบบให้หันหน้าเข้าฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาดูสง่างาม ครั้นเเล้วเสร็จได้ตั้งชื่อให้ว่า “บ้านบางยี่ขัน” พระยาชลภูมิพานิชอยู่อาศัยจนมีลูกสิบคนและถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2481 ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 การคมนาคมในกรุงเทพได้เปลี่ยนจากการเดินทางด้วยเรือไปใช้รถยนต์เป็นหลักทำให้บ้านบางยี่ขันที่สามารถเข้าออกได้ด้วยเรือเท่านั้นไม่สะดวกต่อการอยู่อาศัย นายปานจิตต์ อเนกวณิช บุตรชายคนที่ 7 ผู้ถือครองโฉนดที่ดินจึงได้ขายบ้านและย้ายไปอยู่ในย่านสุขุมวิทฝั่งกรุงเทพฯ กรรมสิทธิ์ของบ้านถูกโอนไปให้กลุ่มมุสลิมบางกอกน้อยและโรงเรียนราชการุญตามลำดับ
หลังจากโรงเรียนราชการุญปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2521 ตัวอาคารก็ถูกปล่อยทิ้งร้างในสภาพหลังคาบางส่วนพังยุบ ผนังมีเชื้อราขึ้น น้ำท่วมขังภายใน จนกระทั่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิชัย พิทักษ์วรรัตน์ และภรรยาเข้าไปบูรณะบ้านหลังนี้โดยให้คงลักษณะของเดิมไว้ให้มากที่สุด วัสดุก่อสร้างทั้งหมดต้องขนส่งทางเรือ กินเวลามากกว่า 20 เดือนจึงเเล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2552 และเปิดเป็นโรงแรมในชื่อ “พระยา พาลาซโซ่” ในปัจจุบัน หลังจากคุณวิชัยเสียชีวิตลงกรรมสิทธิ์และงานบริหารโรงแรมถูกขายให้กับเครือตรีสรา เจ้าของรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาวในเมืองภูเก็ตและเป็นที่ตั้งของ PRU ห้องอาหารระดับหนึ่งดาวมิชลินแห่งเดียวในเมืองอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2554 โรงแรมพระยา พาลาซโซ่ได้เปิดห้องอาหารเป็นของตัวเองในชื่อ พระยา ไดนิ่ง และได้รับเสียงตอบรับได้เชิงบวกเป็นอย่างมากรวมถึงได้รับรางวัลร้านอาหารไทยยอดเยี่ยมจาก Thailand Tatler อีกด้วย
การมาทานอาหารที่นี่ควรจองล่วงหน้าเนื่องจากโรงแรมและร้านอาหารสามารถเข้าออกไปทางเรือเท่านั้น โดยลูกค้าต้องขับรถไปจอดที่บริเวณวัดราชาธิวาสฝั่งกรุงเทพ จากนั้นโทรแจ้งทางโรงแรมโดยจะส่งเรือมารับที่ท่าน้ำของวัดภายในระยะเวลา 15 นาที เมื่อมาถึงท่าน้ำของโรงแรมที่ฝั่งธนบุรีจะมีพนักงานต้อนรับคอยนำทางเราเดินผ่านอาคารหลักเข้าสู่ห้องอาหาร ภายในตกแต่งแบบไทยเน้นใช้โทนสีแดงเป็นหลัก บนผนังมีการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ เมนูอาหารที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารไทยโบราณจำเเนกตามยุคสมัย เริ่มจากสมัยสุโขทัยที่มักเป็นเมนูที่เรียบง่าย ยังไม่มีวิธีการปรุงที่ซับซ้อนเช่น “หลนปู” และ “หลนปลาเค็ม” ทานกับผักเคียงสดๆ ถัดมาคือสมัยอยุธยาที่เริ่มมีอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา มีการใส่เครื่องปรุงที่นำเข้ามาจากต่างประเทศลงไปในอาหารเช่นมะละกอ สับปะรด มะเขือเทศ ถั่ว โดยเฉพาะพริกที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยในเวลาต่อมาดังจะเห็นได้จากเมนู “น้ำพริกกะปิ” หรือ “แกงมัสมั่น” นอกจากนี้อาหารหวานรสเลิศอย่าง “อินทนิล” ก็ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน สุดท้ายในยุคสมัยรัตนโกสินทร์เป็นยุคที่อาหารไทยทวีความซับซ้อนขึ้นอย่างมาก อาหารกลายเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวันเห็นได้จากการประพันธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน รวมไปถึงตำราการทำอาหารต่างๆ มีการนำเทคนิคการผัด การทอด การปรุงเเต่งด้วยเครื่องเทศที่หลากหลาย มีการก่อกำเนิดของสตรีทฟู้ด และอาหารสูตรชาววัง ทำให้ยุคสมัยนี้ถูกแบ่งออกตามรัชสมัยของพระเจ้าแผ่นดิน โดยพระยา ไดนิ่ง ได้รวบรวมเมนูขึ้นชื่อที่หาทานได้ยากมาไว้ในเมนู เช่น ล่าเตียง แสร้งว่า กระทงทอง ยำทวาย หมูผัดส้มเสี้ยว เป็นต้น
รสชาติอาหารถือว่าอยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจ อาหารทุกจานที่เราสั่งมาทานรสชาติดีทั้งหมด ไม่มีจานไหนด้อยเลย ราคาไม่แพงเทียบกับห้องอาหารระดับเดียวกัน บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากๆ พนักงานมีความรู้ในรายละเอียดของอาหารพอสมควร บริการดีตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว และเป็นอีกหนึ่งร้านที่มีเอกลักษณ์และดีพอสำหรับการบรรจุไว้ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพอย่างแน่นอน
เมนูวันนี้
Menu Classified by Ancient Thai Era
- แตงโมปลาแห้ง (Complimentary)
“Pla Haeng Tang Mo”
Amuse bouche
- ข้าวตังหน้าตั้ง (Complimentary)
“Khao Tang Na Tung”
Amuse bouche
Ayuththaya (1351 to 1767)
- กุ้งโสร่ง (280++)
“Goong Sarong”
Deep-fried prawns wrapped with vermicelli noodles
- อินทนิล (180++)
“Inthanil”
Sago balls with young coconut meat in coconut milk
King Rama II of Rattanakosin (1809 to 1824)
- ล่าเตียง (250++)
“La Tiang”
From by gone era, a rarely seen today, snack of pork shrimp and peanuts wrapped in egg mesh
- บัวลอยลูกตาล (180++)
“Bua Loy Look Tarn”
Rice flour balls in coconut milk
King Rama IV of Rattanakosin (1851 to 1868)
- กระทงทอง (190++)
“Kratong Thong”
Marinated minced chicken and vegetables served in a crispy golden cups
- ต้มยำกุ้ง (380++)
“Tom Yum Kung”
Sour spicy soup with fresh river prawns
King Rama V of Rattanakosin (1868 to 1910)
- หมี่กรอบ (290++)
“Mee Krob”
Crispy vermicelli with tamarind sauce
- แกงจืดลูกเงาะ (280++)
“Look Ngor Soup”
Clear herbal soup with minced pork and glass noodle
- หมูผัดส้มเสี้ยว (350++)
“Mu Pad Som Siew”
Stir fried pork with our forgotten yellow chili paste recipe
- ปลาดุกผัดพริกขิง (250++)
“Pla Duk Phad Prik Khing”
Spicy cat fish stir fried with curry paste
- ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ (750++)
“Chu Chee Kung Mae Nam”
Deep-fried river prawns with red curry sauce
- ไข่ลูกเขย (190++)
“Kai Look Koey”
Eggs “son in law” style with tamarind sauce and fried onions
- ข้าวหอมมะลิ (50++)
‘Kao Hom Mali”
Steamed jasmine rice
- ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (60++)
“Kao Riceberry”
Steamed rice berry
อาหารไทยโบราณรสเลิศ บรรยากาศส่วนตัว ราคาจับต้องได้ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เราประทับใจมากจริงๆ
รสชาติ : 7/10
ราคา : 8/10
ความคุ้มค่า : 8/10
บรรยากาศ : 8/10
บริการ : 7/10
ความประทับใจโดยรวม : 8/10
พระยาชลภูมิพานิช (ยศเดิม หลวงชลภูมิพานิช) ข้าราชการเชื้อสายจีนได้สมรสกับนางสาวส่วนผู้เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระราชินีนาถ ฝ่ายชายตั้งใจสร้างเรือนหอหลังใหญ่เพื่อมอบให้กับหญิงผู้เป็นที่รักและได้รับพระราชทานสถาปนิกคือ Galileo Chini และ Carlo Rigoli มาเป็นผู้ออกแบบโดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรีบริเวณระหว่างสะพานพระรามแปดและสะพานพระปิ่นเกล้า
- ปลาแห้งแตงโม (Complimentary)
“Pla Haeng Tang Mo”
Amuse bouche
ปลาแห้งแตงโม เมนูที่หน้าตาดูเป็นอาหารไทยร่วมสมัย แท้จริงแล้วมีประวัติค่อนข้างยาวนาน โดยเป็นอาหารว่างชาววัง นิยมทานกันช่วงฤดูร้อนในหมู่ขุนนางและพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีบันทึกเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ปรากฎหลักฐานชัดเจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งทำพระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต และฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจัดเมนูปลาแห้งแตงนำเสิร์ฟพระสงฆ์กว่าสองพันรูป ควบคู่กับแกงพะแนง หมูผัดกุ้ง ไข่เจียว ลูกชิ้น มะเขือชุบไข่ทอด และกุ้งต้ม สำหรับเมนูปลาแห้งเเตงโมที่นี่คัดสรรค์แตงโมที่มีน้ำฉ่ำ มีรสหวานอ่อนๆตัดกับรสเค็มของปลาแห้งได้อย่างลงตัว ทานแล้วช่วยเรียกความสดชื่นก่อนเข้าอาหารจานถัดไปได้เป็นอย่างดี
- ข้าวตังหน้าตั้ง (Complimentary)
“Khao Tang Na Tung”
Amuse bouche
ข้าวตัง เมนูอาหารว่างชาววังของเจ้านายชั้นสูงที่มีบริวารจำนวนมากจนต้องหุงข้าวทานกันหม้อใหญ่ทำให้เหลือข้าวก้นหม้อติดกระทะเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการคิดค้นเมนูที่สามารถนำข้าวก้นหม้อนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เริ่มจากการแซะข้าวออกมาเป็นแผ่นๆ ตากแห้ง แล้วนำไปทอดจนกรอบฟู มีสีเหลืองอ่อนๆ ทานคู่กับหน้าด้านบนทำจากเนื้อหมูสับ ถั่วลิสง และน้ำกะทิ ให้รสหวานมัน มีกลิ่นหอม เหมาะกับการเสิร์ฟเป็นอาหารทานเล่น นอกจากนี้ข้าวตังหน้าตั้งยังมีปรากฎในกาพย์เห่ชมเครื่องว่าง แสดงถึงการเป็นเครื่องว่างของชาววังในยุคสมัยนั้นอีกด้วย
“La Tiang”
From by gone era, a rarely seen today, snack of pork shrimp and peanuts wrapped in egg mesh
ล่าเตียง อาหารว่างไทยชาววังโบราณ เป็นเมนูที่มีปรากฎอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนต์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งเมนูที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจัดถวายพระสงฆ์เมื่อครั้งทำพระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต และฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามคู่กันกับปลาแห้งแตงโมอีกด้วย โดยล่าเตียงของร้านพระยา ไดนิ่ง ทำออกได้สวยงามและปราณีตมาก ไส้ในสุกทั่วถึงกันทั้งหมด เนื้อหมูยังคงนุ่ม มีรสหวานธรรมชาติ ไม่แข็งหรือสุกจนเกินไป มีรสเเละกลิ่นของผักสมุนไพรต่างๆ การห่อไข่เป็นตาข่ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูสวยงามมากๆ และจัดเป็นหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเลยถ้ามาทานอาหารที่นี่
ติดตามต่อในคอมเม้นนะคะ
ปล.ฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้