ที่มา
https://isaanrecord.com/2019/05/29/my-mother-the-marriage-migrant/?fbclid=IwAR14V8j4HWGTmi0wT1d_Rak4bH7eCc_ohFm0sWFtkHxAoeI75SFC_8AfQLE
ต้นฉบับภาษาอังกฤษเผยแพร่ครั้งแรกที่ Open Democracy โดย อภิญญา จตุปริสากุล
ฉันจำได้อย่างชัดเจน ช่วงหน้าหนาวปี 2008 ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง พลางดูช่องรายการต่างๆ บนจอทีวี พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองให้ออกห่างจากความเหงาที่มาพร้อมกับการเป็นวัยรุ่นอายุ 16 ปี ผู้พลัดพรากจากบ้านและครอบครัวที่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร
ฉันจำความรู้สึกเมื่อตอนดวงตาของฉันสบสายตากับคู่ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นบนหน้าจอ ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองกลับมาที่ฉัน เธอเหมือนกับแม่ของฉัน เธอเหมือนกับผู้หญิงที่ฉันเติบโตมาด้วยที่อีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย เรื่องราวของเธอเป็นเรื่องเดียวกันกับของแม่ฉัน แล้วก็เพื่อนๆ ของแม่ ผู้หญิงคนนี้เดินทางมาที่เดนมาร์กเพื่อแต่งงานกับผู้ชายผิวขาว
ฉันรู้สึกเจ็บที่ท้อง อาการเจ็บที่มักจะแผ่ขยายจากท้องไปจนทั่วทั้งร่างกาย มักจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่คุณรู้ว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ฉันคิดว่าไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะต้องดูสารคดีเรื่องนี้ต่อไป เพราะฉันรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของมันจะลงเอยอย่างไรนั่นเอง
ผู้หญิงคนนั้นก็คงจะถูกนำเสนอว่าเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีอำนาจ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไร เป็นแค่คนที่มาจากประเทศยากจนแห่งหนึ่ง ไม่มีทางเลือกเลยต้องแต่งงานกับผู้ชายผิวขาวหน้าโง่คนหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนี้ก็ต้องการภรรยาไทยที่ยังอายุน้อย ทำหน้าที่คอยรับใช้เขา เป็นสาวใช้ที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ฉันเคยเห็นเคยฟังเรื่องราวแบบนี้ในสื่อต่างๆ มาหลายครั้งนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่เดินทางมาที่เดนมาร์กเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ภาพของผู้หญิงกับผู้ชายเหล่านี้จะได้รับการนำเสนอด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี ด้วยความสนใจใคร่รู้และด้วยความเคารพ ไม่เคยเลยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะมีการนำเสนอภาพที่ใกล้เคียงกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของฉันหรือเรื่องราวการอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ต่างแดนของแม่
แม่ของฉันเดินทางมาประเทศเดนมาร์กในฐานะผู้อพยพย้ายถิ่นผ่านการสมรส แม่ขอวีซ่าท่องเที่ยวที่ประเทศไทย แม่มาประเทศเดนมาร์ก แล้วก็ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวว่า “หญิงไทยที่กำลังมองหา” ผู้ชายคนที่กลายมาเป็นพ่อเลี้ยงของฉันเขียนตอบโฆษณาที่ว่า
ทั้งสองคนแต่งงานกัน
ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ได้เดินทางมาเดนมาร์ก มาอยู่กับพวกเขาทั้งสองคน ความรักของทั้งสองเติบโตตามช่วงเวลาที่ผ่านไป เป็นรูปแบบของความรักที่ตลอดช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่เดนมาร์ก สิ่งที่ฉันเห็นก็คือ มันมักจะถูกตีความว่าเป็นรูปแบบความรักที่ผิดเพี้ยน ผู้คนมักจะพากันดูถูกแม่หรือพากันสงสารเธอ พวกเขาประณามพ่อเลี้ยงของฉัน แล้วพวกเขาก็พากันรู้สึกเห็นอกเห็นใจฉันอย่างผิดที่ผิดทาง
การใช้ชีวิตอยู่ในโลกตะวันตกในฐานะเด็กที่อพยพย้ายมาอยู่กับครอบครัวจะมีลักษณะของการแบ่งแยกเป็นสองขั้วอยู่ในนั้น เพราะเรา ซึ่งเป็นเด็กที่ย้ายตามพ่อหรือแม่มาอยู่ที่นี่ ก็จะต้องเติบโตขึ้นในที่สุด เราเป็นเด็กที่ย้ายมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวกับแม่ของเราในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 ตอนนี้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตของตัวเองในเดนมาร์ก ไกลโพ้นจากบ้านเกิด อันเป็นหนแห่งที่เราต่างรู้สึกห่างไกลมากขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ฉันรู้ตัวดีว่าฉันในหลายๆ ด้านเอง ก็โชคดีมาก ฉันได้รับโอกาสแทบจะทุกอย่าง มีโอกาสที่จะก่อร่างสร้างชีวิตของตัวเอง เพราะแม่ของฉันตัดสินใจเดินทางมาเดนมาร์กเพื่อมาหาสามีที่นี่ ฉันรู้สึกขอบคุณแม่สำหรับทุกสิ่งอย่างที่แม่ได้เสียสละให้กับฉัน
แต่การเป็น “คนนั้น” คนที่ต้องย้ายออกมาจากความยากจนเพื่อที่จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากในประเทศที่เจริญแล้ว ก็มีค่าราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน
แม่ของฉัน ผู้อพยพผ่านการแต่งงาน The Isaan Record
ต้นฉบับภาษาอังกฤษเผยแพร่ครั้งแรกที่ Open Democracy โดย อภิญญา จตุปริสากุล
ฉันจำได้อย่างชัดเจน ช่วงหน้าหนาวปี 2008 ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง พลางดูช่องรายการต่างๆ บนจอทีวี พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองให้ออกห่างจากความเหงาที่มาพร้อมกับการเป็นวัยรุ่นอายุ 16 ปี ผู้พลัดพรากจากบ้านและครอบครัวที่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร
ฉันจำความรู้สึกเมื่อตอนดวงตาของฉันสบสายตากับคู่ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นบนหน้าจอ ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองกลับมาที่ฉัน เธอเหมือนกับแม่ของฉัน เธอเหมือนกับผู้หญิงที่ฉันเติบโตมาด้วยที่อีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย เรื่องราวของเธอเป็นเรื่องเดียวกันกับของแม่ฉัน แล้วก็เพื่อนๆ ของแม่ ผู้หญิงคนนี้เดินทางมาที่เดนมาร์กเพื่อแต่งงานกับผู้ชายผิวขาว
ฉันรู้สึกเจ็บที่ท้อง อาการเจ็บที่มักจะแผ่ขยายจากท้องไปจนทั่วทั้งร่างกาย มักจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่คุณรู้ว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ฉันคิดว่าไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะต้องดูสารคดีเรื่องนี้ต่อไป เพราะฉันรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของมันจะลงเอยอย่างไรนั่นเอง
ผู้หญิงคนนั้นก็คงจะถูกนำเสนอว่าเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีอำนาจ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไร เป็นแค่คนที่มาจากประเทศยากจนแห่งหนึ่ง ไม่มีทางเลือกเลยต้องแต่งงานกับผู้ชายผิวขาวหน้าโง่คนหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนี้ก็ต้องการภรรยาไทยที่ยังอายุน้อย ทำหน้าที่คอยรับใช้เขา เป็นสาวใช้ที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ฉันเคยเห็นเคยฟังเรื่องราวแบบนี้ในสื่อต่างๆ มาหลายครั้งนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่เดินทางมาที่เดนมาร์กเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ภาพของผู้หญิงกับผู้ชายเหล่านี้จะได้รับการนำเสนอด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี ด้วยความสนใจใคร่รู้และด้วยความเคารพ ไม่เคยเลยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะมีการนำเสนอภาพที่ใกล้เคียงกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของฉันหรือเรื่องราวการอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ต่างแดนของแม่
แม่ของฉันเดินทางมาประเทศเดนมาร์กในฐานะผู้อพยพย้ายถิ่นผ่านการสมรส แม่ขอวีซ่าท่องเที่ยวที่ประเทศไทย แม่มาประเทศเดนมาร์ก แล้วก็ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวว่า “หญิงไทยที่กำลังมองหา” ผู้ชายคนที่กลายมาเป็นพ่อเลี้ยงของฉันเขียนตอบโฆษณาที่ว่า
ทั้งสองคนแต่งงานกัน
ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ได้เดินทางมาเดนมาร์ก มาอยู่กับพวกเขาทั้งสองคน ความรักของทั้งสองเติบโตตามช่วงเวลาที่ผ่านไป เป็นรูปแบบของความรักที่ตลอดช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่เดนมาร์ก สิ่งที่ฉันเห็นก็คือ มันมักจะถูกตีความว่าเป็นรูปแบบความรักที่ผิดเพี้ยน ผู้คนมักจะพากันดูถูกแม่หรือพากันสงสารเธอ พวกเขาประณามพ่อเลี้ยงของฉัน แล้วพวกเขาก็พากันรู้สึกเห็นอกเห็นใจฉันอย่างผิดที่ผิดทาง
การใช้ชีวิตอยู่ในโลกตะวันตกในฐานะเด็กที่อพยพย้ายมาอยู่กับครอบครัวจะมีลักษณะของการแบ่งแยกเป็นสองขั้วอยู่ในนั้น เพราะเรา ซึ่งเป็นเด็กที่ย้ายตามพ่อหรือแม่มาอยู่ที่นี่ ก็จะต้องเติบโตขึ้นในที่สุด เราเป็นเด็กที่ย้ายมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวกับแม่ของเราในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 ตอนนี้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตของตัวเองในเดนมาร์ก ไกลโพ้นจากบ้านเกิด อันเป็นหนแห่งที่เราต่างรู้สึกห่างไกลมากขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ฉันรู้ตัวดีว่าฉันในหลายๆ ด้านเอง ก็โชคดีมาก ฉันได้รับโอกาสแทบจะทุกอย่าง มีโอกาสที่จะก่อร่างสร้างชีวิตของตัวเอง เพราะแม่ของฉันตัดสินใจเดินทางมาเดนมาร์กเพื่อมาหาสามีที่นี่ ฉันรู้สึกขอบคุณแม่สำหรับทุกสิ่งอย่างที่แม่ได้เสียสละให้กับฉัน
แต่การเป็น “คนนั้น” คนที่ต้องย้ายออกมาจากความยากจนเพื่อที่จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากในประเทศที่เจริญแล้ว ก็มีค่าราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน