เราเกิดกทม. ใช้ชีวิตเรียน+ทำงานปีแรกๆในกทม. แต่ที่บ้านมาเปิดอูซ่อมรถที่ต่างจังหวัด ตอนแรกเราคิดว่าจะทำฟรีแลนซ์ควบคู่ไปด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จนตอนนี้ทำงานกับที่บ้านมาได้ 6 ปีแล้ว เราอยู่ที่นี้ก็ทำมาหลายอย่าง ขายบ้านน็อคดาวน์ ขายประกัน ขายกาแฟ เป็นอาชีพเสริม ตอนนี้ขายล้อยางกับประกันรถยนต์ เราก็รู้สึกทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ แต่เราเป็นซึมเศร้าด้วย น่าจะมาจากการที่เราย้ายบ้าน ปีแรกๆไม่ได้ไปไหน ไม่ได้เจอใคร ไม่มีสังคม ไม่มีเงินเดือน เราก็คิดออกไปหางานทำเรื่อยๆ จนอา(เพื่อนแม่ที่เป็นคนคิดจะลงทุนทำอู่ โดยให้พี่เป็นช่าง แม่เป็นผู้บริหาร ส่วนเราทำเอกสาร)เขาให้เงินเดือนเรา วันละ 300 บาท แต่เรากินใช้กับเงินกองกลางของที่บ้าน คือเงินรายได้จากอู่ ทุกคนใช้เงินนี้กัน ยกเว้นถ้าอยากซื้อของส่วนตัวก็ใช้เงินตัวเอง ตอนนี้เราก็พอมีเงินเก็บ ที่บ้านห้ามเราใช้ตังค์ ให้เก็บไว้ที่ธนาคาร เป็นชื่อเรากับแม่สองคน เพราะก่อนหน้านี้ตอนเราขายกาแฟ เรารู้สึกหาเงินเองได้ พึ่งตัวเองได้ เหมือนตอนทีเราทำงานที่กทม.ใหม่ๆ เราซื้อของออนไลน์เยอะไปหน่อย เพราะก่อนหน้านันไม่เคยได้ซื้อ เหมือนเก็บกด แต่ก็แอบซื้อแล้วค่อยให้ที่บ้านรู้ทีหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของที่ใช้ในบ้านทั่วๆไป มีพวกเครื่องสำอางของตัวเองบ้างนิดหน่อย คือตอนนั้นเราเก็บตังค์ไม่ค่อยได้ แม่เลยบังคับให้เอาเงินไปฝากธนาคารทุกเดือน(ที่มีชื่อแม่อยู่ด้วย คือจะถอนทีต้องไปกันสองคน) ตอนนี้เราเริ่มศึกษาการลงทุน อย่างกองทุนรวม หุ้น ซึ่งดูแล้วน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าธนาคารแน่ๆ อยากจะแบ่งเงินของตัวเองไปลงทุนบ้าง แต่ที่บ้านคงไม่ให้ เราก็ศึกษาไป แอบลงเงินน้อยๆ ฝึกไป แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายเพราะเพิ่งเริ่ม คือเราอยากกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ได้ออกไปใช้ชีวิต ไปเจอเพื่อน กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง อะไรแบบนี้ แต่เราเคยได้ใช้ชีวิตแบบนั้นแค่ 4 เดือน ตอนทำงานที่กทม.คนเดียว เพราะที่บ้านย้ายมาเปิดอู่ก่อน ตอนนั้นลาออกจากงานประจำ พนักงานขายหนังสือ มาเป็นฟรีแลนด์ตัดต่อรายการทีวี เพราะจบมาสายนี้ และคิดว่ายังไงต้องย้ายบ้านแน่ๆ ก็เลยออก แต่งานตัดต่อหนักมาก แถมที่ทำงานก็อยู่ไกล สูบพลังชีวิตสุดๆ แต่เราก็ทำสุดๆเท่าที่ทำไหว จะเสียก็ตรงมาสาย เพราะเลิกดึก กว่าจะได้ออกจากที่ทำงานก็ห้าทุ่ม ถึงบ้านตี1-2 บางทีก็นอนค้างที่ออฟฟิต งานหนักจริง จนเราเข็ดไม่อยากทำตัดต่ออีกแล้ว ก็เลยมีไปรับจ๊อบออกกองเป็นผู้ช่วย ตัวประกอบ นิดๆหน่อยๆ แรกๆเรายังไปๆมาๆระหว่างกทม.กับตจว. แต่ตอนหลังเราไม่ได้ไปติดต่อกันหลายเดือน คนที่เพิ่งคบกันตอนจะย้ายบ้านก็เลิกรากันไป และเราเองก็รู้สึกเสียดายชีวิตที่กทม.ด้วย เพราะเพื่อนเราอยู่ที่นี้กันหมด และเราก็เกิดในกทม. โตมากับที่นั่น ถึงไม่ชอบรถติด คนแออัดก็เถอะ แต่อยู่ที่นั้นเรารู้สึกว่ามีอิสระมากกว่า อยู่ที่ตจว.ก็มีข้อดีคือไม่ต้องเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่าย อยู่กับครอบครัว ทำให้เราขับรถเป็น แต่เราก็เหมือนอยู่ไปวันๆ จุดมุ่งหมายคือมีเงินใช้ตอนแก่แล้วไปปฏิบัติธรรม แต่เราโหยหาชีวิตที่กทม.อยู่ตลอดเวลา เราคิดอยากจะกลับไปอยู่ที่นั่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และตอนนี้ธุรกิจที่บ้านก็ไม่ค่อยบูม คืออยู่ได้เรื่อยๆแต่ไม่ไปไหน พี่ที่อยากเปิดอู่กับอาก็เหนื่อยกับงานช่างจนวางแผนจะไปทำอย่างอื่นต่อ ใจจริงแม่ก็ไม่อยากมา แต่เพราะอาพูดเกลี่ยกล้อมจนยอมมาได้ เราอยากกลับไปอยู่กรุงเทพ อยากกลับไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เจอเพื่อนฝูง มีสังคมกับเขาบ้าง แต่ปัญหามันติดอยู่ที่ว่าเรามีโรคประจำตัว ที่บ้านไม่อยากให้อยู่คนเดียว และโรคนี้มันก็กัดกินชีวิตเรา บางวันเราก็ตื่นสาย ไม่อยากทำงาน นอนกลางวัน เหมือนคนขี้เกียจ ปวดหัวตลอดเวลาเพราะเป็นไมเกรน เมื่อก่อนมีขากรรไกรค้างต้องไปรพ.ทุกครั้ง แต่ตอนนี้มันหลวม เลยไม่ค้างแล้ว
เราอยากกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ที่บ้านคงไม่เห็นด้วย ยิ่งเราป่วยเป็นซึมเศร้าก็เหมือนจะเป็นปัญหาเป็นอุปสรรคในชีวิตอย่างมาก ข้อดีก็มีคือไปทำสิทธิรักษาฟรีรพ.รัฐทั่วประเทศ และขออะไรที่บ้านได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนที่บ้านไม่ค่อยให้อิสระเท่าไหร่
เรามานั่งคิดแล้วคิดอีก กิจการก็ใช่ว่าจะดี พี่ก็ไม่อยากทำแล้ว ใจจริงแม่ก็ไม่อยากมา และคุณยายที่อยู่จังหวัดติดกันก็เสียไปแล้ว คือเหมือนจะเป็นข้อดีที่แม่ได้มาอยู่ที่นี้ คือได้ดูแลยาย แต่เราว่าเราไม่อยากอยู่แล้วอ่ะ จริงๆมันก็สบายทุกอย่าง แต่เรากลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงจะเอาตัวรอดด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะมีคนคอยอุ้ม คอยดูแลตลอด จริงๆเราสับสนมากไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ปีนี้ก็จะ 30 แล้ว งานหายาก แต่ถ้าแก่กว่านี้คงจะหายากยิ่งกว่า แต่ถ้าทิ้งตรงนี่ไปก็เหมือนกับไม่รับผิดชอบ อาลงทุนซื้อล้อยางมาเอาไว้ขายหลายแสน แต่เราว่าเขาหาคนมาแทนได้ เราไม่รู้ว่าเลือกอย่างไหนจะดีที่สุด คือเราแค่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือผลลัพธ์มันอาจจะเหมือนกัน เพราะเราเป็นซึมเศร้า อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนกันหรือเปล่า...
ถ้าเรารักษาโรคบ้านี้ไม่หาย เราก็จะเลือกชีวิตของตัวเองไม่ได้ใช่ไหม
เราควรกลับไปหางานที่กทม.หรืออยู่กับที่บ้านต่อไป
และตอนนี้ธุรกิจที่บ้านก็ไม่ค่อยบูม คืออยู่ได้เรื่อยๆแต่ไม่ไปไหน พี่ที่อยากเปิดอู่กับอาก็เหนื่อยกับงานช่างจนวางแผนจะไปทำอย่างอื่นต่อ ใจจริงแม่ก็ไม่อยากมา แต่เพราะอาพูดเกลี่ยกล้อมจนยอมมาได้ เราอยากกลับไปอยู่กรุงเทพ อยากกลับไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เจอเพื่อนฝูง มีสังคมกับเขาบ้าง แต่ปัญหามันติดอยู่ที่ว่าเรามีโรคประจำตัว ที่บ้านไม่อยากให้อยู่คนเดียว และโรคนี้มันก็กัดกินชีวิตเรา บางวันเราก็ตื่นสาย ไม่อยากทำงาน นอนกลางวัน เหมือนคนขี้เกียจ ปวดหัวตลอดเวลาเพราะเป็นไมเกรน เมื่อก่อนมีขากรรไกรค้างต้องไปรพ.ทุกครั้ง แต่ตอนนี้มันหลวม เลยไม่ค้างแล้ว
เราอยากกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ที่บ้านคงไม่เห็นด้วย ยิ่งเราป่วยเป็นซึมเศร้าก็เหมือนจะเป็นปัญหาเป็นอุปสรรคในชีวิตอย่างมาก ข้อดีก็มีคือไปทำสิทธิรักษาฟรีรพ.รัฐทั่วประเทศ และขออะไรที่บ้านได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนที่บ้านไม่ค่อยให้อิสระเท่าไหร่
เรามานั่งคิดแล้วคิดอีก กิจการก็ใช่ว่าจะดี พี่ก็ไม่อยากทำแล้ว ใจจริงแม่ก็ไม่อยากมา และคุณยายที่อยู่จังหวัดติดกันก็เสียไปแล้ว คือเหมือนจะเป็นข้อดีที่แม่ได้มาอยู่ที่นี้ คือได้ดูแลยาย แต่เราว่าเราไม่อยากอยู่แล้วอ่ะ จริงๆมันก็สบายทุกอย่าง แต่เรากลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงจะเอาตัวรอดด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะมีคนคอยอุ้ม คอยดูแลตลอด จริงๆเราสับสนมากไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ปีนี้ก็จะ 30 แล้ว งานหายาก แต่ถ้าแก่กว่านี้คงจะหายากยิ่งกว่า แต่ถ้าทิ้งตรงนี่ไปก็เหมือนกับไม่รับผิดชอบ อาลงทุนซื้อล้อยางมาเอาไว้ขายหลายแสน แต่เราว่าเขาหาคนมาแทนได้ เราไม่รู้ว่าเลือกอย่างไหนจะดีที่สุด คือเราแค่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือผลลัพธ์มันอาจจะเหมือนกัน เพราะเราเป็นซึมเศร้า อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนกันหรือเปล่า...
ถ้าเรารักษาโรคบ้านี้ไม่หาย เราก็จะเลือกชีวิตของตัวเองไม่ได้ใช่ไหม