เช่ารถเที่ยว ฮอกไกโด 2019

ฮอกไกโดจังหวัดใหญ่ ที่มีหลายเมืองน่าไปเยือน แต่การเดินทางระหว่างเมืองนั้นอยู่ห่างกันมากทำให้ การเช่ารถขับ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการท่องเที่ยวบนเกาะฮอกไกโด

มาดูกันว่าถ้าจะเช่ารถขับต้องเตรียมตัวอย่างไร และเรื่องน่ารู้มีอะไรบ้าง

1. ใบขับขี่ - อย่างแรกที่ต้องมีคือ ใบขับขี่สากล (1949 international driving permit) ไปทำที่ขนส่งใกล้บ้านได้เลย ใช้เวลาประมาณ 20 – 45 นาที สิ่งที่ต้องเตรียมไป
   1. บัตรประชาชน - ตัวจริง และสำเนา 1 ใบ
   2. พาสปอร์ต - ตัวจริง และสำเนา 1 ใบ
   3. ใบขับขี่ - ตัวจริง และสำเนา 1 ใบ
   4. รูปถ่าย - 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
   5. ค่าธรรมเนียม 505 บาท


2. การจองรถ - มีให้เลือกหลายเว็บไซต์ แต่ที่ผมไปรอบนี้จองผ่าน Nippon เพราะสมัครสมาชิกแล้วได้โปรส่วนลด 40% พอดี ส่วนเว็บไซต์อื่น ๆ ลองเลือกกันดู เท่าที่ดูของ tocoo จะค่อนข้างถูกกว่าเว็บไซต์อื่นครับ

   o https://www.nrgroup-global.com (ตอนนี้มีเวบภาษาไทยแล้ว)
   o https://www2.tocoo.jp (เป็นเว็บไซต์เอเยนต์ที่รวมหลายบริษัทไว้ ให้เลือก)

- ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เมื่อได้เว็บไซต์แล้ว ก็เลือก วัน เวลา สถานที่รับ และคืนรถ แล้วก็เข้าขั้นตอนเลือกรถ ส่วนตัวถ้าทำได้แนะนำรถที่ใช้ ดีเซล เพราะจะประหยัดได้เยอะที่เดียว ส่วนค่าธรรมเนียมแนะนำให้เลือกในส่วนของประกันไปทั้งหมด คือ CDW และ ECO (Extra Coverage Option) ในส่วนของการคืนรถ จุดอื่นที่ไม่ใช่จุดรับรถในครั้งแรก อาจจะต้องเช็คว่ามีค่าธรรมเนียมหรือไม่ ของผมรับที่สนามบิน คืนที่สถานีของ Nippon ที่สวนโอโดริ ครั้งนี้ไม่มีค่าธรรมเนียมครับ

นอกจากนี้จะมีเรื่อง GPS ปกติเค้าจะมีติดไว้ให้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีให้เลือก แนะนำว่าให้เลือกใช้ด้วย เพราะจะช่วยได้มากในการเดินทาง

- ค่าทางด่วน ให้เลือกหัวข้อ ETC และถ้าใครเดินทางหลายเมืองผมแนะนำ เลือกใช้บัตร HEP (Hokkaido Expressway Pass) เพราะคุ้มมาก บัตร HEP เป็นบัตรสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเหมาจ่าย 5,741 เยน (ก่อนลดราคา) จะขึ้นลงทางด่วนกี่ครั้งก็ได้ในเวลา ทริปนี้ถ้าผมไม่ใช้บัตร HEP ผมจะเสียค่าทางด่วนทั้งหมด 14,560 เยน แบ่งเป็น

New Chitose to Asahikawa 1,300 เยน / Asahikawa to Otaru 3,180 เยน / Otaru to Hakodate 3,330 เยน / Hakodate to Sapporo 6,750 เยน

รวม 14,560 เยน จะเห็นว่าแค่จาก Sapporo to Hakodate ใช้บัตร HEP ก็คุ้มแล้ว ^^

** เมื่อจองเสร็จแล้ว Print เอกสารติดตัวไปด้วยนะครับ เพราะเค้าใช้เอกสารด้วย

3. การรับรถ

- ลงทะเบียน – ตามป้าย Car rent ไป (ด้านล่างสนามบิน) ก่อนออกนอกตัวอาคาร จะมีจุดลงทะเบียนเพื่อรับคิวการรับรถ เมื่อได้คิวแล้วให้ออกไปรอรถบัสซึ่งจะมีรถบัสประจำของแต่ละบริษัท ที่เราจองรถคอยรับส่ง เมื่อขึ้นรถแล้วเค้าจะขอดูคิวของเราเพื่อเช็คการลงทะเบียนของทางเค้าว่าผู้ที่จองรถได้เข้ามาตามเวลาแล้วหรือยัง
- จุดรับรถ – เมื่อถึงสถานีรับรถ ให้นำเอกสารจองรถแสดงพร้อม พาสปอร์ต ใบขับขี่สากล หากมีผู้ขับมากกว่า 1 ให้แสดงของคนที่ขับเพิ่มด้วย (กรณีนี้ของผมใช้ 2 คน ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมแต่ถ้ามากกว่านี้ไม่แน่ใจว่าจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มหรือไม่นะครับ)

เมื่อเอกสารเรียบร้อยเค้าจะแนะนำคู่มือให้เรา อธิบายเรื่องการเติมน้ำมัน (ปกติคนจะใช้เบนซิน พนักงานเลยแนะนำผมในการเติมเบนซิน ผมจึงแย้งไปว่าเราเลือกรถใช้ดีเซล เค้าถึงได้ตรวจสอบเอกสารอีกครั้ง แล้วแจ้งเราใหม่ ดังนั้นเลือกรถอะไรไปอยากให้ถามเค้าว่าได้รถตามที่เราเลือกหรือไม่ เพราะมีกรณีบางคนได้รถที่ไม่ได้จองเนื่องจากรถไม่พอเค้าก็อาจจะอัพเกรดให้ฟรี) การใช้ความเร็ว การจัดการเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และทำการชำระเงิน ซึ่งชำระเป็นบัตรเครดิต

** เน้นเรื่องอุบัติเหตุสักนิด หากเกิดเหตุมีรอยเชียวชนไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนสิ่งแรกที่ต้องทำคือแจ้งตำรวจ เพื่อให้ออกใบแจ้งความที่ยืนยันเหตุนั้น ประกอบการจัดการเรื่องการเคลมประกัน

- ตรวจรถ เมื่อเอกสารเรียบร้อย ก็รอเรียกรับรถ การตรวจรถจะเริ่มตั้งแต่ภายนอก ให้ดูว่ามีรอยอยู่เดิมมั้ย ไม่ว่าจะรอยยุบ รอยบุบ รอยขนแมวผมตรวจหมด เพราะเค้าต้องเช็คบนเอกสารเค้าหากเราไม่ได้เช็ค เมื่อส่งรถแล้วมีรอยผมกลัวว่าอาจจะเกิดปัญหาได้

เสร็จจากภายนอก เค้าก็จะแนะนำเรื่องภายใน แจ้งเรื่องเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว การใช้รถ การใช้ GPS เดิมจะถูกตั้งค่าเป็น ภาษาญี่ปุ่น อาจจะต้องขอให้เค้าเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้ นอกจากนี้เค้าจะมีคู่มือให้ไว้ในรถด้วย (ของ Nippon จะมี Map Code ให้ไว้แต่บริษัทอื่น ผมไม่แน่ใจนะครับ) เมื่อเสร็จขั้นตอนก็ set ตัวเรากับรถสักนิด เบาะ กระจก เรียบร้อยก็ออกตัวได้ ^^

4. การขับรถ - ญี่ปุ่นจะเหมือนบ้านเรา ขับเลนซ้าย แซงเลนขวา เมื่อแซงแล้วก็กลับเข้าเลนซ้ายเราจะไม่เจอกรณีขับแช่เลนขวา ส่วนสภาพถนนค่อนข้างดี แต่ก็มีการซ่อมผิวถนน เป็นช่วง ๆ เหมือนกัน ทั้งถนนทางด่วน หรือถนนทั่วไป ไฟจราจรก็เหมือนบ้านเราแต่เราจะไม่ค่อยเจอลักษณะไฟเหลืองเร่งความเร็ว ส่วนใหญ่จะชะลอแล้วหยุด

- ความเร็ว – เรื่องที่หลายคนกังวล แนะนำให้ดูป้ายกำหนดความเร็ว ในเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 40 – 50 กม./ชม. ทางด่วนก็จะเริ่มตั้งแต่ 70, 80 กม./ชม. หรือ ไม่ขึ้นไฟแจ้งความเร็ว (คือไม่ได้กำหนดความเร็วไว้) แต่จากคู่มือที่ระบุไว้สูงสุดจะไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนความจริง บนทางด่วนจะเจอคนใช้ความเร็วไปถึง 120 กม./ชม. อยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นถนนทั่วไปผมยังไม่เจอการขับที่ใช้ความเร็วมากกว่าที่กำหนด แต่ถ้าให้แนะนำใช้ความเร็วตามกำหนดจะดีกว่า เพราะค่าปรับสูงมากเหมือนกัน แต่ไม่รู้เท่าไรเนื่องจากยังไม่กล้าลองของนะครับ >__<

- การจอดรถมี 2 แบบ คือเสียเงิน กับไม่เสียเงิน เนื่องจากผมจองที่พัก AIRBNB ทำให้ต้องหาที่จอดรถตอนกลางคืนซึ่งมีทั้งที่จอดฟรี เจ้าของที่พักมีที่จอดให้ และต้องหาที่จอดเอง

o แบบไม่เสียเงิน – ปกติบนท้องถนนในญี่ปุ่นจะไม่ได้อนุญาตให้จอดรถข้างทาง หรือริมฟุตบาท ดังนั้นการจอดแบบไม่เสียเงินคือจอดในพื้นที่บริเวณที่พัก หรือที่ ที่เราไปแบบเป็นที่ดินเหลือของตัวอาคารนั้น ๆ หรือถนนรอบบริเวณที่การสัญจรไม่พลุกพล่าน ในที่พัก AIRBNB เค้าเรียก Free parking on premises อย่างตอนผมไป Otaru music box จะมีถนนด้านข้างซึ่งมีรถไปจอดเทียบด้านข้าง ของตัวอาคารอยู่เหมือนกัน หรือที่พัก 2 แห่งจะเป็นการจอดรถบนถนนหน้าบ้านหรือด้านหลังบ้าน แต่โดยปกติจะเป็นถนนซอย ไม่ใช่ถนนหลัก ซึ่งจะพบเจอตามเมืองชนบท หากเป็นในตัว Sapporo น่าจะหายาก

o แบบเสียเงิน – ผมเจอ 2 แบบ
 แบบไม้กั้น คือต้องรับบัตรผ่านตรงที่กั้นก่อนเข้าไปจอด เมื่อจะออกจากที่จอดให้เสียบบัตรชำระเงิน แล้วถึงออกได้

 แบบที่กั้นใต้ท้องรถ คือขับรถจอดจนล้อหลังชิดกับที่กั้นล้อ ตัวที่กั้นใต้ท้องรถจะยกขึ้นมา จอดเสร็จไปทำธุระได้เลย เมื่อจะออกจากที่กั้น ให้ไปชำระเงินที่ตู้ เมื่อชำระแล้วที่กั้นจะยกลงสามารถนำรถออกได้ แบบนี้ไม่ยุ่งเรื่องพกบัตรจอดรถครับ

 ค่าจอด แตกต่างกันไปแต่ละเมืองถ้าเมืองเงียบหน่อยค่าจอดจะอยู่ประมาณ ชม.ละ 200 – 400 เยน แต่ถ้าเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็จะเริ่มมีให้เห็น 15 นาที 400 เยน ซึ่งเป็นเรทช่วงกลางวัน (08.00 – 22.00) หากเป็นกลางคืน (หลัง 22.00 น.) ค่าจอดจะลดลง 25 – 50% หรือเป็นเหมา 12 ชม.

- GPS อาจต้องสร้างความคุ้นเคยกันหน่อย เพราะเมนูภาษาอังกฤษ จะมีอยู่ในส่วนหลักเท่านั้น อย่างที่ผมใช้ไม่สามารถค้นหาได้ เพราะ Keyboard เป็นภาษาญี่ปุ่น ผมใช้วิธีการหา Map Code ใกล้กับจุดที่เราไป แล้วเลือกจุดที่ต้องการไปอีกที ส่วนการแสดงผลนั้นจะเตือนแบบตรงระยะมาก ที่น่าสนใจอีกอย่างคือเค้าจะบอกเลนที่เราต้องอยู่เมื่อขับรถเข้าไปในเมือง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเลนไหนเลี้ยวได้หรือไม่ได้

- การเติมน้ำมัน เป็นการเติมเอง ใช้บัตรเครดิตได้ แต่เท่าที่ใช้บริการยังไม่เจอภาษาอังกฤษเลย ผมใช้วิธีเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่ดูแลปั๊ม ซึ่งจากที่เติม จะเจออย่างน้อย 1 คน ประจำในออฟฟิศ

ในส่วนการจ่ายเงินมีทั้งจ่ายที่ตู้เติมน้ำมันได้เลย และไปจ่ายกับพนักงานที่ดูแลครับ

- ค่าน้ำมัน – อย่างที่บอกไปค่าน้ำมันดีเซล จะถูกที่สุด ปกติน้ำมันจะมี 3 แบบ ดีเซลจะถูกกว่า เบนซินธรรมดาประมาณ 20 % ค่าน้ำมันต่อลิตรจะอยู่ที่ 115 – 145 เยน ตอนผมไป ผมได้เติมดีเซลที่ 118 เยน/ลิตร


5. การคืนรถ - ให้เติมน้ำมันเต็มถังก่อนคืนรถ เมื่อถึงจุดส่งรถ นำเอกสารให้พนักงาน พนักงานจะนำเอกสารนั้นไปตรวจสภาพรถ มีร่องรอยเพิ่มมาหรือไม่ เสร็จแล้วก็จะมาเช็คการใช้รถ เช่น มีค่าปรับ หรือไม่ หากไม่มีปัญหาใด ๆ ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนการคืนครับ (หากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็จะถูกเรียกเก็บจากบัตรเครดิตที่เราได้ให้ไว้จากครั้งแรกที่รับรถ)

6. การจัด Trip ของผมเป็นการขึ้นเหนือก่อน แล้วค่อยลงใต้

    - New Chitose > Furano (Lavender) > Biei (Blue Pond, Tree) > Asahikawa  นอน Asahikawa / 205.9 km.
   
    - Asahikawa (Asahiyama Zoo, Ramen Village) > Otaru (คลอง โอตารุ, Music box)  นอน Otaru / 201.3 km.

    - Otaru (Sankaku Market) > Niseko (Mount Yotei) > Hakodate (Red Brick Warehouse, Mt. Hakodate)  นอน Hakodate /  301.9 km.
   
    - Hakodate (Hakodate Asaichi, ป้อมโงเรียวกาคุ) > Toyako (Toya Lake) > Noboribetsu (Jigokudani) > Sapporo  นอน Sapporo / 328.9 km.

      สรุป ระยะทาง 1,038 km. ค่าน้ำมัน 6,409 เยน

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่