เพิ่งไปดูโปรเมฯ มาเมื่อคืน จี้ใจดำจนอยากเขียนพันทิปตั้งแต่หนังจบแต่ยังไม่ว่าง ตอนนี้เลยเขียนมันซะในเวลางานเลย
ผมแอบเห็นหลายคนที่รีวิวว่าหนังเว่อร์เกินความจริง อยากจะบอกว่า ครอบครัวที่เป็นแบบโปรเมฯ มีจริงๆ
และผมคือหนึ่งในนั้น
ด้วยความที่พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ โดนส่งเรียนกวดวิชาตั้งแต่มัธยม หลังเลิกเรียนอย่าได้หวังว่าจะได้ไปไหน 1 วีคมี 7 วัน เรียนมันทั้ง 7 วัน
ทุกเช้าต้องตื่นตอนตี 5 เป๊ะๆ มาท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 1 ชั่วโมง ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวไปโรงเรียน
ถ้าจำความไม่ผิด ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวจริงๆ คือตอนไปทัศนศึกษา หรือไม่ก็ไปเข้าค่ายกับลูกเสือกับเพื่อนๆ น่ะแหละ
จะบอกว่าเพื่อนมัธยมผมน้อยมาก มีแต่เพื่อนเรียน ความบันเทิงในชีวิตมากสุดก็คงจะเป็นอ่านหนังสือการ์ตูนตอนอยู่โรงเรียน
ตอนม.ต้น ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ กับการที่ต้องไปเรียนนะ แต่พอขึ้นม.ปลาย เหมือนเริ่มเห็นชีวิตคนอื่นๆ ที่มันหลากหลายมากขึ้น
ผมเลยมีความรู้สึกว่า นี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้!!? อยากไปเตะบอล เล่นบาสกับเพื่อนบ้าง ไปสุงสิงพูดคุยที่ลานกีฬากับเพื่อนๆ
ทำไมชีวิตผมมันน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากเป็นหมอซะด้วยซ้ำ.............
เสียดายที่ชีวิตผมไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้งแบบโปรเมฯ ขึ้นม.5 ผมลองบอกความต้องการกับครอบครัว ผมอยากเรียนด้านอื่น
ไม่ได้อยากเป็นหมอ ทุกๆวันเบื่อการไปเรียนกวดวิชา เบื่อการอ่านหนังสือ อยากทำอย่างอื่นบ้าง แต่พ่อแม่กลับไม่เข้าใจ มีปากเสียง ทะเลาะกันไปอีก เพราะตอนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิดตัวเองเต็มที
มันกลายเป็นว่าจากคนที่เชื่อฟังพ่อแม่มาตลอด ก็เริ่มต่อต้าน ทะเลาะกันทุกวัน ไม่อยากจะฟังในสิ่งที่เค้าสั่ง
โชคดีที่ยังมีคุณป้าที่เข้าใจคอยรับฟัง คอยให้คำปรึกษา ตลอดจนผมจบ ม.ปลาย
และผมก็เลือกสอบมหาลัยคณะที่ชอบ ที่อยากเรียน และเดินตามฝันที่อยากจะเป็น พอเริ่มเข้ามหาลัย พ่อแม่ก็เหมือนจะเบาๆ ลง ไม่กดดัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่ค่อยพูดถากถางผมเหมือนเมื่อก่อน นานๆ เข้า พอพ่อแม่เห็นผมมีความสุขกับสาขาที่ผมเรียน มีเพื่อนไปมาหาสูที่บ้านบ่อยๆ และเห็นงานที่ผมเอากลับมาทำที่บ้านให้ท่านเห็น ครอบครัวเราก็เหมือนจะลืมๆ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาซะอย่างนั้น
วันนี้ผมได้ทำงานสายอาชีพที่ชื่นชอบ (สายงานครีเอทีพ) รู้สึกว่าเลือกทางถูกแล้ว
ส่วนกับพ่อแม่ พอท่านเห็นว่าเราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเลือกเอง ท่านก็ดูจะมีความสุขไปด้วย แต่ลึกๆ ผมก็รู้แหละว่าท่านคงยังอยากให้ผมเป็นหมออยู่ และคงเสียดายปนเสียใจเล็กๆ ที่ผมไม่ได้เดินตามทางที่ท่านขีดเอาไว้
ทุกวันนี้อาจจะยังมีไม่เข้าใจกันบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทะเลาะกันเท่าเมื่อก่อนแล้ว
สุดท้ายผมอยากบอกว่า เกิดมาเราอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตเราจะต้องเติบโตไปเป็นอะไร มีพรสวรรค์ทางด้านไหน แต่ก็อยากให้เลือกทางเดินของตัวเอง อยู่กับมันด้วยใจที่รักมันจริงๆ นะครับ
ใครที่โดนพ่อแม่บังคับให้ใช้ชีวิตแบบที่ท่านต้องการ แบบภาพยนตร์เรื่อง โปรเมฯ บ้าง
ผมแอบเห็นหลายคนที่รีวิวว่าหนังเว่อร์เกินความจริง อยากจะบอกว่า ครอบครัวที่เป็นแบบโปรเมฯ มีจริงๆ
และผมคือหนึ่งในนั้น
ด้วยความที่พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ โดนส่งเรียนกวดวิชาตั้งแต่มัธยม หลังเลิกเรียนอย่าได้หวังว่าจะได้ไปไหน 1 วีคมี 7 วัน เรียนมันทั้ง 7 วัน
ทุกเช้าต้องตื่นตอนตี 5 เป๊ะๆ มาท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 1 ชั่วโมง ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวไปโรงเรียน
ถ้าจำความไม่ผิด ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวจริงๆ คือตอนไปทัศนศึกษา หรือไม่ก็ไปเข้าค่ายกับลูกเสือกับเพื่อนๆ น่ะแหละ
จะบอกว่าเพื่อนมัธยมผมน้อยมาก มีแต่เพื่อนเรียน ความบันเทิงในชีวิตมากสุดก็คงจะเป็นอ่านหนังสือการ์ตูนตอนอยู่โรงเรียน
ตอนม.ต้น ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ กับการที่ต้องไปเรียนนะ แต่พอขึ้นม.ปลาย เหมือนเริ่มเห็นชีวิตคนอื่นๆ ที่มันหลากหลายมากขึ้น
ผมเลยมีความรู้สึกว่า นี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้!!? อยากไปเตะบอล เล่นบาสกับเพื่อนบ้าง ไปสุงสิงพูดคุยที่ลานกีฬากับเพื่อนๆ
ทำไมชีวิตผมมันน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากเป็นหมอซะด้วยซ้ำ.............
เสียดายที่ชีวิตผมไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้งแบบโปรเมฯ ขึ้นม.5 ผมลองบอกความต้องการกับครอบครัว ผมอยากเรียนด้านอื่น
ไม่ได้อยากเป็นหมอ ทุกๆวันเบื่อการไปเรียนกวดวิชา เบื่อการอ่านหนังสือ อยากทำอย่างอื่นบ้าง แต่พ่อแม่กลับไม่เข้าใจ มีปากเสียง ทะเลาะกันไปอีก เพราะตอนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิดตัวเองเต็มที
มันกลายเป็นว่าจากคนที่เชื่อฟังพ่อแม่มาตลอด ก็เริ่มต่อต้าน ทะเลาะกันทุกวัน ไม่อยากจะฟังในสิ่งที่เค้าสั่ง
โชคดีที่ยังมีคุณป้าที่เข้าใจคอยรับฟัง คอยให้คำปรึกษา ตลอดจนผมจบ ม.ปลาย
และผมก็เลือกสอบมหาลัยคณะที่ชอบ ที่อยากเรียน และเดินตามฝันที่อยากจะเป็น พอเริ่มเข้ามหาลัย พ่อแม่ก็เหมือนจะเบาๆ ลง ไม่กดดัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่ค่อยพูดถากถางผมเหมือนเมื่อก่อน นานๆ เข้า พอพ่อแม่เห็นผมมีความสุขกับสาขาที่ผมเรียน มีเพื่อนไปมาหาสูที่บ้านบ่อยๆ และเห็นงานที่ผมเอากลับมาทำที่บ้านให้ท่านเห็น ครอบครัวเราก็เหมือนจะลืมๆ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาซะอย่างนั้น
วันนี้ผมได้ทำงานสายอาชีพที่ชื่นชอบ (สายงานครีเอทีพ) รู้สึกว่าเลือกทางถูกแล้ว
ส่วนกับพ่อแม่ พอท่านเห็นว่าเราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเลือกเอง ท่านก็ดูจะมีความสุขไปด้วย แต่ลึกๆ ผมก็รู้แหละว่าท่านคงยังอยากให้ผมเป็นหมออยู่ และคงเสียดายปนเสียใจเล็กๆ ที่ผมไม่ได้เดินตามทางที่ท่านขีดเอาไว้
ทุกวันนี้อาจจะยังมีไม่เข้าใจกันบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทะเลาะกันเท่าเมื่อก่อนแล้ว
สุดท้ายผมอยากบอกว่า เกิดมาเราอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตเราจะต้องเติบโตไปเป็นอะไร มีพรสวรรค์ทางด้านไหน แต่ก็อยากให้เลือกทางเดินของตัวเอง อยู่กับมันด้วยใจที่รักมันจริงๆ นะครับ