Parasite | 2019
“แมลงสาบน่ะ กลิ่นมาก่อนตัว
ไม่ว่าจะหลบซ่อนสักแค่ไหน
แต่ถ้ามันอยู่ตรงนั้น เราจะได้กลิ่นมันเสมอ”
นี่ไม่ใช่ประโยคจากหนังแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดจากผู้เขียนเองโดยตรง
ในฐานะของคนที่เกลียดแมลงสาบเข้าไส้ แม้จะมีความสงสารเมตตา
แต่เพราะความกลัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
แมลงสาบจึงเป็นอะไรที่เราไม่ลังเลที่จะกำจัด ไม่ว่าจะมัดใส่ถุงไปทิ้ง
หรือแม้แต่หาอะไรมาตี
แต่มนุษย์ก็มองว่า
แมลงเป็นสิ่งที่เราสามารถกำจัดได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
แมลงสาบเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำชั้นกว่า แค่แมลงตัวหนึ่ง
เรามีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะกำจัดมัน มันทั้งสกปรก เป็นส่วนเกิน
และมีแต่จะทำให้เกิดโรคภัย
ทั้งยังคอยมาหากินเศษขยะในบ้านแล้วทิ้งความสกปรกไว้ในหนทางที่มันเดินผ่าน
เท่านี้เราก็น่าจะมีความชอบธรรมมากพอที่จะเกลียดมันแล้วไม่ใช่เหรอ?
แต่ทว่าเราได้สิทธินั้นจริงๆหรือไม่ในการกำจัดมัน?
เราไม่ได้กำลังจะมาพูดเรื่องศีลธรรมหรือความสูงส่งของเผ่าพันธ์
แต่สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นคือสิ่งที่ Parasite พยายามสะท้อนภาพของชนชั้นล่างที่ต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น
แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังต้องอยู่ในที่ต่ำ ชั้นใต้ถุนของตึกที่ทั้งหนาวและสกปรก แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก
แม้จะอยากอยู่ในที่ดีๆกว่านี้ แต่โชคชะตา หรือทีนี้คือ “พิษเศรษฐกิจ” ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาทำเช่นนั้น
คนตกงานไม่มีรายได้จึงต้องอาศัยอยู่ในบ้านชั้นใต้ถุนที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
และยอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดเพื่อหาเงินมาประทังชีวิต
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ที่จริงแล้วสำหรับเรามีเพียงฉากเดียวในหนังที่บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หนังต้องการจะสื่อสารออกมาแล้ว
คือฉากที่ครอบครัวคิมนั่งกินเหล้ากันกลางบ้านของเศรษฐีพัค
อาศัยจังหวะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ พวกเขายึดครองบ้าน และอยู่กันอย่างราชา
กินอาหารเลอะเทอะ ขวดเหล้าเรียงราย นอนบนเตียงของคนในบ้าน
เหมือนที่นี่คือบ้านของพวกเขามาตั้งแต่แรก
ฉากนี้ฉากเดียวเล่าถึงหนังทั้งเรื่องไว้แล้ว
มันมีทั้งประโยคที่พี่ชายถามน้องสาวว่า ถ้านี่เป็นบ้านของเธอจะเลือกห้องไหน
น้องสาวบอกว่า ไว้มีจริงๆค่อยคิดแล้วกันจะเอาห้องไหน
สามีคุยกับภรรยาว่า ทำไมเศรษฐีเจ้านายเราแสนจะเป็นคนใจดี
ดูสิขนาดเขาเป็นคนรวยเขายังนิสัยดีเลย ภรรยาตอบกลับว่า
ถ้าฉันรวยขนาดนี้ฉันก็นิสัยดีได้เหมือนกันนั่นหล่ะ!
พ่อบอกลูกๆว่า
มีความสุข ณ ชั่วขณะนี้ดีกว่า อย่าพึ่งไปคิดไกล
ตอนนี้เราอยู่บ้านนี้แบบเจ้าของบ้านแล้ว ยังมีอะไรไม่ดีอีก
ทางแม่เลยรีบแย้งว่า เจ้าของที่ไหน พอเจ้าของตัวจริงมา
พวกเราก็ได้แตกฮือเหมือนแมลงสาบกลับเข้ารังนั่นแหละ เหมือนบ้านที่เราอยู่ไง
พอเราเปิดไฟทีไร พวกมันก็วิ่งหนีหายไปทุกที
ในฐานะคนยากจนพวกเขาใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบมาตลอด แม้ในใจจะรู้สึกดูถูกคนรวยว่าโง่
(ที่ถูกพวกเขาหลอกง่ายดาย) แต่พวกเขาก็ยังอยากก้าวขึ้นไปอยู่ในชนชั้นเดียวกับคนรวยพวกนั้นอยู่ดี
พี่ชาย...
ถามน้องสาวว่าเธออยากได้ห้องไหน เพราะเขามีความฝัน
ว่าจะดีสักแค่ไหนนะที่ได้อยู่บ้านดีๆแบบนี้
เขาคือเด็กหนุ่มที่พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึง 4
ครั้งพลาดโอกาสการได้ยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเอง
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทได้มีชีวิตดีๆ แม้ใจเขารู้ว่า
เขาก็มีความสามารถที่จะพาตัวเองไปอยู่จุดนั้นได้เช่นกัน
แต่สถานการณ์รอบตัวและครอบครัวไม่อำนวย
เขาจึงเป็นแค่เด็กที่วาดฝันไว้กับคำว่า “ถ้า” ถ้าทำได้ ถ้าเป็นไปได้
จะดีสักแค่ไหนนะ
พี่ชาย...คือตัวแทนของเด็กสมัยใหม่ที่ไม่เคยพบความลำบากจริงจังมาก่อน
ยังไม่เคยเจอความผิดหวังหรือความเศร้าอย่างแท้จริง และยังเต็มไปด้วยความฝัน
และความหวังว่า พวกเขาจะมีชีวิตดีๆกว่านี้ได้แน่นอน
เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ปัญหาหรืออุปสรรคที่แท้จริงคืออะไร
น้องสาว...
ในขณะที่พี่ชายเต็มไปด้วยความผิดเพ้อฝัน
น้องสาวกลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ความเป็นจริงมากกว่า
อาจเพราะตอนที่เธอกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ครอบครัวเธอพบวิกฤตแล้ว
เธอไม่มีโอกาสได้เรียนต่อม.ปลาย
หมายความว่าที่บ้านเธอไม่มีเงินตั้งแต่เธออายุ 10 กว่าขวบเท่านั้น
เธอจึงเติบโตมากับความยากจนและลำบากเช่นนี้
จึงมองโลกในแง่เลวร้ายและในแง่ความจริงมากกว่าพี่ชายในหลายๆเรื่อง
ขณะที่เทียบกับพี่ชาย เขาเรียนจบม.ปลาย สอบมหาลัยไม่ติด
จนกระทั่งไปเป็นทหาร หมายความว่าตอนที่เรายังเรียนหนังสือ ที่บ้านยังมีเงินให้เขาใช้จ่ายอยู่
ความคิดและการมองโลกจึงต่างจากน้องสาวโดยสิ้นเชิง
ถ้าไม่ผ่านความลำบากเราจะไม่มีทางเข้าใจมัน
น้องสาว...จึงเป็นภาพแทนของเด็กที่เกิดในครอบครัวที่ไม่กำลังส่งเสียดูแล
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอจึงเติบโตมาแบบปากกัดตีนถีบแต่เล็ก
รู้จักหาวิธีเอาตัวรอด และเห็นแก่ประโยชน์ตนเองก่อนคนอื่น
เธอตะโกนบ่นพ่อว่า เลิกเป็นห่วงคนอื่นสักที ห่วงเรากันเองเถอะ
ลำบากขนาดนี้ยังมีแก่ใจห่วงคนอื่นอีกเหรอ
ในมุมมองของเธอ เอาตัวเองรอดก่อน
เพราะเธอไม่เคยสุขสบายมาก่อน เธอจึงไม่มีความเห็นใจให้ใคร
พ่อ...
ชื่นชมเศรษฐีที่ดูแลพวกเขาอย่างดี ให้งานทำ ให้ความเอื้อเฟื้อ
ยอมก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
และมักจะบอกให้ลูกๆไม่ต้องเป็นกังวลกับอะไรทั้งสิ้น
มีความสุขกับช่วงเวลาตรงหน้าดีกว่า เพราะเขาเคยประกอบธุรกิจและขาดทุน
ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก ไม่สามารถดูแลครอบครัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้
เขาใช้ชีวิตแบบวันต่อวันให้ดีที่สุด และเพราะเคยผิดพลาดมามากมาย ตอนลูกๆ
พูดถึงอนาคต พูดถึงการวางแผนในเรื่องอื่นๆ
เขาจึงได้แต่เพียงบอกปัดว่าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
เขาเคยวางแผนชีวิตไว้มากมาย แต่สุดท้ายล้วนไม่เป็นไปตามแผน
ความผิดพลาดและความล้มเหลว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เช่นนั้นเราไม่ต้องเสียเวลาวางแผนอะไรไม่ดีกว่าหรือ
พ่อ...จึงเป็นภาพแทนของคนหาเช้ากินค่ำทุกคน ผู้มีรายได้น้อย
พวกเขาไม่มีเวลามาวางแผนการใช้ชีวิตที่ดี
หรือการทำงานให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุด
เพราะพวกเขาถูกบีบด้วยกรอบเวลาและโอกาส
ลำพังการหาเงินมากินข้าวทุกวันก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
จะยังมีเวลาไปวางแผนการอนาคต สะสมเงินออม
กินอาหารดีๆมีประโยชน์เพื่อรักษาสุขภาพและมีชีวิตให้ยืนยาวอีกเหรอ
พวกเขาไม่มีเวลาให้กับเรื่องแบบนั้น แผนการของพวกเขาจึงเป็นการไม่มีแผนการ
แค่สู้ให้ถึงที่สุดในแต่ละวันเท่านั้น
แม่...
เคยเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ
แต่สุดท้ายเธอต้องมาเป็นแม่บ้านที่ดูแลลูกๆให้ได้สิ่งดีๆที่สุด
ในห้องชั้นใต้ถุนไร้ความหวัง ต่อรองกับคนส่งพิซซ่าเพื่อเงินไม่กี่บาท
เธอเคยจับตุ้มเหวี่ยง เคยคว้าเหรียญทอง
แต่วันนี้เธอกลับต้องรีบเร่งพับกล่องพิซซ่าให้ทัน
เกียรติยศ ความสำเร็จ ชื่อเสียง ล้วนเหมือนฝันที่ห่างไกล
ตอนเพื่อนของลูกชายนำหินนำโชคมาให้ที่บ้าน เธอยังแอบพึมพำว่า
เป็นของกินยังดีเสียกว่า
หินนำโชค หินเกียรติยศ สำหรับเธอจะมีค่าอะไร
ไม่ต่างจากเหรียญทองที่แขวนไว้ที่ฝาบ้าน บัดนี้ล้วนไร้ประโยชน์แล้วทั้งนั้น
แม่... จึงเป็นตัวแทนของคนที่เคยอยู่ในจุดที่สวยงามมาก่อน
อาจเป็นคนที่เคยอยู่ในฐานะที่ดี ไม่ต้องเจอกับความยากลำบาก เต็มไปด้วยลาภยศ
ชื่อเสียง แต่เมื่อต้องถูกผลักลงไปอยู่ในจุดตกต่ำ
และยังมีครอบครัวต้องดูแล เธอจึงได้แต่ต่อสู้เท่านั้น
คนที่เคยสัมผัสกับช่วงเวลาดีๆมาก่อน ย่อมรู้ว่าการได้กลับไปมีช่วงเวลาดีๆ
ชีวิตอันรุ่งโรจน์อีกครั้งมันงดงามแค่ไหน ต่อให้ต้องเหยียบใคร
ก็ขอให้ครอบครัวได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง
...
Parasite : ชนชั้นแมลงสาบ
“แมลงสาบน่ะ กลิ่นมาก่อนตัว
ไม่ว่าจะหลบซ่อนสักแค่ไหน
แต่ถ้ามันอยู่ตรงนั้น เราจะได้กลิ่นมันเสมอ”
นี่ไม่ใช่ประโยคจากหนังแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดจากผู้เขียนเองโดยตรง
ในฐานะของคนที่เกลียดแมลงสาบเข้าไส้ แม้จะมีความสงสารเมตตา
แต่เพราะความกลัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
แมลงสาบจึงเป็นอะไรที่เราไม่ลังเลที่จะกำจัด ไม่ว่าจะมัดใส่ถุงไปทิ้ง
หรือแม้แต่หาอะไรมาตี
แมลงเป็นสิ่งที่เราสามารถกำจัดได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
แมลงสาบเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำชั้นกว่า แค่แมลงตัวหนึ่ง
เรามีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะกำจัดมัน มันทั้งสกปรก เป็นส่วนเกิน
และมีแต่จะทำให้เกิดโรคภัย
เท่านี้เราก็น่าจะมีความชอบธรรมมากพอที่จะเกลียดมันแล้วไม่ใช่เหรอ?
แต่ทว่าเราได้สิทธินั้นจริงๆหรือไม่ในการกำจัดมัน?
เราไม่ได้กำลังจะมาพูดเรื่องศีลธรรมหรือความสูงส่งของเผ่าพันธ์
แต่สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นคือสิ่งที่ Parasite พยายามสะท้อนภาพของชนชั้นล่างที่ต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น
แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังต้องอยู่ในที่ต่ำ ชั้นใต้ถุนของตึกที่ทั้งหนาวและสกปรก แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก
แม้จะอยากอยู่ในที่ดีๆกว่านี้ แต่โชคชะตา หรือทีนี้คือ “พิษเศรษฐกิจ” ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาทำเช่นนั้น
และยอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดเพื่อหาเงินมาประทังชีวิต
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ที่จริงแล้วสำหรับเรามีเพียงฉากเดียวในหนังที่บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หนังต้องการจะสื่อสารออกมาแล้ว
คือฉากที่ครอบครัวคิมนั่งกินเหล้ากันกลางบ้านของเศรษฐีพัค
อาศัยจังหวะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ พวกเขายึดครองบ้าน และอยู่กันอย่างราชา
กินอาหารเลอะเทอะ ขวดเหล้าเรียงราย นอนบนเตียงของคนในบ้าน
เหมือนที่นี่คือบ้านของพวกเขามาตั้งแต่แรก
ฉากนี้ฉากเดียวเล่าถึงหนังทั้งเรื่องไว้แล้ว
น้องสาวบอกว่า ไว้มีจริงๆค่อยคิดแล้วกันจะเอาห้องไหน
สามีคุยกับภรรยาว่า ทำไมเศรษฐีเจ้านายเราแสนจะเป็นคนใจดี
ดูสิขนาดเขาเป็นคนรวยเขายังนิสัยดีเลย ภรรยาตอบกลับว่า
ถ้าฉันรวยขนาดนี้ฉันก็นิสัยดีได้เหมือนกันนั่นหล่ะ!
มีความสุข ณ ชั่วขณะนี้ดีกว่า อย่าพึ่งไปคิดไกล
ตอนนี้เราอยู่บ้านนี้แบบเจ้าของบ้านแล้ว ยังมีอะไรไม่ดีอีก
ทางแม่เลยรีบแย้งว่า เจ้าของที่ไหน พอเจ้าของตัวจริงมา
พวกเราก็ได้แตกฮือเหมือนแมลงสาบกลับเข้ารังนั่นแหละ เหมือนบ้านที่เราอยู่ไง
พอเราเปิดไฟทีไร พวกมันก็วิ่งหนีหายไปทุกที
(ที่ถูกพวกเขาหลอกง่ายดาย) แต่พวกเขาก็ยังอยากก้าวขึ้นไปอยู่ในชนชั้นเดียวกับคนรวยพวกนั้นอยู่ดี
พี่ชาย...
ว่าจะดีสักแค่ไหนนะที่ได้อยู่บ้านดีๆแบบนี้
เขาคือเด็กหนุ่มที่พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึง 4
ครั้งพลาดโอกาสการได้ยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเอง
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทได้มีชีวิตดีๆ แม้ใจเขารู้ว่า
เขาก็มีความสามารถที่จะพาตัวเองไปอยู่จุดนั้นได้เช่นกัน
แต่สถานการณ์รอบตัวและครอบครัวไม่อำนวย
เขาจึงเป็นแค่เด็กที่วาดฝันไว้กับคำว่า “ถ้า” ถ้าทำได้ ถ้าเป็นไปได้
จะดีสักแค่ไหนนะ
พี่ชาย...คือตัวแทนของเด็กสมัยใหม่ที่ไม่เคยพบความลำบากจริงจังมาก่อน
ยังไม่เคยเจอความผิดหวังหรือความเศร้าอย่างแท้จริง และยังเต็มไปด้วยความฝัน
และความหวังว่า พวกเขาจะมีชีวิตดีๆกว่านี้ได้แน่นอน
เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ปัญหาหรืออุปสรรคที่แท้จริงคืออะไร
น้องสาวกลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ความเป็นจริงมากกว่า
อาจเพราะตอนที่เธอกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ครอบครัวเธอพบวิกฤตแล้ว
เธอไม่มีโอกาสได้เรียนต่อม.ปลาย
หมายความว่าที่บ้านเธอไม่มีเงินตั้งแต่เธออายุ 10 กว่าขวบเท่านั้น
เธอจึงเติบโตมากับความยากจนและลำบากเช่นนี้
จึงมองโลกในแง่เลวร้ายและในแง่ความจริงมากกว่าพี่ชายในหลายๆเรื่อง
ขณะที่เทียบกับพี่ชาย เขาเรียนจบม.ปลาย สอบมหาลัยไม่ติด
จนกระทั่งไปเป็นทหาร หมายความว่าตอนที่เรายังเรียนหนังสือ ที่บ้านยังมีเงินให้เขาใช้จ่ายอยู่
ถ้าไม่ผ่านความลำบากเราจะไม่มีทางเข้าใจมัน
น้องสาว...จึงเป็นภาพแทนของเด็กที่เกิดในครอบครัวที่ไม่กำลังส่งเสียดูแล
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอจึงเติบโตมาแบบปากกัดตีนถีบแต่เล็ก
รู้จักหาวิธีเอาตัวรอด และเห็นแก่ประโยชน์ตนเองก่อนคนอื่น
เธอตะโกนบ่นพ่อว่า เลิกเป็นห่วงคนอื่นสักที ห่วงเรากันเองเถอะ
ลำบากขนาดนี้ยังมีแก่ใจห่วงคนอื่นอีกเหรอ
เพราะเธอไม่เคยสุขสบายมาก่อน เธอจึงไม่มีความเห็นใจให้ใคร
ยอมก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
และมักจะบอกให้ลูกๆไม่ต้องเป็นกังวลกับอะไรทั้งสิ้น
มีความสุขกับช่วงเวลาตรงหน้าดีกว่า เพราะเขาเคยประกอบธุรกิจและขาดทุน
ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก ไม่สามารถดูแลครอบครัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้
เขาใช้ชีวิตแบบวันต่อวันให้ดีที่สุด และเพราะเคยผิดพลาดมามากมาย ตอนลูกๆ
พูดถึงอนาคต พูดถึงการวางแผนในเรื่องอื่นๆ
เขาจึงได้แต่เพียงบอกปัดว่าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
เขาเคยวางแผนชีวิตไว้มากมาย แต่สุดท้ายล้วนไม่เป็นไปตามแผน
ความผิดพลาดและความล้มเหลว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เช่นนั้นเราไม่ต้องเสียเวลาวางแผนอะไรไม่ดีกว่าหรือ
พ่อ...จึงเป็นภาพแทนของคนหาเช้ากินค่ำทุกคน ผู้มีรายได้น้อย
พวกเขาไม่มีเวลามาวางแผนการใช้ชีวิตที่ดี
หรือการทำงานให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุด
เพราะพวกเขาถูกบีบด้วยกรอบเวลาและโอกาส
ลำพังการหาเงินมากินข้าวทุกวันก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
จะยังมีเวลาไปวางแผนการอนาคต สะสมเงินออม
กินอาหารดีๆมีประโยชน์เพื่อรักษาสุขภาพและมีชีวิตให้ยืนยาวอีกเหรอ
พวกเขาไม่มีเวลาให้กับเรื่องแบบนั้น แผนการของพวกเขาจึงเป็นการไม่มีแผนการ
แค่สู้ให้ถึงที่สุดในแต่ละวันเท่านั้น
เคยเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ
แต่สุดท้ายเธอต้องมาเป็นแม่บ้านที่ดูแลลูกๆให้ได้สิ่งดีๆที่สุด
ในห้องชั้นใต้ถุนไร้ความหวัง ต่อรองกับคนส่งพิซซ่าเพื่อเงินไม่กี่บาท
เธอเคยจับตุ้มเหวี่ยง เคยคว้าเหรียญทอง
แต่วันนี้เธอกลับต้องรีบเร่งพับกล่องพิซซ่าให้ทัน
ตอนเพื่อนของลูกชายนำหินนำโชคมาให้ที่บ้าน เธอยังแอบพึมพำว่า
เป็นของกินยังดีเสียกว่า
ไม่ต่างจากเหรียญทองที่แขวนไว้ที่ฝาบ้าน บัดนี้ล้วนไร้ประโยชน์แล้วทั้งนั้น
แม่... จึงเป็นตัวแทนของคนที่เคยอยู่ในจุดที่สวยงามมาก่อน
อาจเป็นคนที่เคยอยู่ในฐานะที่ดี ไม่ต้องเจอกับความยากลำบาก เต็มไปด้วยลาภยศ
ชื่อเสียง แต่เมื่อต้องถูกผลักลงไปอยู่ในจุดตกต่ำ
และยังมีครอบครัวต้องดูแล เธอจึงได้แต่ต่อสู้เท่านั้น
คนที่เคยสัมผัสกับช่วงเวลาดีๆมาก่อน ย่อมรู้ว่าการได้กลับไปมีช่วงเวลาดีๆ
ชีวิตอันรุ่งโรจน์อีกครั้งมันงดงามแค่ไหน ต่อให้ต้องเหยียบใคร
ก็ขอให้ครอบครัวได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง