หุ้นร้านค้าวัสดุก่อสร้างน้องใหม่กำลังจะเข้าตลาดวันที่ 6 สิงหาคม เรามาสรุปกันครับว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง
1. อาณาจักรเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เริ่มต้นจากห้องแถว 2 คูหา
.
ย้อนกลับไปเมื่อ 26 ปีที่แล้ว คุณอดิศักดิ์ และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา สามีภรรยาคู่นี้ เริ่มต้นด้วยการเช่าห้องแถว 2 คูหา ในจังหวัดอุบลราชธานี เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ขายเหล็กเป็นหลัก ตั้งชื่อแบบเรียบง่ายว่า ศ.อุบลวัสดุ ขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ 3 ข้อ คือ
.
• เริ่มด้วยการขายของถูกเพื่อดึงลูกค้า
• หา Supplier เพิ่มสินค้าให้หลากหลาย
• ปล่อยเครคิต ขยายกิจการให้เติบโต แต่เลือกให้เฉพาะคนที่ไว้ใจได้คือ ผู้รับเหมางานราชการ
.
จากห้องแถว 2 คูหา ก็ขยายมาเป็น 10 คูหา และเพิ่มเป็นหลายสิบไร่ ก่อนขยับขยายออกจากอุบล มุ่งสู่โคราช ไปภาคกลาง ไปภาคเหนือ จนวันนี้มี 9 สาขา ด้วยยอดขายกว่า 18,000 ล้านบาท
..
2. ครบ ถูก ดี สำหรับคนรักบ้าน
.
สโลแกนประจำร้าน ด้วยสินค้กว่าแสน skus ใครต้องกาอะไร เข้ามาที่นี่ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ได้ครบหมด ที่สำคัญราคาถูกโดนใจ (ของแพง ของมีแบรนด์ก็ขาย แต่เน้นของถูกเยอะกว่า) ถ้าแบ่งโครงสร้างรายได้เป็นแบบนี้
.
• 46-49% ขายวัสดุก่อสร้าง เหล็ก สี ปูน มีทุกอย่างที่ช่างต้องการ
• 35-38% ขายวัสดุซ่อมแซม เครื่องมือช่าง พื้น ผนัง ประปา ไฟฟ้า ประตู หน้าต่าง
• 15-17% ขายวัสดุตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เตียงนอน โคมไฟ ของตกแต่งบ้าน
มีคนบอกว่ากะปิ น้ำปลา ของกิน น้ำ ก็มีขายที่ Dohome บางสาขา คือ อาจจะซื้อไปที่ไซต์งานให้ช่างให้คนงานก่อสร้าง เรียดได้ว่ามาที่เดียวครบหมดจริง ๆ
.
3. เน้นลูกค้า คือ ผู้รับเหมา และร้านค้าช่วง
.
ลูกค้าแบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
• ผู้รับเหมาก่อสร้าง รับงานโครงการ บ้านจัดสรรต่าง ๆ
• ร้านค้าช่วง เป็นร้านค้าปลีก ซื้อสินค้าแล้วไปขายที่ร้านเล็ก ๆ ของตัวเองอีกที เหมือนเป็นหน้าร้านให้ DOHOME อีกทีนึง
• ลูกค้ารายย่อย คือ กลุ่มที่เลือกสินค้าไว้ใช้เอง เช่น ซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้าน เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด
• หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มนี้ซื้อตามโครงการและตามงบของหน่วยงานที่จัดสรรให้
…
2 กลุ่มแรก คือ ลูกค้าหลักของ DOHOME เพราะเน้นของเยอะ ของถูก ผู้รับเหมาเลยมาซื้อไปใช้งานโครงการกันเยอะ และจากการที่มีแค่ 9 สาขา ร้านค้าช่วงเลยมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในการเหมือนเป็นหน้าร้านมาช่วยขาย
.
4. 9 สาขาใหญ่ 2 สาขา To Go และ 1 ศูนย์กระจายสินค้า
.
Dohome เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 20,000 - 30,000 ตารางเมตร มีคลังสินค้าอีก 20,000 – 30,000 ตารางเมตร รวมกันแล้วแต่ละสาขามีพื้นที่ 40,000 – 60,000 ตารางเมตรได้ คือ ใหญ่มากเป็นเหมือนลานกว้าง ๆ มีหลังคา ไม่ได้ติดแอร์ทุกสาขา ถ้านึกภาพไม่ออก ให้คิดถึงไทวัสดุ หรือ Mega Home น่าจะเป็นร้านที่ดูใกล้เคียงกัน
.
ร้านแบบนี้เริ่มเปิดตั้งแต่ปี 2536 ที่อุบล แล้วเกิดปัญหาต้มยำกุ้ง เซไปพักนึง ก่อนมาขยายสาขาเพิ่มในช่วงปี 2550 ก่อนมาเปิดเยอ ๆ ปี 2557-2558 แล้วพักไป 3 ปี ก่อนจะมาเปิดที่บางนา เมื่อเมษายนปีที่แล้ว ล่าสุดกำลังจะเปิดสาขาใหญ่ที่เพชรเกษม แถวอ้อมน้อย เดือนตุลามคม ปีนี้
.
ส่วน Dohome To Go เป็นรูปแบบใหม่ขนาดเล็ก 300-1,000 ตารางเมตร เน้นขายสินค้าวัสดุซ่อมแซมและตกแต่ง แต่ถ้าใครจะสั่งเหล็กสั่งปูน ขายได้ เดี๋ยวให้สาขาใหญ่ที่อยู่ใกล้ไปส่ง เปิดไปแล้ว 2 สาขา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ Makro จรัญสนิทวงศ์ กับ สาทร คือ จะเน้นไปกับ Hypermarket อาศัย traffic ลูกค้าที่มาซื้อของ Dohome To Go ดูเหมือนจะเป็น S-Curve ใหม่ คล้ายๆ กับ Homepro S แต่ปัญหาคือ มันจะแข่งกับร้านค้าช่วงที่เป็นลูกค้าหลักของตัวเอง
.
ศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง เปิดปีที่แล้วที่ปทุมธานี เอาไว้ช่วยเก็บของ กระจายของไปยังสาขาต่าง ๆ ให้เหมาะสม ไม่ต้องไปสต็อคสินค้าในแต่ละสาขาเยอะ ซึ่งจะทำให้ช่วยลดระยะเวลาขายสินค้าที่ตอนนี้อยู่ประมาณ 150 วัน หรือ 5 เดือน
.
5. สินค้า House Brand ตัวเพิ่มมาร์จิ้น
.
สินค้า house brand หรือของที่ตัวเองจ้างคนอื่นผลิตเอง ติดแบรนด์ตัวเอง มีจำนวน 14.5% ประมาณ 20,000 skus ถามว่าดียังไง ดีตรงมาร์จิ้นสูง ถ้าดูงบ Q1’62 Dohome มี GPM 16.4% แบ่งเป็นสินค้าทั่วไป GPM 13.8% แต่ถ้าเป็น house brand จะสูงถึงระดับ 31.5% แปลว่า ยิ่งเพิ่มการขาย house brand จะยิ่งทำให้กำไรเพิ่มมากขึ้น เป็นวิธีการเดียวกับที่ Hmpro ใช้ (มีสัดส่วน 19.5%)
..
Dohome ตั้งเป้าว่าจะเพิ่ม house brand เป็น 20% ในปี 2565 โดยวิธีการหนึ่งคือ set สัดส่วน house brand ใน Dohome To Go เป็น 30% แปลว่ายิ่งเปิด To Go เยอะ อัตรากำไรจะยิ่งดี ขณะที่สาขาใหญ่ก็จะปรับสัดส่วนไปทาง house brand มากขึ้นเช่นกัน
.
6. รายได้ไม่เติบโตมาหลายปี แต่กำไรยังโตได้
.
ปี 2559 รายได้รวม 18,692 ล้านบาท กำไรสุทธิ 853 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้รวม 18,664 ล้านบาท กำไรสุทธิ 931 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้รวม 18,535 ล้านบาท กำไรสุทธิ 439 ล้านบาท
.
Q1’61 รายได้รวม 4,940 ล้านบาท กำไรสุทธิ 186 ล้านบาท
Q1’62 รายได้รวม 4,980 ล้านบาท กำไรสุทธิ 247 ล้านบาท
..
รายได้ไม่โตเลย อยู่ที่ประมาณ 18,500 ล้านบาท มาหลายปีติดต่อกัน Q1 ปีนี้ก็ไม่โตทั้ง ๆ ที่ ปี 2561 เปิดสาขาบางนา นั่นแปลว่ายอดขายสาขาเดิมลดลงแน่ ๆ และก็จริงดังว่า SSSG ลดลงประมาณ 3% ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระวัง
.
ปี 2560 กำไรเพิ่มขึ้นได้เพราะว่า มีการขายสินค้า house brand มากขึ้น
.
ปี 2561 กำไรลดลง เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายเยอะทั้งศูนย์กระจายสินค้า สาขาใหม่บางนา และ mix สินค้า house brand ไม่เพิ่ม
.
Q1’62 กำไรเพิ่ม เพราะมีการกลับสำรองสินค้าล้าสมัย 73 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการ์ดพิเศษเลย ถ้าไม่มีกำไรคงไม่เพิ่ม และไม่รู้ว่ายังมีการ์ดแบบนี้อยู่อีกกี่ใบ ซึ่งดูแล้วไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่กำไรจากการขายของได้เพิ่ม
.
7. งบดุลเต็มไปด้วยหนี้สิน
.
ถ้ามาส่องงบดุล ความน่าสนใจ คือ
.
• 50% ของสินทรัพย์ เป็นที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ ซึ่งก็คือ สาขาต่าง ๆ ศูนย์กระจายสินค้า 40% เป็นสินค้าคงเหลือ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่เตรียมไว้ขายทั้งหลาย
• 75% ของหนี้สิน หรือ 9,400 ล้านบาท เป็นเงินกู้ โดยแบ่งเป็นกู้สั้น 6,400 ล้านบาท กู้ยาว 3,000 ล้านบาท
• ส่วนทุน สิ่งที่น่าสนใจคือ มีกำไรสะสม 3,500 ล้านบาท
.
8. เปิดสาขาใหม่รัว ๆ ภายใน 3 ปีนี้
.
• เปิด 7 สาขาใหญ่ เริ่มที่เพชรเกษม ปีนี้เดือนตุลาคม และจะเปิดอีก 6 สาขา ภายในปี 2564 สาขานึงลงทุน 250-300 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อสาขา ต่อปี ตอนนี้มีที่ดินรองรับอยู่แล้วที่สุราษฎร์ธานี เทพารักษ์ ระยอง พิษณุโลก เป็นต้น
• เปิด 90 สาขา To Go ตอนนี้เปิดไปแล้ว 2 ปีนี้จะมี 10 สาขา ปีหน้า 30 ปีถัดไปอีก 50 สาขา เงินลงทุน 1.5 – 6 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 24-120 ล้านบาทต่อสาขา ต่อปี แต่เท่าที่เปิดมาก็เป็นสาขาเล็ก คิดว่ารายได้คงไม่เกิน 30-50 ล้านบาทต่อปี การเปิด To Go จะไปกับ Hypermarket เช่น Makro
.
9. ได้เงิน IPO ไปทำอะไรบ้าง
.
ขายหุ้น 456 ล้านหุ้น 7.80 บาท ได้เงินมา 3,558 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือ 3,451 ล้านบาท เอาไปใช้แบบนี้
.
• 3,000 ล้านบาท เอาไปคืนหนี้ แต่ว่ามีหนี้เงินกู้อยู่ 9,400 ล้านบาท แปลว่า ก็ยังมีหนี้เหลือเยอะอยู่ดี
• 280 ล้านบาท เอาไปเปิดสาขา คือ เงินเท่านี้เปิดสาขาใหญ่ 1 สาขา และ To Go 10 สาขา ในปีนี้ ก็แทบจะไม่พอแล้ว
• 10 ล้านบาท เอาไปพัฒนาระบบ IT
• เหลือประมาณ 161 ล้านบาท เอาไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน
…
เงิน IPO ที่ได้มาดูตึงตัวมาก แค่คืนหนี้ยังไม่พอ เปิดสาขาก็ตึงตัว ดูแล้วน่าเป็นห่วงว่า จะเอาเงินจากไหนมาขยายสาขาเพิ่มในปีถัดไปถึงจะได้ครบตามแผนที่วางไว้ ถึงไม่แปลกใจที่นโยบายปันผลแค่ไม่เกิน 30% เพราะคงจ่ายเยอะไม่ไหวแน่ ๆ
..
10. จ่ายปันผล 2,506 ล้านบาท
..
จ่ายให้เราใช่มั้ย เปล่าครับ จ่ายให้ผู้ถือหุ้นเดิม จ่ายจากกำไรสะสมที่มี 3,500 ล้านบาท และจะจ่ายหลังจากเข้า IPO แล้ว ทำให้ใน Filing ยังไม่เห็นตัวเลขนี้ ผลที่ตามมาคือ D/E จาก 2.5 เท่า จะกลายเป็น 6 เท่าทันที (แล้วซ้อจะกู้มาลงทุนเปิดสาขายังไงต่อ)
..
ตรงนี้ต้องระวังงบหลอกตาตอนหลังเข้าตลาด เพราะคืนหนี้ไป 3,000 ล้านบาท ต้นทุนการเงินลดลงจริง กำไรจะสูงขึ้นได้ แต่ว่าส่วนทุนก็ลดลงเช่นกัน ทำให้ EPS อาจจะไม่เพิ่มเท่าที่ควร
.
โดยสรุปแล้ว หุ้น DOHOME มีความน่าสนใจที่แผนการเปิดสาขาใหม่เยอะมาก ๆ โดยเฉพาะ To Go ที่เน้นสินค้า house brand มาร์จิ้นสูง ถ้าทำได้จริงตามแผนและขายดี จะเป็น S-curve ใหม่ในการปลดล็อครายได้ที่ไม่เติบโต รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรด้วย แต่ต้องไปเคลียร์กับร้านค้าช่วงด้วยนะ ไม่งั้นกินกันเองหมดแน่
..
แต่ก็มีข้อควรระวัง ในเรื่องของ SSSG ที่ติดลบ แปลว่าโตจากการเปิดสาขาเท่านั้น และหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 9,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระว่าอาจจะทำให้การเปิดสาขาใหม่ช้ากว่าแผนได้เพราะขาดสภาพคล่อง
..
เครดิต : วิตามินหุ้น https://www.facebook.com/stock.vitamins/posts/2292828434315875/
== 10 เรื่องน่ารู้ หุ้น DOHOME ==
1. อาณาจักรเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เริ่มต้นจากห้องแถว 2 คูหา
.
ย้อนกลับไปเมื่อ 26 ปีที่แล้ว คุณอดิศักดิ์ และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา สามีภรรยาคู่นี้ เริ่มต้นด้วยการเช่าห้องแถว 2 คูหา ในจังหวัดอุบลราชธานี เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ขายเหล็กเป็นหลัก ตั้งชื่อแบบเรียบง่ายว่า ศ.อุบลวัสดุ ขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ 3 ข้อ คือ
.
• เริ่มด้วยการขายของถูกเพื่อดึงลูกค้า
• หา Supplier เพิ่มสินค้าให้หลากหลาย
• ปล่อยเครคิต ขยายกิจการให้เติบโต แต่เลือกให้เฉพาะคนที่ไว้ใจได้คือ ผู้รับเหมางานราชการ
.
จากห้องแถว 2 คูหา ก็ขยายมาเป็น 10 คูหา และเพิ่มเป็นหลายสิบไร่ ก่อนขยับขยายออกจากอุบล มุ่งสู่โคราช ไปภาคกลาง ไปภาคเหนือ จนวันนี้มี 9 สาขา ด้วยยอดขายกว่า 18,000 ล้านบาท
..
2. ครบ ถูก ดี สำหรับคนรักบ้าน
.
สโลแกนประจำร้าน ด้วยสินค้กว่าแสน skus ใครต้องกาอะไร เข้ามาที่นี่ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ได้ครบหมด ที่สำคัญราคาถูกโดนใจ (ของแพง ของมีแบรนด์ก็ขาย แต่เน้นของถูกเยอะกว่า) ถ้าแบ่งโครงสร้างรายได้เป็นแบบนี้
.
• 46-49% ขายวัสดุก่อสร้าง เหล็ก สี ปูน มีทุกอย่างที่ช่างต้องการ
• 35-38% ขายวัสดุซ่อมแซม เครื่องมือช่าง พื้น ผนัง ประปา ไฟฟ้า ประตู หน้าต่าง
• 15-17% ขายวัสดุตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เตียงนอน โคมไฟ ของตกแต่งบ้าน
มีคนบอกว่ากะปิ น้ำปลา ของกิน น้ำ ก็มีขายที่ Dohome บางสาขา คือ อาจจะซื้อไปที่ไซต์งานให้ช่างให้คนงานก่อสร้าง เรียดได้ว่ามาที่เดียวครบหมดจริง ๆ
.
3. เน้นลูกค้า คือ ผู้รับเหมา และร้านค้าช่วง
.
ลูกค้าแบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
• ผู้รับเหมาก่อสร้าง รับงานโครงการ บ้านจัดสรรต่าง ๆ
• ร้านค้าช่วง เป็นร้านค้าปลีก ซื้อสินค้าแล้วไปขายที่ร้านเล็ก ๆ ของตัวเองอีกที เหมือนเป็นหน้าร้านให้ DOHOME อีกทีนึง
• ลูกค้ารายย่อย คือ กลุ่มที่เลือกสินค้าไว้ใช้เอง เช่น ซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้าน เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด
• หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มนี้ซื้อตามโครงการและตามงบของหน่วยงานที่จัดสรรให้
…
2 กลุ่มแรก คือ ลูกค้าหลักของ DOHOME เพราะเน้นของเยอะ ของถูก ผู้รับเหมาเลยมาซื้อไปใช้งานโครงการกันเยอะ และจากการที่มีแค่ 9 สาขา ร้านค้าช่วงเลยมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในการเหมือนเป็นหน้าร้านมาช่วยขาย
.
4. 9 สาขาใหญ่ 2 สาขา To Go และ 1 ศูนย์กระจายสินค้า
.
Dohome เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 20,000 - 30,000 ตารางเมตร มีคลังสินค้าอีก 20,000 – 30,000 ตารางเมตร รวมกันแล้วแต่ละสาขามีพื้นที่ 40,000 – 60,000 ตารางเมตรได้ คือ ใหญ่มากเป็นเหมือนลานกว้าง ๆ มีหลังคา ไม่ได้ติดแอร์ทุกสาขา ถ้านึกภาพไม่ออก ให้คิดถึงไทวัสดุ หรือ Mega Home น่าจะเป็นร้านที่ดูใกล้เคียงกัน
.
ร้านแบบนี้เริ่มเปิดตั้งแต่ปี 2536 ที่อุบล แล้วเกิดปัญหาต้มยำกุ้ง เซไปพักนึง ก่อนมาขยายสาขาเพิ่มในช่วงปี 2550 ก่อนมาเปิดเยอ ๆ ปี 2557-2558 แล้วพักไป 3 ปี ก่อนจะมาเปิดที่บางนา เมื่อเมษายนปีที่แล้ว ล่าสุดกำลังจะเปิดสาขาใหญ่ที่เพชรเกษม แถวอ้อมน้อย เดือนตุลามคม ปีนี้
.
ส่วน Dohome To Go เป็นรูปแบบใหม่ขนาดเล็ก 300-1,000 ตารางเมตร เน้นขายสินค้าวัสดุซ่อมแซมและตกแต่ง แต่ถ้าใครจะสั่งเหล็กสั่งปูน ขายได้ เดี๋ยวให้สาขาใหญ่ที่อยู่ใกล้ไปส่ง เปิดไปแล้ว 2 สาขา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ Makro จรัญสนิทวงศ์ กับ สาทร คือ จะเน้นไปกับ Hypermarket อาศัย traffic ลูกค้าที่มาซื้อของ Dohome To Go ดูเหมือนจะเป็น S-Curve ใหม่ คล้ายๆ กับ Homepro S แต่ปัญหาคือ มันจะแข่งกับร้านค้าช่วงที่เป็นลูกค้าหลักของตัวเอง
.
ศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง เปิดปีที่แล้วที่ปทุมธานี เอาไว้ช่วยเก็บของ กระจายของไปยังสาขาต่าง ๆ ให้เหมาะสม ไม่ต้องไปสต็อคสินค้าในแต่ละสาขาเยอะ ซึ่งจะทำให้ช่วยลดระยะเวลาขายสินค้าที่ตอนนี้อยู่ประมาณ 150 วัน หรือ 5 เดือน
.
5. สินค้า House Brand ตัวเพิ่มมาร์จิ้น
.
สินค้า house brand หรือของที่ตัวเองจ้างคนอื่นผลิตเอง ติดแบรนด์ตัวเอง มีจำนวน 14.5% ประมาณ 20,000 skus ถามว่าดียังไง ดีตรงมาร์จิ้นสูง ถ้าดูงบ Q1’62 Dohome มี GPM 16.4% แบ่งเป็นสินค้าทั่วไป GPM 13.8% แต่ถ้าเป็น house brand จะสูงถึงระดับ 31.5% แปลว่า ยิ่งเพิ่มการขาย house brand จะยิ่งทำให้กำไรเพิ่มมากขึ้น เป็นวิธีการเดียวกับที่ Hmpro ใช้ (มีสัดส่วน 19.5%)
..
Dohome ตั้งเป้าว่าจะเพิ่ม house brand เป็น 20% ในปี 2565 โดยวิธีการหนึ่งคือ set สัดส่วน house brand ใน Dohome To Go เป็น 30% แปลว่ายิ่งเปิด To Go เยอะ อัตรากำไรจะยิ่งดี ขณะที่สาขาใหญ่ก็จะปรับสัดส่วนไปทาง house brand มากขึ้นเช่นกัน
.
6. รายได้ไม่เติบโตมาหลายปี แต่กำไรยังโตได้
.
ปี 2559 รายได้รวม 18,692 ล้านบาท กำไรสุทธิ 853 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้รวม 18,664 ล้านบาท กำไรสุทธิ 931 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้รวม 18,535 ล้านบาท กำไรสุทธิ 439 ล้านบาท
.
Q1’61 รายได้รวม 4,940 ล้านบาท กำไรสุทธิ 186 ล้านบาท
Q1’62 รายได้รวม 4,980 ล้านบาท กำไรสุทธิ 247 ล้านบาท
..
รายได้ไม่โตเลย อยู่ที่ประมาณ 18,500 ล้านบาท มาหลายปีติดต่อกัน Q1 ปีนี้ก็ไม่โตทั้ง ๆ ที่ ปี 2561 เปิดสาขาบางนา นั่นแปลว่ายอดขายสาขาเดิมลดลงแน่ ๆ และก็จริงดังว่า SSSG ลดลงประมาณ 3% ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระวัง
.
ปี 2560 กำไรเพิ่มขึ้นได้เพราะว่า มีการขายสินค้า house brand มากขึ้น
.
ปี 2561 กำไรลดลง เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายเยอะทั้งศูนย์กระจายสินค้า สาขาใหม่บางนา และ mix สินค้า house brand ไม่เพิ่ม
.
Q1’62 กำไรเพิ่ม เพราะมีการกลับสำรองสินค้าล้าสมัย 73 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการ์ดพิเศษเลย ถ้าไม่มีกำไรคงไม่เพิ่ม และไม่รู้ว่ายังมีการ์ดแบบนี้อยู่อีกกี่ใบ ซึ่งดูแล้วไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่กำไรจากการขายของได้เพิ่ม
.
7. งบดุลเต็มไปด้วยหนี้สิน
.
ถ้ามาส่องงบดุล ความน่าสนใจ คือ
.
• 50% ของสินทรัพย์ เป็นที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ ซึ่งก็คือ สาขาต่าง ๆ ศูนย์กระจายสินค้า 40% เป็นสินค้าคงเหลือ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่เตรียมไว้ขายทั้งหลาย
• 75% ของหนี้สิน หรือ 9,400 ล้านบาท เป็นเงินกู้ โดยแบ่งเป็นกู้สั้น 6,400 ล้านบาท กู้ยาว 3,000 ล้านบาท
• ส่วนทุน สิ่งที่น่าสนใจคือ มีกำไรสะสม 3,500 ล้านบาท
.
8. เปิดสาขาใหม่รัว ๆ ภายใน 3 ปีนี้
.
• เปิด 7 สาขาใหญ่ เริ่มที่เพชรเกษม ปีนี้เดือนตุลาคม และจะเปิดอีก 6 สาขา ภายในปี 2564 สาขานึงลงทุน 250-300 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อสาขา ต่อปี ตอนนี้มีที่ดินรองรับอยู่แล้วที่สุราษฎร์ธานี เทพารักษ์ ระยอง พิษณุโลก เป็นต้น
• เปิด 90 สาขา To Go ตอนนี้เปิดไปแล้ว 2 ปีนี้จะมี 10 สาขา ปีหน้า 30 ปีถัดไปอีก 50 สาขา เงินลงทุน 1.5 – 6 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 24-120 ล้านบาทต่อสาขา ต่อปี แต่เท่าที่เปิดมาก็เป็นสาขาเล็ก คิดว่ารายได้คงไม่เกิน 30-50 ล้านบาทต่อปี การเปิด To Go จะไปกับ Hypermarket เช่น Makro
.
9. ได้เงิน IPO ไปทำอะไรบ้าง
.
ขายหุ้น 456 ล้านหุ้น 7.80 บาท ได้เงินมา 3,558 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือ 3,451 ล้านบาท เอาไปใช้แบบนี้
.
• 3,000 ล้านบาท เอาไปคืนหนี้ แต่ว่ามีหนี้เงินกู้อยู่ 9,400 ล้านบาท แปลว่า ก็ยังมีหนี้เหลือเยอะอยู่ดี
• 280 ล้านบาท เอาไปเปิดสาขา คือ เงินเท่านี้เปิดสาขาใหญ่ 1 สาขา และ To Go 10 สาขา ในปีนี้ ก็แทบจะไม่พอแล้ว
• 10 ล้านบาท เอาไปพัฒนาระบบ IT
• เหลือประมาณ 161 ล้านบาท เอาไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน
…
เงิน IPO ที่ได้มาดูตึงตัวมาก แค่คืนหนี้ยังไม่พอ เปิดสาขาก็ตึงตัว ดูแล้วน่าเป็นห่วงว่า จะเอาเงินจากไหนมาขยายสาขาเพิ่มในปีถัดไปถึงจะได้ครบตามแผนที่วางไว้ ถึงไม่แปลกใจที่นโยบายปันผลแค่ไม่เกิน 30% เพราะคงจ่ายเยอะไม่ไหวแน่ ๆ
..
10. จ่ายปันผล 2,506 ล้านบาท
..
จ่ายให้เราใช่มั้ย เปล่าครับ จ่ายให้ผู้ถือหุ้นเดิม จ่ายจากกำไรสะสมที่มี 3,500 ล้านบาท และจะจ่ายหลังจากเข้า IPO แล้ว ทำให้ใน Filing ยังไม่เห็นตัวเลขนี้ ผลที่ตามมาคือ D/E จาก 2.5 เท่า จะกลายเป็น 6 เท่าทันที (แล้วซ้อจะกู้มาลงทุนเปิดสาขายังไงต่อ)
..
ตรงนี้ต้องระวังงบหลอกตาตอนหลังเข้าตลาด เพราะคืนหนี้ไป 3,000 ล้านบาท ต้นทุนการเงินลดลงจริง กำไรจะสูงขึ้นได้ แต่ว่าส่วนทุนก็ลดลงเช่นกัน ทำให้ EPS อาจจะไม่เพิ่มเท่าที่ควร
.
โดยสรุปแล้ว หุ้น DOHOME มีความน่าสนใจที่แผนการเปิดสาขาใหม่เยอะมาก ๆ โดยเฉพาะ To Go ที่เน้นสินค้า house brand มาร์จิ้นสูง ถ้าทำได้จริงตามแผนและขายดี จะเป็น S-curve ใหม่ในการปลดล็อครายได้ที่ไม่เติบโต รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรด้วย แต่ต้องไปเคลียร์กับร้านค้าช่วงด้วยนะ ไม่งั้นกินกันเองหมดแน่
..
แต่ก็มีข้อควรระวัง ในเรื่องของ SSSG ที่ติดลบ แปลว่าโตจากการเปิดสาขาเท่านั้น และหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 9,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระว่าอาจจะทำให้การเปิดสาขาใหม่ช้ากว่าแผนได้เพราะขาดสภาพคล่อง
..
เครดิต : วิตามินหุ้น https://www.facebook.com/stock.vitamins/posts/2292828434315875/