วิถีจิตธรรมชาติให้มา (ประภัสสร) ปฏิบัติเข้าสู่นิพพานลองชิม
ฝ่ายนิกายเถรวาทบอกว่า "จิตเดิม" ไม่มี ยิ่งมีคำว่า "แท้" เข้ามาอีก ยิ่งหาในบาลีไม่เจอเลย ทั้งคำว่า เดิม และแท้ ไม่มีในบาลี แต่มีในนิกายเซน นิกายเซน (禅) บอกว่าจิตเดิมแท้นั้นมี เขาเรียกว่า "ปึงแซ"
"ปึง" แปลว่า "เดิม"
"แซ" แปลว่า "แท้" ร้อยเปอร์เซ็นต์
ถ้าอย่างนั้นทางเถรวาทบอกว่าจิตประภัสสรไม่มี ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาคำไหนมาอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ ฉะนั้น ควรใช้คำว่า "จิตธรรมชาติให้มา" ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ตั้งแต่ปฏิสนธิ ฉะนั้น เราจึงมีจิตที่รับรู้กับแม่ในการปฏิสนธิทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนี้จะเอาตัวอะไรมาคุยกันให้เข้าใจ ถ้าใช้คำนี้คนจะเข้าใจง่าย ทุกคนก็จะเข้าใจว่า เป็นจิตที่ธรรมชาติให้มา เหมือนกับภาษาจีนบอกว่า ลิ้ง (靈 จีนกลาง : หลิน líng : spirit, soul; spiritual world) เป็นเล่งฮุ้ง ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มา ของฟ้า (เทียน 天) ให้มา
จิตธรรมชาติให้มา ให้มาด้วยความบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำ ถ้าเราจะเอาสิ่งสกปรกเติมไปในน้ำก็จะกลายเป็นน้ำไม่สะอาด อธิบายอย่างนี้คนก็จะเข้าใจง่าย
ที่จริง จิตตรงนี้ไม่มีความสุข แต่ถ้าเราเอากรรมโทสะใส่เข้าไป จึงกลายเป็นจิตโทสะ
ทั้งทางเถรวาทจะเอาคำว่า ผุดผ่องเติมเข้าไปได้ไหม? เราก็เอาผุดผ่องเติมเข้าไป ที่จริงจิตธรรมชาติเฉยๆ ไม่มีผุดผ่อง
จิตเศร้าหมองเหมือนกับอาคันตุกะจรมา กิเลสจรมา ก็เพราะเราเอากิเลสแห่งความเศร้าหมองใส่ลงไป สมมติว่า เวลานี้น้ำแก้วนี้สะอาด เราเอาน้ำผึ้งใส่ลงไป น้ำนี้ก็จะกลายเป็นน้ำผึ้ง เอาชาใส่ลงไป ก็กลายเป็นน้ำชา เราเอาความโมโหใส่ ก็กลายเป็นจิตโมโห เอาความเมตตาใส่ ก็กลายเป็นจิตเมตตา
จิตของธรรมชาติให้มา ซึ่งข้างในปฏิเสธสิ่งต่างๆ เราจึงนิยามว่า "บริสุทธิ์" แล้วแต่เราจะไปปนอะไรแล้วจะออกมาจากจิตอีกตัว คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ใช่บริสุทธิ์แบบพระอรหันต์ไม่ใช่ แต่เพราะว่าบริสุทธิ์เพราะไม่ได้มีอะไรเจือปน ถ้าไม่อย่างนั้นคนยังไม่ทันเกิด อยู่ในท้องก็กลายเป็นอรหันต์แล้วนะสิ
ฉะนั้น เราควรแปลจิตประภัสสร แปลว่า "จิตธรรมชาติให้มา" คนจะเข้าใจมาก ถ้าไม่อย่างนั้นคนก็จะถามว่าจิตตัวนี้มาจากไหน
จิตดั้งเดิมหรือประภัสสร ไม่มีทั้งวิชชา และอวิชชา อยู่ในนั้น ปราศจากทั้งวิชชาและอวิชชา สัมมาและมิจฉา เป็นกลางๆ นี่แหละจึงเรียกว่าผุดผ่อง บริสุทธิ์ เข้าถึงพร้อมที่เราจะปนอะไรได้หมด เป็นจิตธรรมชาติ
จิตประภัสสรกล้ำกึ่งกับนิพพาน แต่แตกต่างกันที่จิตนิพพานเป็นจิตที่มีปัญญารู้เท่าทันไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ บงการ นั่นแหละเป็นจิตนิพพาน
จึงเป็นที่มาของท่านพุทธทาสว่า "นิพพานลองชิม" ถ้าเรามีจิตนิพพานมีปัญญารู้เท่าทันไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำแค่ ๕ นาที ก็เป็นนิพพานเช่นเดียวกัน แต่นิพพานสามารถครอบคลุมได้ถึง ๒๔ ชั่วโมง ถึง ๑ ปี ๑๐ ปี ฯลฯ แต่ของเราควบคุมไม่ถึง เพิ่งจะรู้ ท่านพุทธทาสจึงเรียกว่า "ลองชิม" แต่พุทธทาสรู้แต่อธิบายไม่ได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
วิถีจิตธรรมชาติให้มา (ประภัสสร) ปฏิบัติเข้าสู่นิพพานลองชิม
ฝ่ายนิกายเถรวาทบอกว่า "จิตเดิม" ไม่มี ยิ่งมีคำว่า "แท้" เข้ามาอีก ยิ่งหาในบาลีไม่เจอเลย ทั้งคำว่า เดิม และแท้ ไม่มีในบาลี แต่มีในนิกายเซน นิกายเซน (禅) บอกว่าจิตเดิมแท้นั้นมี เขาเรียกว่า "ปึงแซ"
"ปึง" แปลว่า "เดิม"
"แซ" แปลว่า "แท้" ร้อยเปอร์เซ็นต์
ถ้าอย่างนั้นทางเถรวาทบอกว่าจิตประภัสสรไม่มี ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาคำไหนมาอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ ฉะนั้น ควรใช้คำว่า "จิตธรรมชาติให้มา" ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ตั้งแต่ปฏิสนธิ ฉะนั้น เราจึงมีจิตที่รับรู้กับแม่ในการปฏิสนธิทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนี้จะเอาตัวอะไรมาคุยกันให้เข้าใจ ถ้าใช้คำนี้คนจะเข้าใจง่าย ทุกคนก็จะเข้าใจว่า เป็นจิตที่ธรรมชาติให้มา เหมือนกับภาษาจีนบอกว่า ลิ้ง (靈 จีนกลาง : หลิน líng : spirit, soul; spiritual world) เป็นเล่งฮุ้ง ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มา ของฟ้า (เทียน 天) ให้มา
จิตธรรมชาติให้มา ให้มาด้วยความบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำ ถ้าเราจะเอาสิ่งสกปรกเติมไปในน้ำก็จะกลายเป็นน้ำไม่สะอาด อธิบายอย่างนี้คนก็จะเข้าใจง่าย
ที่จริง จิตตรงนี้ไม่มีความสุข แต่ถ้าเราเอากรรมโทสะใส่เข้าไป จึงกลายเป็นจิตโทสะ
ทั้งทางเถรวาทจะเอาคำว่า ผุดผ่องเติมเข้าไปได้ไหม? เราก็เอาผุดผ่องเติมเข้าไป ที่จริงจิตธรรมชาติเฉยๆ ไม่มีผุดผ่อง
จิตเศร้าหมองเหมือนกับอาคันตุกะจรมา กิเลสจรมา ก็เพราะเราเอากิเลสแห่งความเศร้าหมองใส่ลงไป สมมติว่า เวลานี้น้ำแก้วนี้สะอาด เราเอาน้ำผึ้งใส่ลงไป น้ำนี้ก็จะกลายเป็นน้ำผึ้ง เอาชาใส่ลงไป ก็กลายเป็นน้ำชา เราเอาความโมโหใส่ ก็กลายเป็นจิตโมโห เอาความเมตตาใส่ ก็กลายเป็นจิตเมตตา
จิตของธรรมชาติให้มา ซึ่งข้างในปฏิเสธสิ่งต่างๆ เราจึงนิยามว่า "บริสุทธิ์" แล้วแต่เราจะไปปนอะไรแล้วจะออกมาจากจิตอีกตัว คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ใช่บริสุทธิ์แบบพระอรหันต์ไม่ใช่ แต่เพราะว่าบริสุทธิ์เพราะไม่ได้มีอะไรเจือปน ถ้าไม่อย่างนั้นคนยังไม่ทันเกิด อยู่ในท้องก็กลายเป็นอรหันต์แล้วนะสิ
ฉะนั้น เราควรแปลจิตประภัสสร แปลว่า "จิตธรรมชาติให้มา" คนจะเข้าใจมาก ถ้าไม่อย่างนั้นคนก็จะถามว่าจิตตัวนี้มาจากไหน
จิตดั้งเดิมหรือประภัสสร ไม่มีทั้งวิชชา และอวิชชา อยู่ในนั้น ปราศจากทั้งวิชชาและอวิชชา สัมมาและมิจฉา เป็นกลางๆ นี่แหละจึงเรียกว่าผุดผ่อง บริสุทธิ์ เข้าถึงพร้อมที่เราจะปนอะไรได้หมด เป็นจิตธรรมชาติ
จิตประภัสสรกล้ำกึ่งกับนิพพาน แต่แตกต่างกันที่จิตนิพพานเป็นจิตที่มีปัญญารู้เท่าทันไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ บงการ นั่นแหละเป็นจิตนิพพาน
จึงเป็นที่มาของท่านพุทธทาสว่า "นิพพานลองชิม" ถ้าเรามีจิตนิพพานมีปัญญารู้เท่าทันไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำแค่ ๕ นาที ก็เป็นนิพพานเช่นเดียวกัน แต่นิพพานสามารถครอบคลุมได้ถึง ๒๔ ชั่วโมง ถึง ๑ ปี ๑๐ ปี ฯลฯ แต่ของเราควบคุมไม่ถึง เพิ่งจะรู้ ท่านพุทธทาสจึงเรียกว่า "ลองชิม" แต่พุทธทาสรู้แต่อธิบายไม่ได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต