ในเว็บไซต์ www.reddit.com เป็นที่อยู่ของหมวด r/nosleep ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีในฐานะแหล่งรวมเรื่องสยองขวัญภาษาอังกฤษ และหลายๆเรื่องในนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็น creepypasta อีกด้วย
ในครั้งนี้ผมเองได้ไปสะดุดตาเข้ากับเรื่องเล่าของชาวไทยท่านหนึ่งที่ได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษอย่างดีในหมวด r/nosleep เขาเองนั้นได้บรรยายถึงประสบการณ์ที่ได้พบกับเหตุการณ์ลี้ลับน่าขนลุก ในระหว่างการเดินทางกลับไปเยื่ยมพ่อกับแม่ที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทห่างไกลความเจริญ เขาได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า “A warning for backpackers coming to Thailand” หรือที่แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า “คำเตือนสำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ที่จะมาเที่ยวประเทศไทย” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามครับ
ที่มา:
https://www.reddit.com/r/nosleep/comments/5pnecd/a_warning_for_backpackers_coming_to_thailand/
---
ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยครับ แต่ไม่ใช่ในฐานะครูภาษาอังกฤษ, ลูกจ้างองค์กรเอกชน หรือหนึ่งในกลุ่มชาวต่างชาติฝีมือดีที่ทำงานในไทยนะครับ ผมเป็นคนไทยแท้โดยกำเนิด เพราะฉะนั้นโปรดอย่าหวังว่าผมจะกล่าวถึงพวก “ladyboy” อะไรทำนองนั้นนะครับ ถ้าคุณรู้สึกผิดหวังผมก็ขออภัยด้วย ผมแค่รู้สึกว่าอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ชาวต่างชาติได้อ่านก็เท่านั้นเอง
ผมเข้าใจดีครับว่าชาวต่างชาติปกติมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ผมเชื่อว่าที่แห่งนี้(nosleep)นั้นแตกต่างจากหมวดอื่นๆ ผู้คนเข้ามาที่นี่เพื่ออ่านเรื่องราวสุดแสนจะเหลือเชื่อเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดไม่ใช่เหรอครับ ดังนั้นโปรดตั้งใจอ่านที่ผมจะเล่าไว้ให้ดีๆ ข้อมูลพวกนี้อาจช่วยชีวิตคุณได้เมื่อคุณตัดสินใจจะมาที่ประเทศไทย
ผมเฝ้าติดตาม reddit เพราะผมชอบอ่านเรื่องราวจากประเทศต่างๆรอบโลก ผมเองนั้นเป็นเพียงแค่พนักงานออฟฟิศคนนึงที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ สวมเนคไท ทำงานด้วย excel โดนหัวหน้าชาวอเมริกันคอยบ่นคอยด่าอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน แต่จริงๆแล้วบ้านเกิดผมอยู่แถบชนบทครับ มันถูกรายล้อมไปด้วยนาข้าวสีเขียวขจีและสวนตาลขนาดใหญ่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีฉากหลังเป็นเนินเขาสีเทามากมาย ทั้งหมดนี้คือวิวทิวทัศน์ที่คอยปลอบประโลมตัวผมในยามเด็ก ผมถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ที่เป็นชาวนา ผมเคยแม้กระทั่งจูงฝูงวัวฝูงควายของพวกท่านออกไปไถนา เพียงเพื่อผมจะได้เคลิ้มหลับบนแผ่นหลังแข็งๆของพวกมันทั้งวัน บ้านผมคือสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
ในฐานะพนักงานออฟฟิศ ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ให้บ่อยที่สุดเท่าทีจะทำได้ ตอนนี้พวกท่านก็อายุมากแล้ว บวกกับปัญหาสุขภาพต่างๆที่อาจเป็นผลมาจากการทำงานหนักก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นพวกท่านก็ไม่เคยหยุดพัก ลองจินตนาการว่าคุณมีอายุหกสิบกว่าๆ แล้วก็ต้องออกไปทำนาภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผาตลอดทั้งวัน เพียงเพื่อปลูกต้นข้าวตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมกลับไปเยี่ยมเพื่อที่ผมจะนำความสุขความสบายและกำลังใจไปฝากพวกท่านพร้อมกับของฝากเล็กๆน้อยๆจากเมืองใหญ่ โดยส่วนมากแล้วมันจะมาจากเงินน้ำพักน้ำแรงที่ผมเหลือจากการจ่ายค่าเช่า แต่ถ้าช่วงไหนผมมีไม่พอ ผมก็จะซื้อขนมขบเคี้ยวไปฝากหรือพวกคุกกี้ที่พวกท่านน่าจะไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อนในชีวิต
ขอกราบอภัยถ้าผมนอกเรื่องมากไปหน่อย เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ คือเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้วมันมีเหตุการณ์แปลกๆและน่ากลัวมากเกิดขึ้นกับผม ซึ่งผมจะไม่เชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เลยถ้าไม่ได้เจอมันกับตาตัวเอง คือแต่ก่อนถ้าคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้ฟังว่าได้ไปเจอมากับตัว ผมก็มักจะพยักหน้าตามมารยาทไปก่อนแต่ในใจลึกๆก็อดขำกับความงมงายของพวกชาวบ้านไม่ได้ ประเด็นคือตอนนี้มันได้เกิดกับตัวผมเอง และผมก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะเชื่ออะไรกันแน่
วันเสาร์ที่แล้ว ผมได้วางแผนว่าจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่หัวหน้าเจ้ากรรมก็ดันมาสั่งให้ผมทำงานเพาเวอร์พอยท์ให้เสร็จก่อนบ่ายสามวันนั้น อะไรจะพอดีเป๊ะขนาดนั้น คือมันใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงจากกรุงเทพไปยังบ้านเกิดผมถ้าเดินทางโดยรถไฟ แล้วรถเที่ยวสุดท้ายก็จะออกจากชานชาลาตอนบ่ายสอง รู้ดังนี้ผมจึงรีบไปที่ออฟฟิศแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานแบบไม่เคยทำมาก่อน ผมถึงกับอดข้าวเที่ยงเพื่อปั่นงานให้เสร็จก่อนเวลา จากนั้นผมก็มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟอย่างรวดเร็ว เอาเข้าจริงๆก็เกือบไปไม่ทันขบวนสุดท้ายเที่ยวนั้น และนั่นก็หมายความว่าเมื่อไปถึงผมต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านคนเดียวท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนเพื่อไปให้ถึงบ้านพ่อกับแม่ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเพราะตั้งแต่เด็กผมเคยถูกพร่ำสอนโดยตลอดว่าไม่ควรออกมาเดินกลางดึกคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้
ทีนี้ก่อนพวกคุณจะตัดสินไปต่างๆนานา ผมไม่ใช่คนงมงายครับ ผมเป็นคนเมือง เป็นพนักงานออฟฟิศ เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผล สิ่งที่ผมกลัวจริงๆก็คือสิ่งที่จับต้องได้ อย่างเช่นการโดนปล้นหรือโดนฆ่าหมกป่าอะไรทำนองนั้น และถึงแม้มันจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยบนถนนหมู่บ้านเส้นเปลี่ยวนี้ ความหวาดระแวงก็ได้ครอบงำจิตใจผมไปแล้ว มันน่าจะมาจากการถูกพร่ำสอนสิ่งเดิมๆซ้าๆเมื่อตอนผมยังเด็ก นอกจากนี้ในหมู่บ้านของผม(รวมไปถึงหลายๆที่ในประเทศไทย) พวกเรามีความเชื่อเกี่ยวภูติผีในตำนานพื้นบ้าน เมื่อใดก็ตามที่ผมล้มป่วยตอนเด็ก พ่อกับแม่ก้จะพาไปหาหมอผีหมอธรรมหรือพวกร่างทรงต่างๆ แทนที่จะพาไปพบแพทย์จริงๆ
มีครั้งหนึ่งผมจำได้ว่าเมื่อตอนอายุสิบสาม ผมเคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้วผมก็ได้ไปพบหญิงชราท่านหนึ่งที่คนในหมู่บ้านเชื่อกันว่าเป็นหมอผีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้า รักษาได้ทุกโรค ผมจำได้เพราะว่าหญิงชราคนนั้นขึ้นคร่อมตัวผมที่กำลังนอนป่วยอยู่ ภาพของฟันทุกซี่ที่เป็นสีดำอันเกิดจากการเคี้ยวหมากมาเป็นเวลานาน กลิ่นของลมหายใจเหม็นสาบที่เป่าพ่นใส่ใบหน้าและลำตัวผม ล้วนเป็นสิ่งที่ผมจำขึ้นใจ แกบอกว่าผมถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วร้ายที่หมายเอาชีวิตผมไปถ้าไม่ทำพิธีขับไล่ เมื่อได้ฟังดังนั้นพ่อกับแม่ของผมจึงรีบเตรียมสำรับอาหารเอาไว้สำหรับเป็นเครื่องเซ่นไหว้และนำไปวางไว้ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ รวมถึงมีการนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อร่วมสวดมนต์ในพิธีดังกล่าว พ่อกับแม่บอกผมว่าพิธีนั้นได้ชำระล้างตัวผมจนหายเป็นปกติ และมันคือเหตุผลที่ผมยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าผมไม่เชื่อพวกท่านอีกต่อไปแล้วตอนนี้ เมื่อผมได้เรียนรู้ว่าโรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าใครก็ตามได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเชื่อแบบที่ผมได้กล่าวมาแล้ว การจะกำจัดมันทิ้งจากจิตใจลึกๆข้างในนั้นจะทำได้ยากมาก ตลอดเส้นทางที่ผมนั่งรถไฟราคาประหยัดมา แล้วต่อด้วยการนั่งรถประจำทางผ่านถนนที่ดูเหมือนจะแคบลงและบรรยากาศที่มืดมิดขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เคยรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเลย ผมเอาแต่พลิกตัวไปมาแบบอยู่ไม่สุข เอานิ้วถูไถโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คดูข่าวสารเป็นระยะๆ ผมได้คุยกับพวกท่านแล้วว่าจะมาเยี่ยมดึกสักหน่อย แล้วพวกท่านก็ตอบมาว่ามันจะดีกว่าถ้าผมเลื่อนไปเป็นวันเสาร์หน้า แต่ก็นะ ผมอยู่บนรถไฟแล้ว ผมบอกพวกท่านไปอย่างนั้น แต่พวกท่านก็ยังแนะนำให้ผมนอนรอที่สถานีรถไฟก่อนจนถึงเช้าแล้วค่อยมาเยี่ยม เหมือนท่านไม่ต้องการให้ผมมาหาในเวลานี้ พอถึงจุดนี้ผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้ววางสายไป
---
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
[Nosleep] ผีไทยสู่สายตาชาวต่างชาติ: คำเตือนสำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ที่จะมาเที่ยวประเทศไทย
ในครั้งนี้ผมเองได้ไปสะดุดตาเข้ากับเรื่องเล่าของชาวไทยท่านหนึ่งที่ได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษอย่างดีในหมวด r/nosleep เขาเองนั้นได้บรรยายถึงประสบการณ์ที่ได้พบกับเหตุการณ์ลี้ลับน่าขนลุก ในระหว่างการเดินทางกลับไปเยื่ยมพ่อกับแม่ที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทห่างไกลความเจริญ เขาได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า “A warning for backpackers coming to Thailand” หรือที่แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า “คำเตือนสำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ที่จะมาเที่ยวประเทศไทย” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามครับ
ที่มา: https://www.reddit.com/r/nosleep/comments/5pnecd/a_warning_for_backpackers_coming_to_thailand/
---
ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยครับ แต่ไม่ใช่ในฐานะครูภาษาอังกฤษ, ลูกจ้างองค์กรเอกชน หรือหนึ่งในกลุ่มชาวต่างชาติฝีมือดีที่ทำงานในไทยนะครับ ผมเป็นคนไทยแท้โดยกำเนิด เพราะฉะนั้นโปรดอย่าหวังว่าผมจะกล่าวถึงพวก “ladyboy” อะไรทำนองนั้นนะครับ ถ้าคุณรู้สึกผิดหวังผมก็ขออภัยด้วย ผมแค่รู้สึกว่าอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ชาวต่างชาติได้อ่านก็เท่านั้นเอง
ผมเข้าใจดีครับว่าชาวต่างชาติปกติมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ผมเชื่อว่าที่แห่งนี้(nosleep)นั้นแตกต่างจากหมวดอื่นๆ ผู้คนเข้ามาที่นี่เพื่ออ่านเรื่องราวสุดแสนจะเหลือเชื่อเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดไม่ใช่เหรอครับ ดังนั้นโปรดตั้งใจอ่านที่ผมจะเล่าไว้ให้ดีๆ ข้อมูลพวกนี้อาจช่วยชีวิตคุณได้เมื่อคุณตัดสินใจจะมาที่ประเทศไทย
ผมเฝ้าติดตาม reddit เพราะผมชอบอ่านเรื่องราวจากประเทศต่างๆรอบโลก ผมเองนั้นเป็นเพียงแค่พนักงานออฟฟิศคนนึงที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ สวมเนคไท ทำงานด้วย excel โดนหัวหน้าชาวอเมริกันคอยบ่นคอยด่าอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน แต่จริงๆแล้วบ้านเกิดผมอยู่แถบชนบทครับ มันถูกรายล้อมไปด้วยนาข้าวสีเขียวขจีและสวนตาลขนาดใหญ่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีฉากหลังเป็นเนินเขาสีเทามากมาย ทั้งหมดนี้คือวิวทิวทัศน์ที่คอยปลอบประโลมตัวผมในยามเด็ก ผมถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ที่เป็นชาวนา ผมเคยแม้กระทั่งจูงฝูงวัวฝูงควายของพวกท่านออกไปไถนา เพียงเพื่อผมจะได้เคลิ้มหลับบนแผ่นหลังแข็งๆของพวกมันทั้งวัน บ้านผมคือสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
ในฐานะพนักงานออฟฟิศ ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ให้บ่อยที่สุดเท่าทีจะทำได้ ตอนนี้พวกท่านก็อายุมากแล้ว บวกกับปัญหาสุขภาพต่างๆที่อาจเป็นผลมาจากการทำงานหนักก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นพวกท่านก็ไม่เคยหยุดพัก ลองจินตนาการว่าคุณมีอายุหกสิบกว่าๆ แล้วก็ต้องออกไปทำนาภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผาตลอดทั้งวัน เพียงเพื่อปลูกต้นข้าวตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมกลับไปเยี่ยมเพื่อที่ผมจะนำความสุขความสบายและกำลังใจไปฝากพวกท่านพร้อมกับของฝากเล็กๆน้อยๆจากเมืองใหญ่ โดยส่วนมากแล้วมันจะมาจากเงินน้ำพักน้ำแรงที่ผมเหลือจากการจ่ายค่าเช่า แต่ถ้าช่วงไหนผมมีไม่พอ ผมก็จะซื้อขนมขบเคี้ยวไปฝากหรือพวกคุกกี้ที่พวกท่านน่าจะไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อนในชีวิต
ขอกราบอภัยถ้าผมนอกเรื่องมากไปหน่อย เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ คือเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้วมันมีเหตุการณ์แปลกๆและน่ากลัวมากเกิดขึ้นกับผม ซึ่งผมจะไม่เชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เลยถ้าไม่ได้เจอมันกับตาตัวเอง คือแต่ก่อนถ้าคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้ฟังว่าได้ไปเจอมากับตัว ผมก็มักจะพยักหน้าตามมารยาทไปก่อนแต่ในใจลึกๆก็อดขำกับความงมงายของพวกชาวบ้านไม่ได้ ประเด็นคือตอนนี้มันได้เกิดกับตัวผมเอง และผมก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะเชื่ออะไรกันแน่
วันเสาร์ที่แล้ว ผมได้วางแผนว่าจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่หัวหน้าเจ้ากรรมก็ดันมาสั่งให้ผมทำงานเพาเวอร์พอยท์ให้เสร็จก่อนบ่ายสามวันนั้น อะไรจะพอดีเป๊ะขนาดนั้น คือมันใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงจากกรุงเทพไปยังบ้านเกิดผมถ้าเดินทางโดยรถไฟ แล้วรถเที่ยวสุดท้ายก็จะออกจากชานชาลาตอนบ่ายสอง รู้ดังนี้ผมจึงรีบไปที่ออฟฟิศแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานแบบไม่เคยทำมาก่อน ผมถึงกับอดข้าวเที่ยงเพื่อปั่นงานให้เสร็จก่อนเวลา จากนั้นผมก็มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟอย่างรวดเร็ว เอาเข้าจริงๆก็เกือบไปไม่ทันขบวนสุดท้ายเที่ยวนั้น และนั่นก็หมายความว่าเมื่อไปถึงผมต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านคนเดียวท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนเพื่อไปให้ถึงบ้านพ่อกับแม่ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเพราะตั้งแต่เด็กผมเคยถูกพร่ำสอนโดยตลอดว่าไม่ควรออกมาเดินกลางดึกคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้
ทีนี้ก่อนพวกคุณจะตัดสินไปต่างๆนานา ผมไม่ใช่คนงมงายครับ ผมเป็นคนเมือง เป็นพนักงานออฟฟิศ เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผล สิ่งที่ผมกลัวจริงๆก็คือสิ่งที่จับต้องได้ อย่างเช่นการโดนปล้นหรือโดนฆ่าหมกป่าอะไรทำนองนั้น และถึงแม้มันจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยบนถนนหมู่บ้านเส้นเปลี่ยวนี้ ความหวาดระแวงก็ได้ครอบงำจิตใจผมไปแล้ว มันน่าจะมาจากการถูกพร่ำสอนสิ่งเดิมๆซ้าๆเมื่อตอนผมยังเด็ก นอกจากนี้ในหมู่บ้านของผม(รวมไปถึงหลายๆที่ในประเทศไทย) พวกเรามีความเชื่อเกี่ยวภูติผีในตำนานพื้นบ้าน เมื่อใดก็ตามที่ผมล้มป่วยตอนเด็ก พ่อกับแม่ก้จะพาไปหาหมอผีหมอธรรมหรือพวกร่างทรงต่างๆ แทนที่จะพาไปพบแพทย์จริงๆ
มีครั้งหนึ่งผมจำได้ว่าเมื่อตอนอายุสิบสาม ผมเคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้วผมก็ได้ไปพบหญิงชราท่านหนึ่งที่คนในหมู่บ้านเชื่อกันว่าเป็นหมอผีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้า รักษาได้ทุกโรค ผมจำได้เพราะว่าหญิงชราคนนั้นขึ้นคร่อมตัวผมที่กำลังนอนป่วยอยู่ ภาพของฟันทุกซี่ที่เป็นสีดำอันเกิดจากการเคี้ยวหมากมาเป็นเวลานาน กลิ่นของลมหายใจเหม็นสาบที่เป่าพ่นใส่ใบหน้าและลำตัวผม ล้วนเป็นสิ่งที่ผมจำขึ้นใจ แกบอกว่าผมถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วร้ายที่หมายเอาชีวิตผมไปถ้าไม่ทำพิธีขับไล่ เมื่อได้ฟังดังนั้นพ่อกับแม่ของผมจึงรีบเตรียมสำรับอาหารเอาไว้สำหรับเป็นเครื่องเซ่นไหว้และนำไปวางไว้ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ รวมถึงมีการนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อร่วมสวดมนต์ในพิธีดังกล่าว พ่อกับแม่บอกผมว่าพิธีนั้นได้ชำระล้างตัวผมจนหายเป็นปกติ และมันคือเหตุผลที่ผมยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าผมไม่เชื่อพวกท่านอีกต่อไปแล้วตอนนี้ เมื่อผมได้เรียนรู้ว่าโรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าใครก็ตามได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเชื่อแบบที่ผมได้กล่าวมาแล้ว การจะกำจัดมันทิ้งจากจิตใจลึกๆข้างในนั้นจะทำได้ยากมาก ตลอดเส้นทางที่ผมนั่งรถไฟราคาประหยัดมา แล้วต่อด้วยการนั่งรถประจำทางผ่านถนนที่ดูเหมือนจะแคบลงและบรรยากาศที่มืดมิดขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เคยรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเลย ผมเอาแต่พลิกตัวไปมาแบบอยู่ไม่สุข เอานิ้วถูไถโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คดูข่าวสารเป็นระยะๆ ผมได้คุยกับพวกท่านแล้วว่าจะมาเยี่ยมดึกสักหน่อย แล้วพวกท่านก็ตอบมาว่ามันจะดีกว่าถ้าผมเลื่อนไปเป็นวันเสาร์หน้า แต่ก็นะ ผมอยู่บนรถไฟแล้ว ผมบอกพวกท่านไปอย่างนั้น แต่พวกท่านก็ยังแนะนำให้ผมนอนรอที่สถานีรถไฟก่อนจนถึงเช้าแล้วค่อยมาเยี่ยม เหมือนท่านไม่ต้องการให้ผมมาหาในเวลานี้ พอถึงจุดนี้ผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้ววางสายไป
---
เดี๋ยวมาต่อนะครับ